ตอนที่
707
เหตุการณ์ลุกลามเกิดเงาครอบคลุมทั้งเมือง
ออกจากคลังสินค้าของตระกูลเซวีย ใจของผิงเสี่ยวซานสับสน ‘เรื่องสำคัญขนาดนั้น,
เป็นไปได้ยังไงที่พวกเขาจะตัดสินใจเรื่องแบบนั้น?
เติบโตผ่านการต่อสู้ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจ
แต่เขามีความเชื่อมั่นในความสามารถตัวเองขนาดนั้นจริงๆ เชียวหรือ?’
นี่คือเรื่องที่ผิงเสี่ยวซานไม่เข้าใจ
‘ถ้าคนอื่นต้องเผชิญกับสถานการณ์เดียวกัน
พวกเขาจะคิดแผนหรือจะหาจุดอ่อนของศัตรูของพวกเขา หรือไม่ก็สร้างพันธมิตรกับกลุ่มอำนาจอื่นๆ ฯลฯ
ใครกันจะหาเวลาเพื่อฝึกฝนคู่หูอื่นๆ? หวังจะแข็งแกร่งมากขึ้นจากเรื่องนั้นน่ะหรือ?’
‘นั่น...นั่นมันน่าขันเกินไปแล้ว...’
ผิงเสี่ยวซานเริ่มสงสัยว่าเขาพึ่งพาอาศัยคนบุ่มบ่ามหรือเปล่า
คนแบบนั้นมีแนวโน้มว่าจะล้มเหลวได้ ‘โชคดีสำหรับข้า ข้ายังมีลูกเล่นอยู่ในมือเล็กๆ น้อยๆ’ เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว
ผิงเสี่ยวซานปลอบใจตนเอง ‘คนผู้นี้เรียนวิชาพรางตัวของตระกูลข้าในคืนเดียว และสามารถสร้างวิชาสองสามอย่างด้วยตนเองได้
บางทีเขาคงแข็งแกร่งขึ้นได้จริงๆ กระมัง?’
ไม่มีใครรู้ว่าการปลอบใจตนเองอย่างนี้จะใช้ได้ แต่สภาวะใจของผิงเสี่ยวซานก็สงบลงได้อย่างช้าๆ
หลังจากสงบจิตใจได้แล้ว เขาเริ่มคิดอย่างชัดเจนขึ้น ‘ถ้าคนอย่างนั้นมีความเข้าใจได้สูงขนาดนั้น อย่างนั้นนี่จะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด
การต่อสู้ของถังเทียนกับเบนสันสั่นสะท้านไปทั้งเมืองและทุกตระกูลจะต้องระมัดระวังเขา
การปะทะกับพวกเขาในตอนนี้ พวกเขาจะต้องพ่ายแพ้แน่นอน
เมื่อเทียบกับอีกสี่ตระกูล ตระกูลมัวร์ยังคงขาดแคลนเรื่องพลัง พวกเขามียอดฝีมือแค่เพียงคนเดียว มีป้อมปราการ
และไม่ใช่เรื่องง่ายที่พวกเขาจะล้อมโจมตี
‘จากอีกมุมหนึ่ง การกระทำที่ไม่คาดฝันนี้ก็คือลงมือก่อนคิดจริงๆ’
เขาส่ายหน้า นั่นไม่ใช่คำถามและปัญหาที่เขาสามารถคลี่คลายได้ ดังนั้นทำไมต้องเปลืองสมองคิดด้วยเล่า? ความคิดของเขากลับไปที่งานของเขา ถังเทียนสั่งให้เขาตรวจสอบตำแหน่งของเรือนจำขัง
‘มั่นใจจริงๆ!’
ผิงเสี่ยวซานฝืนหัวเราะ
หานปิงหนิงไม่ได้สงสัยการตัดสินใจของถังเทียนแม้แต่น้อย นางต่างจากผิงเสี่ยวซาน
นางคุ้นเคยกับวิธีการที่ดูเหมือนโง่และประหลาดของถังห้าวมานานแล้ว แต่ผลที่ได้รับจะยอดเยี่ยมเสมอ เมื่อความโง่ถึงระดับที่แน่นอน อาจนับได้ว่าเป็นสิ่งที่คาดหวังน้อยที่สุด
ส่วนเรื่องพรสวรรค์ในการฝึกฝนของถังเทียน
ทั่วทั้งกลุ่มดาวหมีใหญ่ ไม่สิ, ทั่วทั้งสวรรค์วิถี ไม่มีใครสงสัยความสามารถของเขา
หนุ่มชาวฟ้า
ฉายาที่ดูตลกแต่ข่มได้ทั่วสวรรค์วิถี
ไม่ว่าจะชอบเขาหรือเกลียดเขาก็ตาม ไม่มีใครกล้าเมินเฉยความคงอยู่ของเขา
“แล้วข้าล่ะ?” หานปิงหนิงมองดูถังเทียน
ถังเทียนตอบ
“เจ้าจะคอยช่วยสนับสนุนข้า ถ้าข้าได้รับบาดเจ็บ ให้พาข้ากลับ”
“ตกลงตามนั้น” หานปิงหนิงพยักหน้าและกลับไปฝึก
ถังเทียนเรียกนางทันที
“เดี๋ยวข้าจะสอนวิชาพรางตัวของตระกูลผิงให้เจ้าก่อน”
เขาต้องการผู้ช่วย เขาไม่กลัวการท้าทายเบนสัน แม้ว่าเบนสันจะแข็งแกร่งกว่าเขามาก แต่เขาก็อดต่อต้านไม่ได้ การเพิ่มพลังไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย
ต้องการจะให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ถังเทียนคิดว่าทางเป็นไปได้เพียงประการเดียวก็คือพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อกระตุ้นศักยภาพออกมาอย่างเต็มที่
ถังเทียนไม่เคยพึ่งพาอาศัยโชค
การกระตุ้นผ่านประสบการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจะช่วยดึงศักยภาพของเขาออกมานั้นไม่ใช่แนวความคิดใหม่ แต่น้อยคนยินดีที่จะทำเช่นกัน เนื่องจากมีความเสี่ยงมากเกินไป ถ้ามีความประมาท พวกเขาอาจสูญเสียชีวิตได้ พลังความแข็งแกร่งอาจจะได้รับช้า แต่ทุกคนมีเพียงชีวิตเดียว และวิธีการแบบนั้นควรเป็นวิธีการสุดท้าย เนื่องจากไม่มีใครอยากตาย
การต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทั้งหมดจะสิ้นเปลืองกำลัง
ร่างเต็มไปด้วยอาการบาดเจ็บบอบช้ำ
ความสามารถในการป้องกันส่วนใหญ่จะกลายเป็นศูนย์
และสายตานับคู่ไม่ถ้วนกำลังจ้องมองเขา
และถังเทียนไม่ต้องการตกไปอยู่กับคนที่น่ารังเกียจเหล่านั้น
มีหานปิงหนิงอยู่ด้วย
เขาสามารถปล่อยวางความกลัวที่ค้างคาใจอย่างนี้ และทุ่มสู้สุดฝีมือได้
‘ข้ารอไม่ไหวแล้ว!’
**************
ตกกลางคืน คนจำนวนมากมายไม่สามารถหลับได้
“เจ้าตรวจดูหรือยัง?”
คนที่พูดมีวัย 40 ปี สีหน้าของเขาเคร่งเครียด
และเป็นผู้นำของสี่ขุนพลตระกูลฉิน จงเจิ้งเยียนเหม่ย จงเจิ้งเยียนเหม่ยได้รับความไว้วางใจจากฉินเจิ้นอย่างมาก
เขารับจัดการกิจการภายในและมีชื่อเสียงอย่างมาก รูปแบบการทำงานของเขาหนักแน่นว่องไว
และภายใต้การควบคุมของเขา
อิทธิพลเมืองจื่อจวนมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“พวกเขาไม่ยอมพูด” ผู้ดูแลที่พูดหน้าซีด
“นั่นหมายความว่า
พวกเขาจำบุรุษหน้ากากผีได้ใช่ไหม?”
จงเจิ้งเยียนเหม่ยกล่าว
“ข้าคิดว่าอย่างนั้น” ดูเหมือนว่าเจ้านายของเขาไม่ได้โกรธ ผู้จัดการรู้สึกโล่งใจ เขาลังเลเล็กน้อย “เราจำเป็นต้องลงโทษพวกเขาไหม?”
“ไม่” จงเจิ้งเยียนเหม่ยตอบ “ตั้งแต่วันนี้ไปจับตามองพวกเขาให้ดี
อย่าไปทุบตีด่าว่าพวกเขาตามอำเภอใจ”
ผู้จัดการปฏิบัติตามทันที
หลังจากผู้จัดการล่าถอยไปแล้ว
บุรุษร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้น
“พี่ใหญ่, ท่านไร้เดียงสาเกินไปแล้ว, ข้าเคยพบเห็นคนดื้อรั้นมาแล้ว ถ้าท่านส่งพวกเขามาให้ข้า ข้ารับรองได้เลยว่า ข้าจะให้พวกมันพูด!”
คนผู้นี้มีร่างกายกำยำและท่าทางดุร้าย
มีรอยแผลเป็นรูปกากบาทอยู่บนหน้าผากของเขา
เขาเป็นหนึ่งในสี่ขุนพลนามว่าเว่ยหาน
จงเจิ้งเยียนเหม่ยไม่โกรธและพยักหน้า “ข้าเชื่อเจ้าในเรื่องนี้ แต่แม้ว่าเราจะทำให้พวกเขาพูด
แล้วจะยังไงเล่า?”
“ยังไงน่ะหรือ?” เว่ยหานตะลึง
“ถ้าคนผู้นี้อ่อนแอ
อย่างนั้นก็ดีไป
แต่จะเป็นยังไงถ้าเขาแข็งแกร่ง?
เราจะไม่สร้างศัตรูโดยเปล่าประโยชน์ไม่ใช่หรือ?” จงเจิ้งเยียนเหม่ยส่ายศีรษะ
“นักโทษทั้งหมดนี้มีความภักดีต่อบุรุษหน้ากากผีสูง นั่นหมายความว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา”
“แล้วยังไงเล่า?” เว่ยหานแค่นเสียง “อย่าบอกข้านะว่าเราต้องโยนคนของเราออกไป?
พี่ใหญ่ ท่านจะยอมยกพวกเขาให้ไปไม่ได้! ข้าเห็นพวกเขาแล้ว พวกเขามีความสามารถเป็นต้นกล้าได้ทุกคน ตราบใดที่เรากล่อมเกลาพวกเขาดีๆ
กำลังของเราจะเพิ่มขึ้นอีกมากมาย”
“ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่พี่ใหญ่พูดมีเหตุผล” ขณะนั้นมู่เจ๋อที่อยู่ข้างๆ
แต่เงียบมาตลอดพูดขึ้น “ข้าไปสืบมาแล้ว
พวกที่เราได้รับมาเหล่านี้ไม่ได้มีแต่เมืองจื่อจวนของเราเท่านั้นที่ได้ แต่เมืองอื่นๆ ก็ได้รับคนเหล่านี้ด้วย จำนวนรวมมากกว่าพันคน นี่คือกองทัพแน่นอน เป็นไปได้ว่าบุรุษหน้ากากผีก็คือผู้บัญชาการของกองทัพนี้”
“แล้วยังไงเล่า?” คอของเว่ยหานแดง “ตอนนี้เขามีตัวคนเดียว ยังพลิกฟ้าได้อีกหรือ?”
มู่เจ๋อมีท่าทางที่ฉลาดคล้ายกับบัณฑิตคงแก่เรียน เขาดูไม่มีอันตรายและสุภาพ เขายิ้ม
“คนเดียวไม่สามารถพลิกฟ้าได้
แต่จะเป็นยังไง
ถ้าหนึ่งในตระกูลใดๆ กลายเป็นบริวารของเขา?”
เว่ยหานแค่นเสียง “กลายเป็นบริวารให้เขา? ตระกูลโง่ไหนที่จะทำแบบนั้น? แบ่งเนื้อให้เขารับประทาน”
จงเจิ้งเยียนเหม่ยมองดูครุ่นคิด “น้องสาม
เจ้าหมายความว่าไง เราควรจะช่วยเขาหรือ?”
ตาของมู่เจ๋อเป็นประกายเจิดจ้าที่ทำให้หัวใจผู้คนเต้นแรง
“นักโทษเหล่านี้มีสภาพร่างกายที่โดดเด่นแข็งแกร่ง และพวกเขาไม่มีพลังงานแม้แต่น้อย ตราบใดที่เราให้คำแนะนำพวกเขาบางอย่าง
พวกเขาสามารถสร้างความสามารถต่อสู้ที่แข็งแกร่งโดดเด่นได้ พวกเขาคือคนที่อยู่ในกองทัพ นานเท่าใดแล้วที่แดนบาปเคยมีกองทัพ?”
จงเจิ้งเยียนเหม่ยมีท่าทีแปลกใจ
เว่ยหานแค่นเสียง “แล้วยังไงเล่า ถ้าเราให้เขา ก็มีคนเพียงสองร้อยคน, กองทัพสองร้อยคนน่ะหรือ? เฮ้อ,
ข้าคนเดียวก็ฆ่าพวกมันได้หมดแล้ว! แดนบาปไม่เหมาะกับกองทัพ นอกจากนี้ เราจะมีประโยชน์อะไรกับการมอบคนให้เขา? น้องสาม! ประโยชน์ที่เจ้าพูดถึงเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น แต่การคายเนื้ออ้วนนี้เป็นเรื่องจริง เราได้คนมาสองร้อยคนด้วยความยากลำบาก
และยังต้องคายออกไป ถ้าตระกูลอื่นได้พวกเขาไป เราก็จะไม่ได้อะไรเลย
พวกเขาได้ขยายกำลัง แต่เรากลับเล็กลีบลง
และจากนั้นเราก็เสียเปรียบ
จงเจิ้งเยียนเหม่ยไม่พูด คำพูดของเว่ยหานก็มีเหตุผล
ตาของเขาหันไปมองสุภาพสตรีที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ “น้องรอง! เจ้าคิดว่ายังไงบ้าง?”
ตาของสุภาพสตรีละจากหนังสือได้ในที่สุด หน้าของนางสามหน้ากากเงินที่ดูน่าประทับใจ นี่คือหน้ากากที่เป็นประกายสดใส
ตัดกับดวงตาที่หมองของนางซึ่งดูลึกล้ำเหมือนเหวยากจะหยั่ง ไม่มีใครกล้ามองตรงๆ ผมของนางผสานสีต่างๆ
ได้อย่างงดงามแต่ละเส้นตรงเป็นแนวเหมือนเข็มสายรุ้ง
“เราควรจะรอก่อน
เรายังจำเป็นต้องตรวจสอบความสามารถของเขา”
เสียงของนางเฉยเมย
ราวกับว่านางไม่สนใจเรื่องราวทั้งปวง
“น้องรองพูดถูก” จงเจิ้งเยียนเหม่ยพยักหน้า “เราควรจะสังเกตดูเขาไปก่อน บุรุษหน้ากากผีกล้าลงมือกับตระกูลมัวร์
นั่นก็หมายความว่าจะต้องเคลื่อนไหวกับตระกูลอื่นด้วยเช่นกัน เราจะสังเกตดูสักระยะก่อน และดูว่าเขาควรจะได้รับการลงทุนจากเราหรือไม่”
เว่ยหานและมู่เจ๋อพยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาทุกคนมีมติเป็นเอกฉันท์
“สวี่อันจงกับวิคเตอร์เปิดเผยตัวเองในเวลานี้เช่นกัน” จงเจิ้งเยียนเหม่ยกล่าว “ทุกคน, โปรดระวังตัวให้ดีในช่วงเวลานี้”
“สวี่อันจงออกมาจากการปิดประตูฝึกฝนแล้วหรือ?” น้ำเสียงของมู่เจ๋อเคร่งเครียด
“ดูเหมือนตระกูลสวี่จะมีขุนพลผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งแล้วในตอนนี้”
หน้าของเว่ยหานบิดเบี้ยวน่าเกลียด สวี่อันจงก็คือน้องชายของสวี่เย่
และพรสวรรค์ของเขาอยู่ในระดับสุดยอดแน่นอน
เขาไม่มีความสนใจต่อกฎธรรมชาติเป็นตายซึ่งเป็นสุดยอดวิชาของเขาแม้แต่น้อย แต่กลับหลงใหลในกระบี่ เขามักจะพูดถึงการสร้างวิชากระบี่ของเขาเอง
และแยกตนเองจากตระกูลสวี่ ชอบเอาตนเองไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย สำหรับเขาการมาปรากฏตัวอีกครั้ง
นั่นหมายความว่าเขามีความก้าวหน้าครั้งใหญ่แน่นอน
บรรดาตระกูลยิ่งใหญ่ในเมืองจื่อจวน
ตระกูลที่คุกคามต่อตระกูลฉินมากที่สุดก็คือตระกูลสวี่ ตระกูลสวี่ไม่รับคนภายนอก
เพราะรู้กันว่าพวกเขามีอายุขัยสั้น
แต่ในทุกรุ่นพวกเขาจะมีอัจฉริยะหลายคน
สวี่อันจงเป็นคนที่ธรรมดามากอยู่ในตระกูลสวี่และนอกจากนั้นเขายังต่อต้านคำสอนของตระกูลเขา เขาถูกเยาะเย้ยถากถางจากคนอื่น แต่เขามีแรงมุ่งมั่นจากวิชากระบี่ของเขาเองและได้ผ่านการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายปิดประตูฝึกฝน
และโค่นล้มคำวิจารณ์เหล่านี้ทั้งหมดได้ทันทีทำให้ทุกคนเชื่อมั่นพลังของเขา
นี่เรียกว่าทุ่มชีวิตเสี่ยงตายฝึกฝน
ก็หมายความว่าถ้าเขาไม่ประสบความสำเร็จ
เขาจะตาย
แต่คนที่กล้าทำแบบนั้นจะมีความยืดหยุ่นและอดทนมากกว่าใครทั้งหมด
และทุกคนมักจะได้รับการยอมรับนับถือจากคนอื่นๆ
สำหรับเขาที่ออกมาตอนนี้ก็หมายความว่า
เขาเกิดใหม่อีกครั้ง
ตระกูลฉินสามารถข่มตระกูลอื่นทั้งหมดได้
นอกจากพลังที่ยากจะหยั่งคาดของฉินเจิ้นแล้ว
สี่ขุนพลล้วนแต่มีพลังอำนาจเช่นกัน
สำหรับตระกูลสวี่ที่ได้ขุนพลที่ยิ่งใหญ่อีกคน
การคุกคามของพวกเขาที่มีต่อตระกูลฉินเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
“แล้วยังมีเจ้าสวะตัวดำนั่น” เว่ยหานแค่นเสียง ตาของเขาเป็นประกายโกรธ “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหนุ่มหน้ากากผีนั่นคอยหลอกล่อ เจ้าตัวดำนั่นคงจะปกปิดเอาไว้ตลอดเวลา”
ทุกคนรู้ว่าเขาพูดถึงเบนสัน นอกจากบุรุษหน้ากากแล้ว เบนสันทำให้ทุกคนตกใจ
พลังที่เขาเปิดเผยออกมาทำให้ทุกคนทึ่ง
เป็นเวลาหลายปีแล้ว
เบนสันเก็บตัวจนกระทั่งความเป็นอยู่ของเขาดูเหมือนจะเลือนราง
และทุกคนเกือบจะลืมเขา
ตระกูลมัวร์มักจะปกปิดพลังและเก็บเวลาของพวกเขาไว้เสมอ
ปล่อยให้คนอื่นสำคัญว่าพวกเขาตกต่ำ แต่หลังจากเบนสันแสดงพลังของเขา
ทำให้ทุกคนจำได้ว่าเกือบจะลืมตระกูลใหญ่ตระกูลที่ห้าของเมืองจื่อจวนไปแล้ว
“องครักษ์เหล็กในรุ่นปัจจุบันเปิดเผยอยู่แล้ว” มู่เจ๋อพูดทันที
“ข้าไม่คิดว่าเบนสันจะมีความคิดคัดกรององครักษ์เหล็กรุ่นอื่น”
‘องครักษ์เหล็กตระกูลมัวร์มักจะเป็นประเพณีตกทอดของตระกูลมัวร์
บางอย่างที่เบนสันจะไม่ยอมแพ้ ถ้าเบนสันปกปิดพลังของเขา
ทุ่มเทความพยายามสร้างองครักษ์เหล็กรุ่นต่อไป พวกเขาอาจจะสร้างขึ้นมาใหม่ก็ได้...”
ไม่มีใครคาดว่าด้วยการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของบุรุษหน้ากากผีจะทำให้เมืองจื่อจวนที่สงบสุขในตอนแรกปะทุขึ้นมาทันที
สถานการณ์ง่อนแง่นและโกรธแค้น
ทุกคนในปัจจุบันนี้เก่งและฉลาดหลักแหลม
แต่ชั่วขณะนั้นพวกเขาไม่รู้จะคาดหวังอะไร
เหตุการณ์ที่ลุกลามนี้ก่อให้เกิดเงาทะมึนครอบคลุมไปทั่วทั้งเมือง
8 ความคิดเห็น:
ขอบคุณครับ
ยาวๆไป เหมือนพึ่งเริ่ม
ล้มหน้าดำได้ จะได้ตนกลับคืนแน่ๆ
ปลาตัวเดียว กวนน้ำขุ่น ทั้งเมือง
ขอบคุณครับ หินก้อนนึงทำน้ำกระเพื่อมได้ฉันใด ถังจอมลุยก็จะโยนหินไปเรื่อยๆ
ขอบใจจ้า
ตอนนี้คำนำ ตอนหน้าละครับ
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น