ตอนที่ 490
ชางหยางหวี่
เสียงตัดอากาศดังพร้อมกัน
ขณะที่ท้องฟ้าแพรวพราวไปด้วยรังสีเขียวหนาแน่น รังสีฆ่าฟันเต็มเปี่ยม
ประกายแสงเจิดจ้าสว่างวาบต่อหน้าถังเทียน
เสี่ยวเอ้อปรากฎอยู่เหนือศีรษะของเขากางร่มดวงดาวปั่นหมุน
ใบหญ้าทั้งหมดถูกดูดซับหายไปในร่มทันที
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยภาพหญ้าถูกกวาดหายเรียบ
ถังเทียนดีใจ ใครบอกว่าเสี่ยวเอ้อของเราไม่มีพลัง?
ขณะนั้นเสียงคำรามดังขึ้นจากที่ไม่ไกลทันที “คิดจะหนีอย่างนั้นหรือ?”
หลังจากที่เขาพูด
เสียงบึ้มก็ดังออกมาและแสงแพรวพราวเจิดจ้าเหมือนเสียงอาทิตย์ส่องออกมาจากลานว่างทางทิศตะวันตก ระลอกพลังงานที่น่ากลัวกวาดทุกสิ่งทุกอย่างออกไปเหมือนกับพายุสลาตัน
เซียนนักสู้!
นอกจากตัวเขาเองแล้ว
ยังมีคนอื่นลอบเข้ามาและยังเป็นเซียนนักสู้อีกคนหนึ่ง!
ขณะนั้นเองระลอกพลังที่ไม่คาดคิดแผ่ขยายกระจายออกมาจากลานใหญ่ทำให้ถังเทียนใจสั่นสะท้าน
เหมือนกับว่าเขาถูกบางอย่างจ้องมอง
ความรู้สึกที่ทำให้ทั่วทั้งตัวของเขาตึงเครียดจนตัวเขาแข็งชะงัก
เป็นระลอกพลังที่แปลกประหลาด
มันบินเข้ามาเร็วมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะถังเทียนมีประสาทเฉียบคม
เขาคงคิดว่าเป็นความรู้สึกที่ผิดปกติ
แต่เขารู้ว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกที่ผิดปกติแต่อย่างใด
จวนเจ้าเมืองสร้างอยู่บนภูเขาและส่วนลึกที่สุดก็คือภูเขา....
เมื่อเห็นพัฒนาการเช่นนั้น ถังเทียนรู้ว่าแผนการของเขาถูกจับได้
เป็นไปตามคาดสัญญาณเตือนจากเมืองหานกู่ดังเตือนไปทั่วทุกทิศทำให้มีแสงสว่างค่อยๆครอบคลุมทำหน้าที่ม่านพลังป้องกันเมืองหานกู่ไว้
ข่าวร้าย!
ถ้าเขาไม่หนีออกไปตอนนี้ เขาจะต้องต่อสู้เพื่อเบิกทางออกไปเอง....
เมื่อถังเทียนคิดเช่นนั้น
เสี่ยวเอ้อคว้าชุดของเขาไว้ทันทีและหมุนร่มดวงดาว วูบบบ
ถังเทียนเพียงแต่รู้สึกว่าพลังงานแปลกประหลาดส่งผ่านจากคอของเขาและจากนั้นตาของเขาพร่าขณะที่รู้สึกว่าพุ่งออกไปในท้องฟ้าเหมือนกับธนูไฟ
นี้คือ....
ถังเทียนตะลึง...
เสี่ยวเอ้อ....
พวกเขาบินสูงขึ้นไปทุกทีและในพริบตา
เสี่ยวเอ้อพาถังเทียนผ่านทะลุก้อนเมฆ
พอออกจากก้อนเมฆพวกเขาก็ออกไปพบกับอีกโลกหนึ่ง แสงจันทร์สาดส่องลงบนทะเลเมฆสดใสงดงาม
ทะเลเมฆไร้ขีดคั่นเขตแดนและดวงจันทราดวงโตสว่างสดใสแขวนตัวอยู่ในแนวเส้นขอบฟ้า ความเงียบสงบสภาพอากาศเหนือชั้นเมฆเป็นภาพที่งดงาม
ถังเทียนหลงใหลฉากภาพที่งดงามอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ความจริงเขาลืมวิธีพูดไปชั่วขณะ
ปิงลอยออกมาและชื่นชม “เสี่ยวเอ้อทรงพลังมากจริงๆ! ภาพที่งดงามตระการตาอย่างนี้ข้าได้เห็นครั้งสุดท้ายนานเท่าใดแล้ว?.. โอ้ว
สักหมื่นปีได้กระมัง?”
ในที่สุดถังเทียนก็รู้สึกตัว หน้าของเขาซีด
นี่มันสูงมากเชียวนะ....
เขาได้เรียนวิชาตัวเบามาก่อนในอดีต และบินอยู่ในท้องฟ้าได้ นั่งอยู่บนยานและรู้สึกเพลิดเพลินยามที่มองลงมาจากท้องฟ้า แต่... ถังเทียนอดกลืนน้ำลายไม่ได้ ปัจจุบันนี้เขาอยู่สูงมาก และดูเหมือนว่ามันสูงเกินไปเล็กน้อย...
เรากำลังจะร่วง....
ใจของถังเทียนเริ่มจินตนาการถึงการต้องกลายเป็นร่างเนื้อแหลกเหลวทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด สีหน้าของปิงเปลี่ยน และเขาตะโกน “รีบไปเร็ว
ตาแก่กำลังไล่ตามขึ้นมา!”
เขากลับเข้าไปในร่างของถังเทียน
เสี่ยวเอ้อหมุนปั่นร่มในมือและเหมือนกับปลาที่คล่องแคล่ว
มันพุ่งโค้งเหนือท้องฟ้าบินเข้าไปในทะเลเมฆ
ถังเทียนงงอีกครา ขณะนั้นเขามุดเข้าไปในหมอกขาวทันที
มีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากทะเลเมฆ
เขาคือหลี่รั่ว ตาของเขากวาดมองรวดเร็วดุจสายฟ้า
เขาเป็นเหมือนกับปลาทะยานขึ้นไปเหนือเมฆและตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขาไม่สามารถหาอะไรพบได้
จึงดำลงไปในทะเลเมฆและกลับเข้าไปในเมือง
เมื่อถังเทียนกลับมายังค่ายฝึก ก็มีเสียงเอะอะไม่พอใจอยู่แล้ว ทุกคนถูกเสียงระเบิดปลุกตื่นและมารวมตัวกัน เมื่อเห็นม่านพลังป้องกันที่ก่อตัวขึ้น พวกเขาทุกคนต่างพูดคุยกัน
เมื่อติงเฉินพบเห็นเขา
ความเครียดบนใบหน้าก็คลายลง
เขาไม่ถามอะไรมาก เขารู้ว่ามีบางอย่างถามไปก็ไม่ได้อะไร
ถังเทียนไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้ว
และรีบกลับไปยังห้องของตัวเอง
การต่อสู้สร้างผลกระทบให้เขามาก
เขาเคยรู้สึกว่านักสู้ชั้นเซียนไม่มีอะไรมาก เนื่องจากเขาเคยฆ่าเซียนไปสองสามคน แต่เขาเพิ่งตระหนัก
การจะสามารถผ่านไปได้ต้องพึ่งพาโชคแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามไม่คาดว่าเขาจะเป็นตัวประหลาดขนาดนั้น
พูดให้ตรงมากขึ้นก็คือการบินของเซียนแตกต่างจากวิชาตัวเบาของนักสู้โดยสิ้นเชิง
วิชาตัวเบาคือกระบวนการเพิ่มปราณและปลดปล่อยปราณ
สามารถช่วยให้นักสู้พุ่งไปข้างหน้าได้
เมื่อพลังตกลง ก็จะกลายสภาพเป็นเลื่อนไปข้างหน้า ส่วนการบินของเซียนนักสู้
เป็นการเหาะที่แท้จริงสามารถผ่านทะลุเมฆได้ ความเร็วก็น่าประหลาดและความคล่องแคล่วว่องไวนั้นเหมือนกับปลา
เป็นความจริงที่ว่าเซียนนักสู้สามารถไปได้เร็วกว่านักสู้ และนั่นถือว่าเป็นเซียนระดับธรรมดา
เซียนที่ได้รับการยกย่องผ่านวิชาตัวเบาจะน่ากลัวยิ่งกว่า
ถ้าเขาไม่มีเสี่ยวเอ้อ เมื่อฝ่ายตรงข้ามบุกโจมตีใส่เขา เขาคงไม่รู้ว่าจะหลบหนีได้ยังไง
และเขาจะใช้เสี่ยวเอ้อได้อย่างไร?
การแสดงฝีมือของเสี่ยวเอ้อสร้างความประหลาดใจให้ถังเทียน
มันน่าทึ่งแน่นอน
แต่เขาสามารถพึ่งพาเสี่ยวเอ้อให้ระเบิดพลังออกมาทันทีในวิธีแต่ละครั้งที่ใช้
ร่างวิญญาณก็คือสนามพลังวิญญาณรูปแบบหนึ่งคงจะต้องมีวิธีใช้งานอยู่เป็นแน่
บรรยากาศในเมืองหานกู่ตึงเครียดมาก
เหมือนกับว่ารอรับการโจมตีจากศัตรูใหญ่
จวนเจ้าเมืองสว่างไสวราวกับกลางวัน การรักษาความปลอดภัยเข้มงวด
ฟู่จงซานและคนอื่นอีกสองคนอยู่ในห้องโถงใหญ่
ทุกคนกำลังฟังบรรยายรายละเอียดการต่อสู้ของเจียงหยาง
“ศิษย์กำลังนั่งกรรมฐาน
ทันทีเมื่อข้ารู้สึกว่ามีคนผู้หนึ่งบุกรุกเข้ามาในผืนหญ้า ศิษย์ตกใจมาก ก่อนที่คนผู้นั้นจะเข้ามาในพื้นหญ้า
ศิษย์ไม่รู้สึกถึงตัวบุคคลผู้บุกรุกเลย
ศิษย์ตั้งใจจะตรึงผู้บุกรุกไว้จึงใช้งานหญ้าเงาเข็ม
แต่ฝ่ายตรงข้ามต้องเป็นศิษย์ของเซียนนักสู้เช่นกัน
ข้านึกไม่ถึงว่าเขาจะมีวิธีปัดต้านรับวิชาของข้าและสิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้ข้าได้
มีขุนพลวิญญาณตนหนึ่งกางร่มปรากฏตัวอยู่เหนือศีรษะของเขาทันทีเข็มหญ้าของข้าทั้งหมดถูกดูดซับไว้ได้ทำให้ข้าสูญเสียการควบคุม
และเพียงแค่นั้นก็มีเสียงระเบิดขึ้น
ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะตระหนักได้ว่าล้มเหลวและใช้ขุนพลวิญญาณพาเขาบินขึ้นไปในอากาศ”
หน้าของฟู่จงซานเขียวคล้ำมากขึ้น
และถามทันที
“เจ้าบอกว่าขุนพลวิญญาณพาเขาบินขึ้นไปในอากาศหรือ?”
“ถูกแล้ว!” เจียงหยางมีท่าทางระลึกได้ “ขุนพลวิญญาณนั้นคว้าคอของเขาทันที
และหมุนปั่นร่ม
หลี่รั่วลดเสียง
“เมื่อข้าตั้งตัวได้ เขาก็ไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย
จากเท่าที่เห็น คนผู้นั้นไม่น่าจะเป็นเซียนนักสู้
และขุนพลวิญญาณนั้นก็แปลกประหลาด เด็กที่ถือร่มใช่ไหม? ศิษย์พี่
ท่านจำได้บ้างไหมว่าจะมีนักสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนั้น?”
ฟู่จงซานส่ายศีรษะ “ข้าไม่เคยได้ยินเช่นนั้นมาก่อน”
เขาโบกมือชั่วขณะ
จากนั้นกล่าว
“คนที่ข้าสู้ด้วยมีพลังสายเลือดชั้นเซียน
และเขาน่าจะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
“พลังสายเลือดระดับเซียน?”
หน้าของหลี่รั่วเปลี่ยน “องค์การวิญญาณมืด!”
คำนี้ทำให้ทุกคนในห้องประชุมถึงกับสีหน้าเปลี่ยน
สำหรับพวกเขานั่นคือสถานการณ์เลวร้ายที่สุดอย่างมิต้องสงสัย พลังขององค์การวิญญาณมืดยากจะหยั่งได้
และเมื่อพวกเขาตั้งใจจับตาอะไรบางอย่าง
พวกเขาจะไม่ยอมหยุด
“ดูเหมือนว่าใครบางคนคงเห็นการกระทำของเราแล้ว” ฟู่จงซานกล่าว
“ตั้งแต่พวกเขาเข้ามาสืบดู
เราก็ถูกเปิดเผยไปแล้ว”
“ตอนนี้เราจะทำไงดี?” หลี่รั่วถาม
ฟู่จงซานเบนสายตาไปมองธิดาของเขาฟู่จือหงซึ่งนั่งเงียบอยู่ด้านข้าง “หงเอ๋อ เจ้ามีความเห็นอะไรอยู่บ้าง บอกให้เราทราบความคิดของเจ้า”
ฟู่จือหงเป็นสตรีอ่อนโยนเรียบร้อย
ทว่าทันสมัย นางจัดว่าเป็นสตรีงดงาม
“ถ้าองค์การวิญญาณมืดต้องการบุกเข้ามาข้างใน
อย่างนั้นสถานการณ์ก็คงไม่ดี
ถ้าเป็นเช่นนั้น ผู้บุตรมีความคิดอยู่อย่างหนึ่ง
เราสามารถประกาศขายให้กับทุกคน”
“ประกาศขาย?”
ฟู่จงซานขมวดคิ้ว
“ถูกแล้ว” ฟู่จือหงพูดต่อ “จากเท่าที่เห็นตอนนี้
กระดาษมิอาจห่อไฟได้อีกต่อไป
ทำไมไม่ยืนยันความต้องการขายเพื่อให้ได้ราคาดีเล่า
จะได้ดึงดูดผู้ซื้อเข้ามาเพิ่มด้วย”
หลี่รั่วเข้าใจเอง
“หงเอ๋อหมายความว่าจะทำให้พวกเขาขัดแย้งกันเองใช่ไหม?”
“ไม่ใช่” ฟู่จือหงส่ายศีรษะ “เราแค่พยายามประวิงเวลา และเพียงแต่อดทนผ่านช่วงนี้ไปให้ได้
ดังนั้นเราจำเป็นต้องออกอากาศให้ไกลที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และดึงดูดความสนใจให้มากขึ้นเพื่อที่ว่าจะได้มีผู้ซื้ออย่างน้อยก็องค์การวิญญาณมืดจะถูกขัดขวาง เราสามารถคิดหาวิธีถ่วงเวลาไว้ ตัวอย่างเช่นเราไม่ได้ขาดแคลนอะไร
และฝ่ายตรงข้ามต้องเปิดช่องให้เราสามารถเคลื่อนไหวได้”
ฟู่จงซานและหลี่รั่วมองหน้ากันเอง
และพยักหน้าพร้อมกัน
“ดี! นั่นคือสิ่งที่เราจะทำ!”
ฟู่จงซานตบโต๊ะขณะที่เขาได้ข้อสรุป
เมื่อทุกคนแยกย้ายกันไป มีแต่เพียงฟู่จงซานและหลี่รั่วเหลืออยู่ ทั้งสองคนยังคงเงียบ หลังจากนั้นสักครู่ฟู่จงซานเอ่ยขึ้น “ไปกันเถอะ,
เราจะไปเยี่ยมอาจารย์”
บันไดที่ทำด้วยแท่งน้ำแข็งเย็นนำพวกเขาลึกลงไปทุกที
ระลอกพลังที่เหลือเชื่อท่วมเต็มทางผ่าน
แม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นนักสู้ระดับเซียน
แต่พวกเขายังสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
ทั้งสองคนเดินผ่านไปตามทางผ่านใช้เวลาเกินหนึ่งนาทีก่อนจะมาถึงที่สุด
ห้องศิลาใหญ่ปรากฏอยู่ต่อหน้าพวกเขา ในห้องศิลามีปราณเย็นรั่วออกมา ผนังทั้งสี่ด้านครอบคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็งหนา
คลื่นความเย็นหนาแน่นอย่างน่าอัศจรรย์
ชายชราอ่อนแอคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิ
หน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ลักษณะของเขาเงียบสงบ
“เจ้าทั้งสองมาแล้ว”
เสียงอ่อนโยนและเป็นกันเองดังขึ้น
ชายชราลืมตา
“อาจารย์!”
ฟู่จงซานและหลี่รั่วตะโกนพร้อมกัน
นี่คืออาจารย์ของพวกเขา
ชางหยางหวี่
“พวกเจ้าทำงานกันหนักจริงๆ” ชางหยางหวี่พูดอย่างเป็นกันเอง “ข้ารู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นข้างนอก อย่ากังวลมากเกินไป มีเรื่องบางอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้อเสนอของหงเอ๋อนับว่าดี ทำตามนั้นแหละ”
“อาจารย์ ท่านต้องการเวลานานเท่าใด? ศิษย์ของเราไม่สามารถควบคุมต่อไปได้นานนัก” หลี่รั่วถามด้วยความเคารพ
ชางหยางหวี่เหยียดมือออก สมบัติชิ้นหนึ่งปรากฏในมือของเขา มันเป็นเหมือนเกล็ดหิมะที่ปลายยื่นออกมาหกแฉก
ตรงปลายที่ยื่นออกมามีดวงตาที่คลื่อนไหวได้
มันคือดวงตาแห่งเซกซ์แทนส์ที่มีชื่อเสียงนั่นเอง
สมบัติที่ไม่เคยได้ยินมาเลย
เป็นแค่สมบัติชั้นเงิน
ดวงตาแห่งเซกซ์แทนส์
80%
เป็นสีทองมีเพียงตรงกลางที่ยังคงเป็นเงิน
ดวงตาเซกซ์แทนส์ยังคงปั่นหมุนอยู่ในอากาศ มันเหมือนกับเกล็ดหิมะ ดวงตาทั้งหกปล่อยรังสีที่แตกต่างกัน
มีแรงกดดันที่พูดไม่ถูกเปล่งออกมาจากมันจนเต็มห้องศิลาทันที
ฟู่จงซานและหลี่รั่วตึงเครียดเหมือนกับว่าพวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
“อีกหนึ่งเดือน” ชางหยางหวี่พูดอย่างอ่อนโยน “ข้าต้องการเวลาเพียงหนึ่งเดือน
ดวงตาแห่งเซกซ์แทนส์จะกลายเป็นสมบัติทอง”
หลี่รั่วลังเลอยู่เล็กน้อย
จากนั้นถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์
ข่าวลือที่ปล่อยอยู่ในตลาดก็เป็นความจริงสินะ?”
ชางหยางหวี่ถอนหายใจเบา สายตาของเขาสลัว “พวกเจ้าทุกคนประเมินมันต่ำไป ผ่านหลายปีโดยไม่รู้ตัว มีหลายอย่างยากที่พวกเจ้าทุกคนจะเข้าใจ”
ฟู่จงซานและหลี่รั่วตะลึง คำพูดของชางหยางหวี่ว่า
“พวกเจ้าทุกคนประเมินมันต่ำ” ทำให้พวกเขามองกันเองโดยไม่ตั้งใจ
เป็นไปได้ไหมว่า...
มันมีพลังมากกว่าที่ตลาดร่ำลือกัน?
ทั้งสองคนมองตากันเองอย่างตกใจ
5 ความคิดเห็น:
ขอบคุณครับ
ขอบคุณหล๊าย หลาย ครับ
ขอบคุณครับ แต่มันค้างงง
สนุกมาก😁😁
ขอบคุนคับ
แสดงความคิดเห็น