วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ยอดยุทธไร้เทียมทาน ตอนที่ 482 ไป่อาโฉ่ว



ตอนที่  482  ไป่อาโฉ่ว
ฟู่จงซานมีใบหน้าสี่เหลี่ยม ผิวของเขาแดงราวกับอินทผลัม คิ้วบางเหมือนกับดาบรูปร่างกำยำ กิจการทั่วไปของสำนักมวยชางหยางอยู่ในการดูแลของเขา จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะมีราศีสง่างาม

หลีรั่วมองดูฟู่จงซานและพูดอย่างกังวล  “ท่านพี่ เรื่องราวครั้งนี้ไม่ง่ายเลย  มีคนมากมายกำลังจับตาเรา เรายังจะคัดเลือดศิษย์ในปีนี้อีกหรือ?  จะต้องมีคนลอบปะปนเข้ามาอย่างแน่นอน!
 “เราต้องทำตามแผน” ฟู่จงซานกล่าว  “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครั้งนี้เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างได้”
หยางเฮ่าหลันพยักหน้า คิดและกล่าวต่อ  “คนพวกนั้นมีเจตนาไม่ดีจะต้องคิดหาทางเข้ามาเป็นแน่  ในกรณีนี้พวกเขาจะต้องปะปนเข้ามาและเข้าร่วมในสำนักมวยได้สำเร็จ  เราจะต้องจับตาพวกเขาให้ดี  ขอบเขตการจับตาของเรามีขนาดเล็กมาก”
 “เฮ่าหลันพูดถูก!  ฟู่จงซานพยักหน้า  “ทุกคนต้องระมัดระวัง”
ทั้งสามคนปรึกษากันอย่างรวดเร็วก่อนที่จะกลับไปประจำที่ของตนเอง
เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่จะแหวกผ่านฝูงชนตั้งมากมาย  แม้แต่ถังเทียนก็ยังอ่อนเพลียอย่างน่าประหลาดใจ  “ว้า... มีคนมากมายเหลือเกิน”
 “ฝ่า... อาโฉ่วยังไม่คุ้นกับที่นี้”  เฉินหวี่เกือบหลุดปากแล้ว และแอบแลบลิ้นตกใจ และการเรียกฝ่าบาทว่าอาโฉ่วจะดีจริงๆ หรือ?
ใจของเขาเต้นรัวเหมือนกลอง แต่เขาฝืนแนะนำ  “สำนักมวยชางหยางคือสำนักมวยที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์ และมีนักสู้ชั้นเซียนคอยหนุนหลัง  ทุกๆ ปีจำนวนคนที่มาจะมีความชัดเจน”
 “ไป่อาโฉ่ว?”  ศิษย์คนหนึ่งจากสำนักมวยจ้องตาถังเทียน “ตั้งชื่อได้เหมาะกับหน้ามากว่ะ” (อาโฉ่ว – น่าเกลียด)
 “ศิษย์น้อง เงียบเลย”  ศิษย์อีกคนหนึ่งตะโกนทันที และคำนับให้เฉินหวี่ “คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าสำนักเฉินจะพาคนมาส่งที่นี่ด้วยตัวเอง  ข้าต้องขออภัยที่ศิษย์น้องทำอะไรโง่เขลาลงไป  หวังว่าท่านเจ้าสำนักจะให้อภัยเรา”
เฉินหวี่ไม่กล้ามองหน้าถังเทียน  แต่เขารู้สึกอยากจะฆ่าเจ้าคนที่พูดว่า “ตั้งชื่อได้เหมาะกับหน้ามาก”  เขาได้แต่ฝืนหัวเราะ  “อาโฉ่วคือญาติห่างๆ ของข้า และใจของเขาบริสุทธิ์มุ่งแต่วิถียุทธ พรสวรรค์ของเขาไม่แย่นัก  ข้าไม่ต้องการให้เขาเสียเวลา ก็เลยส่งเขามาที่นี่ให้อาจารย์หลีช่วยสั่งสอน”
ศิษย์ที่อายุมากกว่าตอบทันที  “เนื่องจากเขาเป็นคนที่เจ้าสำนักมาส่งด้วยตัวเอง  อย่างนั้นเราคงไม่สงสัยความสามารถของเขาเป็นแน่  เพียงแค่นั้นวันนี้ทางสำนักก็วุ่นวายพอแล้ว และอาจารย์ก็ไม่ว่างมาต้อนรับท่านเจ้าสำนัก  ข้าหวังว่าท่านเจ้าสำนักจะให้อภัยเราด้วย”
 “หามิได้ หามิได้” เฉินหวี่หัวเราะทันที
 “อย่างนั้นเราจะพาเขาเข้าไปเอง  ท่านเจ้าสำนักเชิญพักตามสบาย”  ศิษย์ในสำนักกล่าว
 “ขอบคุณ, รบกวนพวกเจ้าด้วยนะ”  เฉินหวี่เห็นว่ายิ่งคนเข้ามามาก เขารู้ว่าพวกเขาจะตกเป็นเป้าสนใจของคนอื่น
เฉินหวี่เดินออกไปและพบกับติงตังในที่ไม่ไกล  ติงตังเห็นเฉินหวี่ทำหน้าหดหู่ และถาม “มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า?”
เฉินหวี่มองดูนางและโบกมือให้ “ไม่มีอะไร เรื่องราวราบรื่นดี”
เรื่องเช่นไป่อาโฉ่วมีชื่อที่เหมาะกับหน้า เขาจะทนคำพูดอย่างนั้นได้ยังไง?
 “ข้าได้ยินมาว่าศิษย์ภายในสำนักแบ่งแยกเป็นระหว่างศิษย์ฝ่ายในและศิษย์ฝ่ายนอก  ท่านประมุขสามารถเข้าไปอยู่ในสำนักชั้นในหรือเปล่า?”  ติงตังถาม
จิตวิญญาณของเฉินหวี่ลุกโชนทันที  “อย่าเป็นห่วงไปเลย มาตรฐานของศิษย์สำนักในเป็นรองนักสู้ชั้นทองครึ่งก้าว  และถ้าพวกเขาใช้พลังของนักสู้ระดับทองได้  อย่างพวกเขาจะสามารถเข้าไปได้อยางแน่นอน  พลังของท่านประมุขเข้าไปเป็นศิษย์ชั้นในได้แน่นอน”
เขาเลียนแบบติงตังเรียกถังเทียนว่าประมุข
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ติงตังสงบใจตนเอง  ถังจอมห้าวคือคนที่สามารถฆ่าเซียนนักสู้ได้  ดังนั้นการเข้าไปเป็นศิษย์ชั้นใน จึงไม่เป็นปัญหาอย่างแน่นอน
****************

 “วันนี้ศิษย์น้องทำจนเกินไปนะ!  ศิษย์ผู้พี่ดุศิษย์น้องที่ล้อถังเทียนเสียงเข้ม
ศิษย์น้องตอบ  “ก็เขาหน้าอัปลักษณ์จริงๆ จนข้าทนไม่ไหวนี่”
 “เหลวไหล!  ศิษย์ผู้พี่จ้องมองเขา  “เจ้าสำนักเฉินเป็นครูมวยที่มีชื่อเสียง ด้วยความสัมพันธ์ของเขากับอาจารย์ เจ้าควรระวังอย่าให้ถูกลงโทษจะดีกว่า”
 “ผู้น้องผิดไปแล้ว!” เมื่อเห็นว่าศิษย์พี่โมโหหนัก  เขาสำนึกผิดทันที เขารู้ว่าเขาพูดผิดไป และเปลี่ยนหัวข้อทันที  “ศิษย์พี่ อย่างนั้นจะจัดการให้อาโฉ่วยังไงดี? เจ้าสำนักเฉินบอกว่าเขามีพรสวรรค์ดี นั่นหมายถึงพลังหรือความฉลาดของเขา?  ข้ามองดูปราณแท้ของเขา ยังเห็นว่าไม่ถึงระดับแปด น่าจะมีเพียงระดับหก ข้าไม่สามารถรู้สึกได้ถึงพลังจากชีพจรใดๆ เลย ด้วยพรสวรรค์อย่างนั้น ข้าไม่รู้จะพูดยังไงดี”
ศิษย์พี่ยังคงใช้สมบัติดวงดาวตรวจสอบถังเทียนและรู้ว่าศิษย์น้องของเขาไม่ได้โกหก จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้  “เราคงได้แต่จัดเขาไว้เป็นศิษย์ชั้นนอกก่อน  ถ้าเขาถึงระดับแปด  แม้ว่าเขาจะยังไม่ถึงระดับเตรียมนักสู้ชั้นทอง บางทีเราสามารถคิดอะไรบางอย่างให้เขาอยู่ในสำนักชั้นในก็ได้  และไม่มีพลังสายเลือด เขาคงเป็นได้แต่เพียงศิษย์ชั้นนอกไปก่อน”
 “เราควรแจ้งอาจารย์ไหม?”  ศิษย์น้องถาม
 “ไม่จำเป็น  เมื่อเร็วๆ นี้อาจารย์มีเรื่องต้องจัดการมากมาย เราจะไม่รบกวนท่าน  เราจะดูแลด้วยตนเอง  ถ้าไป่อาโฉ่วมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง  เราจะให้ความสนใจดูแลเขามากขึ้น”  ศิษย์พี่คิดแล้วกล่าว
 “ก็ได้ อย่างนั้นข้าจะพาเขาไปที่พื้นที่ศิษย์ชั้นนอกก่อน”  ศิษย์น้องกล่าว
ถังเทียนยืนงงอยู่ในกลุ่มผู้คน  เขาผ่อยคลายมาก มีสมบัติตรวจสอบหลายรูปแบบซึ่งตรวจตราอยู่ในพื้นที่  ปิงเกรงว่าจะถูกจับได้  ดังนั้นเขากับหยาหยาจึงเข้าไปอยู่ในห้องจิตวิญญาณยุทธ (ในตัวถังเทียน)
รอบๆ ตัวเขามีแต่ผู้เยาว์ล้วนๆ พูดคุยปรึกษากันอย่างหลงใหลซึ่งถังเทียนไม่ได้เจอกับบรรยากาศแบบนี้มาเป็นเวลานานแล้ว ทำให้เขารู้สึกสดชื่น  เขาอดคิดถึงคืนวันเก่าก่อนในสถาบันแอนดรูว์ไม่ได้  แต่ตอนนั้นเขาคือขาใหญ่จอมเกเร จึงไม่มีใครยินดีเข้าใกล้เขา  ดังนั้นเขาจึงกีดกันตัวเองจากกลุ่ม
และปัจจุบันนี้เขาเป็นผู้ปกครองที่ทรงอิทธิพลอำนาจมากกว่าเดิม  มีพลังอำนาจฆ่าคนอยู่ในเงื้อมมือของเขา  นอกจากเสี่ยวเฮ่อและคนอื่นๆ อีกสองสามคน  คนที่เหลือจะระมัดระวังแสดงความนอบน้อมต่อหน้าเขา  พวกเขาระมัดระวังตัวต่อเขามาก  ขณะที่คนอย่างโส่วจินเป็นเด็กดีและมารยาทดีอยู่แล้วแม้จะระมัดระวังตัวมาก ก็ยังทำให้ถังเทียนหงุดหงิดจนแทบคลั่ง
ในที่ปัจจุบันนี้ ไม่มีใครคอยเอาใจเขา  ทุกคนแค่คุยกันอย่างไร้เดียงสาและเรียบง่าย
 “รอจนกว่าข้าเป็นนักสู้ระดับทองก่อน  ข้าจะกลับไปแต่งกับอาเจียว”
 “แค่นั้นยังไม่พอ  ฝันของข้าคือ ต้องเป็นเซียนนักสู้ให้ได้!
 “อย่าโม้ดีกว่า เจ้าบอกว่าอยากเป็นเซียนนักสู้  ถ้าเจ้ากลายเป็นนักสู้ชั้นทองได้ ก็ต้องไปจุดธูปเทียนขอบคุณพระยูไลได้แล้ว”
 “เจ้ากล้าดูถูกข้าเรอะ....”
……

เมื่อได้ยินเสียงสนทนาไร้สาระและจริงจัง  หัวใจถังเทียนตื่นเต้น นี่แหละคือเด็กรุ่นใหม่อย่างแท้จริง!
ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้น  “เอาละ เลิกเถียงกันและตามข้ามา!
ถังเทียนเงยหน้ามองและเห็นศิษย์สำนักคนหนึ่งและผู้ติดตามเขา เมื่อเห็นเช่นนั้นเขารู้ตัวอย่างรวดเร็ว  ศิษย์สำนักมวยผู้นั้นพาพวกเขาไปขึ้นยานและตะโกน “ทุกคน..ขึ้นไปและหาที่นั่งของตัวเอง”
ถังเทียนตามขบวนขึ้นไปในยาน สุ่มหาที่นั่งได้ก็นั่งทันที
เด็กหนุ่มที่นั่งข้างถังเทียนมองดูเขาก็ตกใจกับรูปลักษณ์ของถังเทียน เขามึนงงชั่วครู่ก่อนจะถาม  “น้องชายท่านนี้ชื่ออะไร?”
 “ข้าเหรอ?” ถังเทียนชี้หน้าตนเอง เมื่อเห็นว่าคนถามพยักหน้า เขาอุทาน โอว.. และตอบ “ข้าชื่อไป่อาโฉ่ว”
ชื่อเหมาะกับหน้าจริงๆ  (ขี้เหร่, อัปลักษณ์)
เด็กหนุ่มคิด แต่ใบหน้าของเขายังคงรักษาความสงบไว้  และเขาแนะนำตัวเอง  “รู้จักกันไว้ก็ดี ข้าชื่อเซียวหมิงฉี”
เซียวหมิงฉีเป็นคนช่างพูด พออ้าปากพูดได้  เขาก็พูดจ้อไม่หยุด  แต่ได้คนเช่นนั้นเดินทางด้วยทำให้คลายใจได้มาก
หลังจากยานบินไปได้วสองสามชั่วโมงโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด  ถังเทียนประหลาดใจ  “เราจะไปไหนกัน?  สำนักชางหยางใหญ่โตมากจริงๆ หรือ?”
เซียวหมิงฉีประหลาดใจ และพูดอย่างภูมิใจ  “แน่นอน!  สำนักชางหยางของพวกเราคือสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์ ก็ต้องใหญ่ที่สุดเป็นธรรมดา  สำนักชางหยางรวมพื้นที่ฝึกฝนเข้าด้วยกันทั้งหมด ยังใหญ่กว่าดาวดวงหนึ่งเสียอีก บอกข้าที นี่ยังไม่ใหญ่อีกหรือ”
 “แข็งแกร่งมากเลยเหรอ?”  ถังเทียนผงะ
เซียวหมิงฉีเห็นท่าทางตกใจของถังเทียนก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น  “แน่นอน!  สำนักชางหยางก่อตั้งมาได้แค่เพียงสองสามปีนี้เอง  แต่มีการขยายตัวอย่างเปิดเผยและเด็ดขาดไม่มีใครเทียบ  ทั่วทั้งกลุ่มดาวเซกซ์แทนส์ตกอยู่ในอิทธิพลของสำนักเรา  และเกี่ยวกับเบื้องหลังเจ้าสำนักเรา  มีเรื่องราวหลายอย่าง  บางคนก็บอกว่าเป็นสำนักนิกายโบราณ  บางคือก็บอกว่าเขามาจากหนึ่งในสิบสองตำหนักระนาบสุริยุปราคา และมีผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่ง  นับตั้งแต่ก่อตั้งมา ไม่มีใครเคยหาเรื่องกับสำนักของเราเลย  บอกข้าที นั่นแปลกหรือไม่?”
คำพูดของเสี่ยวหมิงฉีดึงดูดศิษย์กลุ่มใหญ่และใบหน้าของทุกคนมีแววสงสัย
เสี่ยวหมิงฉียิ่งตื่นเต้นมากและเริ่มจ้อไม่หยุด แม้แต่ถังเทียนที่ตอนแรกสนใจก็เผลอหลับหลังจากฟังมากขึ้น
 “ลงมา ลงมา!”  ศิษย์คนหนึ่งตะโกนลั่นปลุกถังเทียนตื่นจากฝัน
เขาลืมตาทันทีและมองออกไปทางหน้าต่าง  นอกหน้าต่างเป็นสีขาวโพลน แผ่นพื้นหิมะกว้างขวางไม่มีที่สุด
พอลงจากยานอากาศที่หนาวเหน็บกระตุ้นความรู้สึกกระตือรือร้นถังเทียนทันที
โอว ว้าว.. ข้าไม่เคยมาที่อย่างนี้มาก่อน!
 “ทุกคนตามข้ามา!”  ศิษย์สำนักมวยคนหนึ่งตะโกน  “ยังมีระยะห่างจากสำนักมวยของเราอีก 800 ลี้และเราจะต้องวิ่งไป  ทุกคนจงตามมาติดๆ  จำไว้ว่า ไม่ว่ายังไงก็ตามจงโคจรปราณแท้ของเจ้าเอาไว้ นี่คือพื้นหิมะดึกดำบรรพ์ และอากาศที่นี่เต็มไปด้วยคลื่นความเหน็บหนาวซึ่งสามารถกัดกร่อนปราณแท้ของพวกเจ้าได้  ถ้าปราณแท้ของพวกเจ้าถูกกัดกร่อนไปหมด  เจ้าจะเปลี่ยนเป็นตุ๊กตาน้ำแข็ง ต่อให้พระเจ้าก็ช่วยพวกเจ้าไม่ได้”
หน้าของศิษย์ทุกคนเปลี่ยน  และพวกเขากระตุ้นปราณแท้ทันที
ถังเทียนตกใจเช่นกัน  แต่เมื่อตรวจสอบตนเอง  เขาเย็นใจได้  ปราณแท้ในร่างเขาก่อตัวอยู่ที่เสี่ยวเอ้อ  แต่ถังเทียนรู้สึกว่าคลื่นความเย็นที่ศิษย์คนนั้นพูดถึง มีร่องรอยของพลังงานที่โปร่งใส  พลังงานชนิดนี้แตกต่างจากพลังที่ถังเทียนเคยเห็นมาก่อน  มันหนาวเหน็บมากและมีคุณสมบัติที่เป็นพิษ
ถ้าปราณแท้โคจรไม่เร็วพอ  พิษจะห่อหุ้มรอบปราณแท้
แต่ถังเทียนคาดไม่ถึงเลยว่าเสี่ยวเอ้อดูเหมือนจะชอบคลื่นความเย็นและจงใจโคจรปราณแท้ของมันช้าๆ ดึงดูดคลื่นความเย็นให้กัดกร่อนเข้ามา จากนั้นมันดูดซับคลื่นความเย็นไว้ในร่างของมัน
นี่เขาจะปวดท้องบ้างไหม?
แต่หลังจากจ้องมองเสี่ยวเอ้ออยู่ครึ่งค่อนวัน ดูเหมือนเขาไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงอะไร
จอมตะกละแท้ๆ  หลังจากกินการ์ดวิญญาณไปหลายใบ และไม่มีอะไรเปลี่ยน การกินคลื่นความเย็นก็ยังไม่มีความผันผวนใดๆ บนใบหน้าที่ว่างเปล่า
ถังเทียนหมดความสนใจเสี่ยวเอ้อ  จอมตะกละที่กินอย่างเดียวไม่สร้างโภคผลอะไรออกมา มันสร้างอะไรดีๆ ออกมาบ้างไหม?
เสี่ยวหมิงฉีสังเกตความแตกต่างของถังเทียนและอุทาน  “ร่างกายของเจ้าดีจริงๆ!”
ศิษย์ประจำสำนักก็สังเกตเห็นความผิดปกติของถังเทียน  ทุกคนใช้วิชาตัวเบาและใช้พลังปราณบินขึ้นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว  แต่มีแต่ถังเทียนคนเดียวที่ใช้ขาวิ่งเร่งทำความเร็ว โอว.. เขาก็ใช้วิชาตัวเบาเหมือนกัน  แต่เป็นวิชาตัวเบาขั้นพื้นฐาน...
แต่ ความจริงความเร็วของถังเทียนไม่ตกลงแม้แต่น้อย  แม้แต่ท่าทางของเขาก็สงบใจเย็น
พลังภายนอกของเขาดีจริงๆ
ศิษย์ประจำสำนักตื่นเต้น  เขากระตุ้นปราณแท้เงียบๆ และเพิ่มระยะก้าวเท้า  กลุ่มคนแต่เดิมยืดระยะกว้างออกไปทันที
แต่ไป่อาโฉ่วไม่ล้าหลังเลยแม้แต่น้อย
ตาของศิษย์ประจำสำนักเป็นประกายดีใจ  สายตาของเขากวาดไปที่ร่างของถังเทียนขึ้นๆ ลงๆ เขากลับกลายเป็นกระตือรือร้นขึ้นมากทันที

2 ความคิดเห็น:

Neoplasm24 กล่าวว่า...

จะเข้าไปดีๆหรือไปตบ3ศิษย์เอกน้อ

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

แสดงความคิดเห็น