วันศุกร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

Panlong เล่มที่ 8 เดินทางไกลหมื่นกิโลเมตร – ตอนที่ 15 เภสัชกร

เล่มที่ 8 เดินทางไกลหมื่นกิโลเมตร – ตอนที่ 15 เภสัชกร
หลังจากประสบเหตุพยายามลอบสังหารอีกครั้ง  เจนน์และคีนสองพี่น้องก็เข้าใจอย่างแท้จริงว่าการเดินทางสู่เมืองเซียร์นั้นอันตรายมากมายเพียงใด  พวกเขาเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ  สองพี่น้องหันไปหาลินลี่ย์โดยไม่รู้ตัว

 “พี่ลีย์, ต่อไปเราควรจะทำยังไงดี?” เจนน์มองลินลี่ย์ขณะที่ถามคำถามนี้ ใจนางเต็มไปด้วยความกังวล
เวลานี้เจนน์กับคีนสองพี่น้องรู้สึกเหมือนกับว่าหลงทางอยู่ในที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตไม่อาจเห็นอนาคต  พวกเขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาดันทุรังต่อไป
เมื่อเห็นสองพี่น้องที่ไร้เดียงสาคู่นี้แล้ว ลินลี่ย์ปลอบโยนพวกเขา  “อย่าห่วง ข้ามั่นใจความสามารถตัวเองว่ารับมือกับรักษาการเจ้าเมืองได้”
ตอนนี้ลินลี่ย์เป็นนักสู้ระดับแปดแล้ว และยังเป็นนักสู้ระดับเก้าชั้นสูงเมื่ออยู่ในร่างแปลงมังกร เสือดำเมฆาแฮรุก็ยังเป็นอสูรเวทระดับเก้าชั้นสูงและพลังของบีบีไม่ต่ำทรามกว่าลินลี่ย์และแฮรุแต่อย่างใด
เมื่อมนุษย์ผู้นี้และอสูรเวททั้งสองโจมตีพร้อมกัน ถ้าไม่ใช่นักสู้ระดับเซียนปรากฏตัวออกมา  ไม่ว่าจะมีคนมากี่คนก็ตาม ก็ไม่มีทางยับยั้งทั้งสามนี้ได้
เมื่อได้ยินคำพูดของลินลี่ย์ เจนน์กับคีนอดเคารพเทิดทูนลินลี่ย์ไม่ได้
แม้ว่าจนถึงบัดนี้ ทั้งสองคนก็ยังไม่รู้ว่าแท้จริงลินลี่ย์แข็งแกร่งมีพลังขนาดไหน แต่ในสายตาของพวกเขาลินลี่ย์เป็นคนน่าทึ่งและลึกลับ  สำหรับแลมเบิร์ตเห็นสิ่งเหล่านี้มาตลอด เขารู้สึกพอใจมากเช่นกัน ตราบใดที่เจนน์กับคีนมีชีวิตปลอดภัย  เขาก็มีความสุขแม้ว่าเขาจะตายก็ตาม มียอดฝีมือที่ยินดีช่วยเหลือสองพี่น้องจากบ้านนอกโดยไม่มีการพูดเรื่องอะไรอื่น สร้างความพอใจและซาบซึ้งให้กับบ่าวชรามากแล้ว
 “ก๊อก ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นได้ยินจากด้านนอก
 “ข้าจะไปรับเอง” แลมเบิร์ตหัวเราะ “บางทีบริกรคงนำอาหารเช้ามาให้”
 “เตรียมตัวกินกันเถอะ” ลินลี่ย์หัวเราะขณะที่เขานำเจนน์และคีนไปที่ห้องนั่งเล่น  แลมเบิร์ตเปิดประตูที่พักของพวกเขาและบริกรสองคนเข็นรถส่งอาหารเข้ามา
 “นำอาหารนี้ไปที่ห้องนั่งเล่นได้เลย”  แลมเบิร์ตพูดกลั้วเสียงหัวเราะพลางบอกพวกเขา
 “ขอรับ ท่าน” บริกรทั้งสองคนนอบน้อม ขณะที่ต่างคนต่างเข็นรถเข้าไปข้างใน  ขณะที่พวกเขาเข้าไปข้างใน  พวกเขาชำเลืองมองกันเองเป็นการสื่อสารผ่านดวงตา
ในการพยายามลอบสังหารครั้งนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ก็ตาม พวกเขาจะต้องตายแน่ๆ
พวกเขารู้ว่าลินลี่ย์ยอดฝีมือที่ทรงพลังนั้นยังคงปรากฏตัว ไม่ว่าจะเป็นลินลี่ย์หรือเสือดำของเขาก็สามารถฆ่าพวกเขาได้ง่ายๆ
….

ภายในห้องนั่งเล่น  ลินลี่ย์นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ  เจนน์และคีนนั่งอยู่ด้านข้าง  บริกรทั้งสองคนยิ้มอย่างนอบน้อมขณะที่พวกเขาเข็นรถอาหารเข้ามาในห้อง
 “ใต้เท้า, คุณหนู จะให้เราวางแกะย่างนี้ไว้ที่ไหนขอรับ?”  บริกรคนหนึ่งเปิดฝาอาหารทันที
 “วางไว้ตรงนั้น” ลินลี่ย์ชี้ไปที่พื้นหินใกล้โต๊ะ เสือดำเมฆาแฮรุกำลังพักอยู่ข้างโต๊ะนั้น เมื่อมันได้กลิ่นเนื้อย่าง มันเงยหน้าขึ้น
สำหรับแฮรุ แกะย่างทั้งตัวไม่มีอะไรมากไปกว่าอาหารเบาๆ ยามเช้า
 “ขอรับท่าน” บริกรวางถาดที่มีแกะย่างตัวใหญ่ลงบนพื้นอย่างว่าง่าย  บีบีวิ่งเข้ามาทันที มันกวาดกรงเล็บที่แหลมคมตัดขาแกะย่างไปชิ้นหนึ่ง
แฮรุจ้องมองบีบีและจากนั้นมันเดิมเข้ามาและเริ่มกัดกินแกะย่างส่วนใหญ่ที่ยังเหลือ
 “เชิญขอรับ” บริกรวางถาดอาหารข้างหน้าลินลี่ย์ และจากนั้นวางอีกใบที่ข้างหน้าเจนน์
ขณะเดียวกัน บริกรอีกคนหนึ่งก็วางถาดอาหารด้านหน้าคีน
ขณะนั้นเอง...
บริกรทั้งสองคนอยู่ด้านข้างคีน  คีนไม่เอะใจแม้แต่น้อย หยิบมีดและซ่อมอย่างมีความสุขเตรียมสำราญกับอาหารมื้อนี้
บริกรทั้งสองคนชำเลืองมองกัน เหมือนกับว่าร่างกายของพวกเขาเชื่อมโยงกัน พวกเขาเอื้อมมือเข้าหาคีนพร้อมกัน มือทั้งสี่ของพวกเขางอราวกับตะขอเตรียมทะลวงเข้าที่อก ศีรษะและลำคอของคีน
มือทั้งสี่โจมตีพร้อมกัน
นักรบธรรมดาระดับห้าและหกสามารถต่อยทำลายหินในหมัดเดียวได้  แม้แต่นักรบระดับสี่ก็สามารถทำลายแผ่นไม้หนาได้
จุดสำคัญของเด็กอ่อนอย่างคีนบางทีไม่อาจทนรับการจู่โจมทำร้ายได้แม้แต่ครั้งเดียว ไม่ต้องพูดถึงศีรษะ อก หรือลำคอของเขาเลย
พวกเขาอยู่ใกล้เกินไป
บริกรทั้งสองคนอยู่ใกล้คีนมาก และพวกเขาโจมตีจากระยะใกล้เช่นกัน ระยะใกล้ขนาดนั้น ต่อให้เป็นนักรบระดับแปดกว่าจะตั้งตัวได้ทันคีนก็คงตายไปแล้ว
ลินลี่ย์แค่นเสียงเย็นชา
แสงสีม่วงเป็นประกายวูบขึ้นทันทีจากนั้นก็หายไป เสียงร้องโหยหวนแสบแก้วหูดังลั่นขณะที่มือทั้งสี่ของบริกรทั้งสองคนขาดตกลงบนพื้น
 “อ๊า!” เจนน์กลัวจัดจนลุกขึ้นยืนพรวดพราด
 “คุณชาย!” พอถึงตอนนี้แลมเบิร์ตถึงได้ตระหนักถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเกือบทั้งหมด เขาโมโหเตะบริกรทั้งสองกระเด็นกระแทกผนัง จนผนังสั่นสะเทือน
บริกรทั้งสองคนนั้นครวญครางด้วยความเจ็บปวด พวกเขาได้แต่มองหน้า มีแววสิ้นหวังในดวงตา
 “เจ้า..รู้ได้..ยังไง” หนึ่งในบริกรมองดูลินลี่ย์อย่างเหลือเชื่อ
พวกเขาอยู่ห่างคีนไม่ถึงครึ่งเมตร แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพียงนักรบระดับสี่ แต่ระยะใกล้ขนาดนั้น พวกเขาไม่ต้องใช้เวลามากเลยในการสังหารคีนทันที
ในช่วงเวลาสั้นขนาดนั้น  ต่อให้เป็นยอดฝีมือไม่น่าจะลงมือได้ทันเวลา
ลินลี่ย์ไม่เพียงแต่ลงมือได้ทันเวลาเท่านั้น เขายังสามารถตัดแขนของพวกเขาได้
 “ประหลาดใจที่ข้ารู้ตัวทันเวลาหรือ?”  ลินลี่ย์มองดูทั้งสองคนอย่างใจเย็น  “บริกรทั่วไปจะมีแขนอย่างพวกเจ้าได้ยังไง?”
ทั้งสองคนมองดูแขนที่ถูกตัดขาด
คนที่ได้รับคำสั่งจากบุรุษผมแดงทุกคนล้วนเป็นพลธนูมือดี  มือธนูฝีมือดีจะต้องฝึกฝนอยู่บ่อยๆ ทำให้เส้นเลือดและกล้ามเนื้อที่แขนของพวกเขานูนเด่นชัด
บริกรทั้งสองต่างจ้องมองกัน นัยน์ตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ยิ่งกว่านั้นแขนที่ถูกตัดของเขายังคงมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ในไม่ช้าทั้งสองคนจะต้องเสียเลือดมากและตายแน่นอน  แต่พวกเขารู้ ภารกิจของพวกเขาล้มเหลว  ต่อให้ลินลี่ย์ไว้ชีวิตพวกเขา แต่หัวหน้าและท่านหญิงเว็ดคงจะไม่ไว้ชีวิตพวกเขาเป็นแน่”
 “อย่าไปถือสาพวกเขาเลย  ตอนนี้เราไปกันเถอะ”  ลินลี่ย์ยืนขึ้น
เจนน์กับคีนประสบเหตุการณ์ลอบฆ่าถึงสองครั้งแล้ว จึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากมายในครั้งที่สามนี้เหมือนอย่างเมื่อก่อน  คีนกระซิบเบาๆ “พี่ลีย์, อาหารเช้าจะทำยังไงดี? เราจะห่อเอาไปด้วยไหม?”
 “ไม่”
ลินลี่ย์ส่ายศีรษะ  “ระวังอาหารที่เจ้าจะกินในอนาคตด้วย  ข้าสงสัยว่าอาหารทั้งหมดนี้จะถูกวางยาพิษ”
 “ยาพิษ?”  คีนดูอาหารในจานของเขาและรู้สึกหวาดผวา
 “จี๊ดดด!” บีบีที่อยู่ด้านข้าเริ่มส่งเสียงร้องใส่ลินลี่ย์  เมื่อเห็นบีบีเป็นอย่างนั้น  ลินลี่ย์อดหัวเราะไม่ได้
 “เถอะน่า เถอะน่า, เจ้าไม่กลัวพิษ ใช่ไหม?”  ลินลี่ย์พูดอย่างจำนน
อสูรเวทและมนุษย์มีสภาพร่างกายที่แตกต่างกัน  อสูรเวทหลายตัวมีส่วนของร่างกายที่เป็นต่อมพิษอยู่ในตัวมาตั้งแต่เกิด  พิษซึ่งมนุษย์ทั้งหลายกลัว  พวกมันอาจไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย  ยิ่งเป็นอสูรเวทที่ทรงพลัง ระบบภูมิคุ้มกันของพวกมันก็ยิ่งแข็งแกร่ง  นอกจากนี้ เนื่องจากอสูรเวทส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในป่าเก่าแก่ที่ยังไม่ถูกแตะต้อง  บ่อยครั้งที่มันมีปฏิกิริยากับพิษโดยธรรมชาติตั้งแต่เล็ก  ดังนั้นอสูรเวทรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงมีภูมิต้านทานพิษเพิ่มขึ้น
……

กลุ่มของลินลี่ย์ออกจากโรงแรมแต่เช้าตรู่  บุรุษผมแดงมองดูกลุ่มของลินลี่ย์เดินออกไปไกล  หน้าของเขาดูบิดเบี้ยวน่าเกลียด
ลีย์?” บุรุษผมแดงพึมพำ  “ยอดฝีมือที่มีพลังขนาดนั้นมาจากไหน? และทำไมเขาต้องเดินทางไปกับสองพี่น้องบ้านนอกนี้?”
บุรุษผมแดงไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ภารกิจลอบสังหารคีนและเจนน์แต่เดิมนั้นง่ายมาก  บ่าวชราแลมเบิร์ตยังไม่แข็งแกร่งพอจะทำอะไรได้  แต่ภารกิจที่เดิมทีง่ายๆ นั้นกลับกลายเป็นยากขึ้นอย่างกระทันหันทันทีที่ยอดฝีมือลึกลับเข้ามาพัวพันด้วย
 “ไม่มีอะไรทำได้  ข้าต้องรายงานนายหญิง”  เมื่อรู้ว่าลินลี่ย์มีพลังเพียงใด  บุรุษผมแดงไม่กล้าเสี่ยงอีกต่อไป
……

ในฐานะเป็นจักรวรรดิที่เป็นมหาอำนาจที่สุดในสี่จักรวรรดิใหญ่  จักรวรรดิโอเบรียนมีระบบการสื่อสารที่ยอดเยี่ยม กองงานสื่อสารพิเศษนั้นใช้เหยี่ยววายุน้ำเงินในการสื่อสาร
ทุกเมืองในเขตปกครองของจักรวรรดิโอเบรียนจะมีเหยี่ยววายุน้ำเงินอยู่ไม่กี่ตัว  มันถูกฝึกให้เชื่องเชื่อโดยกองงานสื่อสาร  เหยี่ยววายุน้ำเงินมีความฉลาดมาก  พวกมันจดจำเส้นทางได้และภายใต้คำสั่งเจ้านายของมัน มันสามารถนำจดหมายไปได้ทั่ว
แต่มีแค่ตระกูลปกครองเมืองของจักรวรรดิโอเบรียนจึงจะมีสิทธิ์ได้ใช้เหยี่ยววายุน้ำเงินเหล่านี้  คนธรรมดาสามัญและแม้แต่ขุนนางทั้งหมดไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้น  และแน่นอน  กองทัพก็มีระบบสื่อสารเฉพาะตน
เมื่อลงผนึกตราเจ้าเมืองเซียร์ บุรุษผมแดงขอให้เมืองแบล็คร็อคส่งเหยี่ยววายุน้ำเงินไปยังเมืองเซียร์
….

การบินเป็นเส้นตรงในอากาศ ไวกว่าวิ่งไปตามถนน ไม่นานหลังจากกลุ่มของลินลี่ย์ออกจากเมืองแบล็คร็อค  เหยี่ยววายุน้ำเงินก็มาถึงเมืองเซียร์
เมืองเซียร์เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่
ในมณฑลพายัพ เมืองนี้เป็นหนึ่งในสิบสุดยอดเมือง  ในเวลานี้ในปราสาทที่พักของเจ้าเมืองมีบรรยากาศที่มืดมนและชั่วร้ายมาก
เจ้าของปราสาทนี้ก็คือท่านหญิงเว็ด!  นางเป็นคนที่เย็นชา ชั่วร้ายและหยิ่งยโส
 “น้องเรา, น้องเรา!
บุรุษวัยกลางคนสองคนวิ่งเข้ามาในสวนดอกไม้ด้านหลัง  เวลานี้ท่านหญิงเว็ดกำลังเพลิดเพลินกับการอาบแดดโดยมีสตรีสองคนคอยรับใช้
 “เป็นอะไรไป พี่ชายที่รักทั้งสองของข้า?”  ท่านหญิงเว็ดเชิดศีรษะขณะมองดูบุรุษทั้งสองคน
 “น้องเรา, มีจดหมายส่งแจ้งว่า ภารกิจล้มเหลว” ทั้งสองคนลังเลเล็กน้อยแล้วจึงรายงาน
 “ล้มเหลว?  เคิร์ดใช้ไม่ได้ถึงขนาดนั้นได้ยังไง?”  ท่านหญิงเว็ดหยิบจดหมายมาอ่าน นางทำหน้าบึ้งและสับสน “ยอดฝีมือลึกลับซึ่งมีอสูรเวทประเภทเสือดำเป็นสหาย?”
ตามที่เคิร์ดบุรุษผมแดงกล่าวไว้ เสือดำอย่างน้อยต้องเป็นอสูรเวทระดับแปด  และยอดฝีมือลึกลับนั้นอย่างน้อยต้องเป็นนักสู้ระดับแปด บางทีอาจเป็นระดับเก้าก็ได้
ท่านหญิงเว็ดรู้สึกว่าจดหมายหนักอึ้งขึ้นมาทันที
 “น้องหญิง, เราจะทำยังไงกันดี?”   พี่ชายคนโตของท่านหญิงเว็ดซึ่งตัวอ้วนถาม  ส่วนพี่ชายคนรองของท่านหญิงเว็ดยังคงมองนางอย่างเปี่ยมความหวัง
ท่านหญิงเว็ดขมวดคิ้วขณะไตร่ตรองปัญหา
 “ท่านพี่ทั้งสอง!  ช่วยไปขอร้องเภสัชกรโฮลเมอร์ด้วย” ท่านหญิงเว็ดพูดอย่างใจเย็น
 “โฮลเมอร์?  เจ้าแก่วิปริตนั่นน่ะหรือ?”  พี่ชายรองออกมาอย่างประหลาดใจทันที
ท่านหญิงเว็ดพูดเย็นชา  “ตามที่เคิร์ดตรวจสอบมา เจ้าคนลึกลับที่ชื่อลีย์ อย่างน้อยก็เป็นนักสู้ระดับแปด  บางทีอาจเป็นระดับเก้า  ข้าไม่มีความสามารถฆ่านักสู้ระดับเก้าซึ่งหน้าได้แน่  ดีที่สุดให้เภสัชกรโฮลเมอร์จัดการเรื่องนี้  ที่สำคัญคือเภสัชกรโฮลเมอร์เคยฆ่านักสู้ระดับเก้ามาแล้ว”
 “แต่โฮลเมอร์...” พี่ชายคนโตของท่านหญิงเว็ดลังเลเช่นกัน
 “ฮึ่ม.. ถ้าท่านทั้งสองทำอย่างนี้ พวกท่านจะไม่มีทางทำอะไรได้เลย  ต่อให้ข้าฆ่าคีนแล้ว  ถ้าท่านสองคนทำแบบนี้  พวกท่านยังเหมาะจะเป็นเจ้าเมืองอีกหรือ?”  ท่านหญิงเว็ดแค่นเสียงเย็นชา
 “ก็ได้ น้องเรา, เราจะไปคุยกับเภสัชกรโฮลเมอร์เดี๋ยวนี้” พี่ชายทั้งสองของท่านหญิงเว็ดยอมรับคำนาง
…..

 “เภสัชกรโฮลเมอร์” เป็นชื่อที่โฮลเมอร์ตั้งให้ตัวเอง
อีกมุมมองหนึ่งของโฮลเมอร์ก็คือฆาตกร  แต่โฮลเมอร์มองตัวเองว่าเป็นเภสัชกร
และแน่นอนความสามารถของโฮลเมอร์ในการรักษาชีวิตค่อนข้างสูง  ตอนนี้โฮลเมอร์มีอายุเกือบสามร้อยปี  นักรบระดับหกคนหนึ่งจะมีชีวิตอยู่ถึงเกือบสามร้อยปีก็แทบเป็นไปไม่ได้  แต่โฮลเมอร์กลับทำได้  ยิ่งกว่านั้นโฮลเมอร์ดูเหมือนกับว่ามีรูปร่างที่ดี  ทั้งนี้เป็นเพราะโฮลเมอร์มักปรุงส่วนผสมยาที่ประหลาดทำให้ร่างกายอายุสามร้อยปีของเขายังแข็งแรงสุขภาพดีเหมือนกับคนหนุ่ม
 “ฮึ..ท่านหญิงเว็ดช่างมีใจกว้างจริง  งานที่ส่งมานี้... ข้ารับ  ข้ารับทำ”  โฮลเมอร์ลูบเคราสีเทาหัวเราะเบาๆ
ที่อยู่ต่อหน้าของโฮลเมอร์คือ พี่ชายทั้งสองของท่านหญิงเว็ดที่ค่อนข้างจะมีอาการกังวล
 “เภสัชกรโฮลเมอร์ ยิ่งท่านลงมือให้เร็วก็ยิ่งดี”  พี่ชายคนโตของท่านหญิงเว็ดกระตุ้น  “คนของเราจะส่งท่านไปหาเป้าหมาย”
 “ฮ่าฮ่า จ่ายมัดจำให้ข้าก่อน  แล้วข้าจะออกไปลงมือทันที”  โฮลเมอร์หัวเราะลั่น
 “จ่ายมัดจำ?”  พี่ชายทั้งสองมองหน้ากันเอง
ในเมืองปกครองอย่างเมืองเซียร์ สองคนไม่เคยถูกปฏิบัติอย่างนี้มาก่อน  แต่หลังจากศึกษานิสัยของโฮลเมอร์มาบ้าง สองพี่น้องไม่กล้าตอแยโฮลเมอร์ผู้ที่เรียกตัวเองว่าเภสัชกร  เมื่อตาเฒ่านี่มีโทสะ  ไม่ทราบว่ามีคนตายมามากเท่าใดแล้ว

2 ความคิดเห็น:

ชัชวาล กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Unknown กล่าวว่า...

โอย ตื่นเต้ว ขอวันละหลายๆตอนน

แสดงความคิดเห็น