วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 653 กาทองสามขา


ตอนที่  653  กาทองสามขา
 “ไม่มีอีกหรือ?”
แน่นอนว่าเย่ว์หยางยังมีอสูรรบอื่นอีก อย่างเช่นนางพญาดอกหนามมงกุฏทองและมังกรไร้เขาเจี้ยงอิง
อย่างไรก็ตามเย่ว์หยางไม่ต้องการเปิดเผยอะไรอีกต่อไป

นอกจากนี้สาวมังกรไร้เขาเจี้ยงอิงยังได้รับพลังตกทอดจากเทพมังกรทอง นางยังอยู่ในช่วงเวลาพักฟื้น และไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมกับการปลุกนางมาร่วมต่อสู้  นางพญาดอกหนามมงกุฎทองอยู่ในช่วงของการพักจากการย่อยยอดฝีมือจากแดนสวรรค์  ดังนั้นเย่ว์หยางจึงไม่ปลุกนางขึ้นมาเว้นแต่จำเป็นต้องทำ
 “เจ้าจะยอมรับความพ่ายแพ้ตอนนี้ไหม?  เจ้าดูไม่เหมือนคนที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ”  อีกาค่อนข้างมั่นใจว่าแม้เย่ว์หยางยังมีอสูรเทพเด็กที่ยังไม่เคลื่อนไหว  แต่มันก็มีอสูรพิทักษ์ที่ทรงพลังที่ยังไม่ได้เรียกออกมา  ผู้ชนะยังไงก็ยังเป็นอีกาอยู่ดี
 “ข้าไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ หรอก  เจ้าได้เปรียบข้าง่ายๆ  แค่เพราะข้าใช้กลยุทธไม่เหมาะสม”  เย่ว์หยางตอบอย่างเชื่อมั่น
หลังจากเขาไตร่ตรองแล้วเขาพบวิธีตอบโต้
เขาตัดสินใจปรึกษากับเสวี่ยอู๋เสียและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน
มนุษย์กระดูก อีกา และสตรีล่องหนพากันสงสัย เด็กพวกนี้จะมีวิธีอะไรพลิกสถานการณ์?  อสูรรบของเขาถูกไล่ต้อนเสียเปรียบ และสมบัติของเขาไม่ได้ใช้ เขาจะใช้วิธีอะไรอื่นได้
เย่ว์หยาง เสวี่ยอู๋เสีย องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน เจ้าเมืองโล่วฮัวและนางเซียนหงส์ฟ้าทุกคนรวมตัวกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยไม่พูดแม้แต่คำเดียว  มนุษย์โครงกระดูกและอีกาปากอ้าค้างแทบจะร่วงลงกับพื้น หรือว่าจะใช้ได้จริงๆ?    แลกความคิดเห็นโดยแค่มองตากัน ไม่ต้องพูดกันหรือส่งเสียงดัง นั่นจะไม่น่ากลัวเกินไปหน่อยหรือ?
ถ้าสองคนทำเช่นนี้ได้  นั่นก็คงไม่กระไรนัก
แต่พวกเขามีกันห้าคนและห้าคนนั้นมีความคิดเดียวกัน นั่นหมายความว่ายังไง?
สตรีล่องหนเก็บความรู้สึกไว้ครึ่งค่อนวัน  แต่นางไม่รู้สึกอะไร  นางร้องออกมาทันที  “เจ้ากระดูก  เจ้านกแห้ง  พวกเจ้ารู้สึกหงุดหงิดบ้างหรือเปล่า?  ข้าไม่ได้ยินอะไรเลย  เด็กพวกนี้แปลกประหลาดนัก  พวกเขาติดต่อกันได้โดยไม่ต้องใช้เสียงเลย!”
 “เจ้ามีพรสวรรค์ในการฟัง แม้แต่เจ้ายังไม่ได้ยินอะไร แล้วเราจะรู้ได้ยังไง”  บุรุษโครงกระดูกรู้สึกทึ่งและเหงื่อตก
 “แปลกจริงๆ” สีหน้าของอีกาเคร่งเครียดมากขึ้น  รู้สึกเหมือนการต่อสู้จริงจะเริ่มอย่างเป็นทางการ
 “ฮะฮะ!”  เย่ว์ปิงลอบสุขใจ
สิ่งที่ทุกคนกลัวก็คือทักษะแฝงเร้นพิเศษของศัตรู
เย่ว์หยางและเสวี่ยอู๋เสียเตือนทุกคนก่อนจะเข้ามาในเจดีย์ดำว่าพวกเขาไม่ควรใช้ความคิดเพื่อส่งเสียง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการส่งข้อมูลสำคัญ
เย่ว์ปิงกลัวว่าบทสนทนาทางวิญญาณของนางกับพี่ชายจะถูกศัตรูจับได้ นางไม่กล้าพูดกับพี่ชาย และไม่กล้าใช้การสื่อสารใจกระจกกับอี้หนาน  เสวี่ยอู๋เสียและพี่ชายนาง  เมื่อนางเห็นท่าทีกดดันบนสีหน้าของศัตรู นางรู้ได้ว่าศัตรูมีทักษะแฝงเร้นในการดักฟังการสื่อสารทางใจของพวกเขา  แต่น่าเสียดายสิ่งที่ศัตรูไม่รู้ก็คือพี่ชายของนางมีความคิดพิเศษสื่อสารผ่านทางสายตา
นี่คือทักษะพิเศษที่ใครๆ ก็ทำได้โดยฝึกผสานความเข้าใจกันและกันในระดับที่สูงได้  นี่คือทักษะเฉพาะที่พี่ชายนางสร้างขึ้น
ไม่มีใครทำได้หรือแอบดักฟัง
เมื่อเห็นสีหน้าขำขันของเย่ว์ปิง  มนุษย์กระดูกและอีกาชักจะรู้สึกกดดันมากขึ้น  จากการสนองตอบของพวกสาวๆ  พวกเขาสามารถบอกได้จากสายตาว่าเจ้านั่นได้ส่งข้อมูลสำคัญโดยไม่ต้องแสดงออกมา
เจ้าเด็กนี่ทำได้อย่างไร?
 “มือของพวกเขาจับอยู่ด้วยกัน  นั่นเป็นการปลอบโยนกันเองไม่ใช่หรือ  เป็นวิธีสื่อสารด้วยพลังงานและความคิด  เราสามารถบอกได้ว่าใครกำลังจะพูดจากดวงตาพวกเขา และพวกเขาไม่ได้ใช้ดวงตาสื่อสาร”  สตรีล่องหนเป็นปีศาจชราที่มีชีวิตมาเป็นหมื่นปี  ดังนั้นนางจึงจับเค้าได้เล็กน้อย  อย่างไรก็ตาม เป็นแต่เพียงว่าพวกเขาเข้าใจหลักการสื่อสาร  แต่พวกเขาไม่สามารถจับข้อมูลอะไรได้
 “หรือว่านี่คือทักษะแฝงเร้นของเขา?”  ร่างกระดูกสันนิษฐาน
 “ก็เป็นไปได้”  อีกาพยักหน้าเห็นด้วย
เย่ว์หวี่ เย่ว์ปิง อี้หนาน มารเคราะห์ฟ้าและไห่อิงอู่ไม่ได้ร่วมพูดคุยด้วย ประการแรก ความเข้าใจของพวกนางยังไม่ดีเท่าเสวี่ยอู๋เสียและมารเคราะห์ฟ้าไม่เคยฝึกเคล็ดเรื่องนี้มาก่อน  ประการที่สองพวกนางไม่ถนัดเรื่องวางแผนสู้รบ  บรรดาสตรีสองสามคน เสวี่ยอู๋เสียและนางเซียนหงส์ฟ้าเชี่ยวชาญกลยุทธสำคัญที่สุด  ขณะที่องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและเจ้าเมืองโล่วฮัวมักจะมีความคิดสร้างสรรค์ที่ยอดเยี่ยม  มีทั้งสี่นางอยู่แล้ว เย่ว์หวี่และสาวๆ ที่เหลือไม่ต้องกังวลใจ
จากการสื่อสารทางสายตาของทั้งห้าคน ใครๆ ก็สามารถบอกได้ว่าเย่ว์หยางเป็นคนพูดหลัก
อีกสี่นางกำลังฟัง
บางครั้งเสวี่ยอู๋เสียตั้งข้อสงสัย
บางครั้งก็เป็นเจ้าเมืองโล่วฮัวและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนพูด  ขณะที่นางเซียนหงส์ฟ้าส่ายศีรษะปฏิเสธ ในช่วงเวลาสั้นๆ นี่คือการอภิปรายที่ร้อนแรงแต่เงียบ
หรือว่าทั้งห้าจะมีความคิดดีๆ ขึ้นมาจริงๆ?
เย่ว์ปิงและเย่หวี่ไม่ได้มีส่วนร่วมสนทนา
แต่พวกนางเชื่อมั่น
เขาทำได้!
เขาคือคุณชายสามแห่งตระกูลเย่ว์ผู้เป็นผู้เยาว์ที่ทรงพลังที่สุด และไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน
การพูดคุยได้บทสรุปโดยเร็ว  และสตรีทั้งสี่พยักหน้าให้กัน  และจากนั้นเย่ว์หยางเริ่มลงมือ
เสี่ยวเหวินหลีที่ได้รับแบ่งปันความคิดขณะที่เย่ว์หยางยืนขึ้นแล้ว
เธอเรียกคัมภีร์เพชรออกมา และมนุษย์กระดูกและอีกาเมื่อเห็นเช่นนั้นถึงกับอ้าปากค้าง  พวกเขาไม่อยากเชื่อเลยว่าอสูรเทพจะมีคัมภีร์เพชร  เจ้าเด็กนี่มีอสูรพิทักษ์อย่างนี้ได้ยังไง?  ในความรู้สึกของพวกเขา ปีศาจอสรพิษน้อยนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่อสูรเทพธรรมดา แต่ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือเสี่ยวเหวินหลีเรียกเมดูซาศิลา นางเงือกวายุ นาคาสายฟ้าและปีศาจอสรพิษน้ำแข็ง  มนุษย์โครงกระดูกและอีกาแทบกระอักเลือด  พวกเขาพูดไม่ออกอย่างสิ้นเชิง  เจ้าเด็กนี่นับเป็นตัวประหลาดจริงๆ  ไม่เพียงแต่เขามีอสูรพิทักษ์มากมายเท่านั้น แต่ปีศาจอสรพิษน้อยก็ยังมีอสูรพิทักษ์ถึงสี่ตน
 “มาสู้กัน!” เย่ว์หยางเรียกอสูรทองน้อยและโยนมันให้เสี่ยวเหวินหลี ในพื้นที่นี้ภายใต้กฎสวรรค์ห้ามใช้วิทยายุทธและห้ามสู้รบ  เสี่ยวเหวินหลีไม่สามารถใช้ดาบคู่ของเธอได้  อย่างไรก็ตาม เย่ว์หยางเตรียมการให้เธอแล้ว
 “อสูรศักดิ์สิทธิ์ทงเทียน ในสภาพตัวอ่อนมังกร?”  มนุษย์กระดูกอ้าปากค้างอีกครั้ง
 “เจ้ามีอสูรอยู่กี่ตัวกันแน่ เด็กน้อย?”  อีกาแทบเป็นลม  ทุกคนพูดว่าตนเองมีอสูรมากมายที่สุด พวกเขาจะรู้ได้ยังไงว่ามีคนที่มีมากกว่า!
 “ไม่มี ไม่มีอีกแล้ว”  เย่ว์หยางตีสีหน้าเหมือนกับว่า “ข้าไม่มีอสูรรบอื่นอีกแล้ว แต่ข้าจะไม่บอกเจ้าเรื่องนั้น”  เมื่อเห็นเช่นนี้อีกาอยากจะเอาหัวโขกกับกำแพงนัก  เจ้าเด็กพวกนี้เป็นใครกันแน่  อายุยังน้อย แต่ก็ทรงพลังนัก?  จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าเด็กนี่เติบโตก้าวหน้าขึ้น  บางทีแม้แต่แดนสวรรค์ก็คงไม่สามารถหยุดเขาได้
เสี่ยวเหวินหลีรับดาบอสูรทงเทียนร่างแปลงของอสูรทองน้อยไว้ และชูดาบขึ้นท้องฟ้า
นางเงือกวายุถอยหลังราวกับว่านางเตรียมจะออกจากสมรภูมิ
เมื่อนางถอยออกไปสิบกิโลเมตร นางเรียกสังข์วายุออกมา  การเรียกพายุตามกฎต้องห้ามที่นี่ จะห้ามอาวุธที่รุกรานทั้งหมด  อย่างไรก็ตามสมบัติบางอย่างที่ดูเหมือนไม่ใช่อาวุธรุกรานจะมีโอกาสอยู่บ้าง  ตัวอย่างเช่นแก้วผลึกที่เสี่ยวเหวินหลีใช้ผนึกก่อนหน้านั้นก็มีประโยชน์  ดังนั้นนางเงือกวายุจึงใช้สังข์วายุได้
นางไม่ได้ใช้พายุที่สังข์วายุเรียกสำหรับโจมตีศัตรู  แต่เหมือนกับเรียกพายุฝนตามปกติ
ฝนปริมาณมากตกลงราดรดทะเลพุ่มเพลิงข้างล่าง เกิดเสียงซี่ๆ.. พร้อมทั้งไอน้ำระเหย
นัยน์ตาของอีกาเปลี่ยน
แม้ว่าพายุจะไม่ได้มีเป้าหมายกับใคร แต่น้ำฝนปริมาณมากก็เพียงพอทำให้พุ่มเพลิงใช้งานไม่ได้  พุ่มเพลิงไม่ได้กลัวไฟ ไม่กลัวพลังงานระเบิด ไม่กลัวถูกมีดตัด แต่มันกลัวน้ำ
นางเงือกวายุเป็นเหมือนพิษสำหรับพุ่มเพลิง  ฝนตกหนักขึ้นๆ ลงมาที่พื้นอย่างรวดเร็วและพื้นที่ราบกว้างใหญ่ไม่สามารถรวมกระแสน้ำได้  น้ำหลากกระจายไปทุกทิศทาง  แต่ด้วยความช่วยเหลือของเมดูซาศิลา นาคาสายฟ้าและอสรพิษน้ำแข็งฝนรวมตัวกันเป็นพื้นทะเลสาบขนาดใหญ่และถูกกวาดไปทางพุ่มเพลิง
อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบเกิดมีกำแพงน้ำแข็งขนาดใหญ่
ปีศาจอสรพิษน้ำแข็งชี้ขึ้นไปบนฟ้าและอุณหภูมิลดลงอย่างกะทันหัน  จ้าวปลาดุกที่อ้าปากเตรียมกลืนทะเลสาบลงท้องของมันปากของมันเต็มไปด้วยน้ำแข็ง  จากนั้นมันจึงหุบปากลง
และจากนั้นเมื่อมันอ้าปาก มันต้องการจะกลืนน้ำ
นางเงือกวายุที่สามารถควบคุมน้ำทำให้น้ำมากขึ้น เพื่อที่ว่าจ้าวปลาดุกจะไม่สามารถกลืนได้ง่าย  นางแค่ทำให้แน่ใจว่าฝนตกจนน้ำมากเกินกว่าจ้าวปลาดุกจะกลืนได้หมด จ้าวปลาดุกซึมเซา หลังจากฝนตกหนัก มันต้องการจะกลืนน้ำ  แต่ล้มเหลว แม้ว่ามันจะกลืนน้ำได้ทั้งหมด แต่ฝนยังคงตกอยู่ตลอดเวลา
ไม่สำคัญว่าท้องของมันจะใหญ่เพียงไหน  แต่มันจะกินน้ำขณะที่สังข์วายุยังเป่าอยู่ตลอดเวลาได้ยังไง?
สถานการณ์ในตอนนี้ไกลเกินกว่ามนุษย์กระดูกและสตรีล่องหนจะคาดคิดได้  เป็นไปได้ยังไงที่เด็กไม่กี่คนที่ยังไม่ถึงระดับนักสู้ปราณฟ้าถึงสู้ได้ขนาดนี้?  ถ้าอสูรของฝ่ายตรงข้ามอยู่ในแดนสวรรค์ พวกเขาคงชนะไปแล้ว  พุ่มเพลิงและอสูรรบอื่นไม่สนับสนุนกันเอง ถ้าไม่มีพลังระดับสูงที่แข็งแกร่ง
 “ข้าควรจะสู้ต่อไหม?”  อีกาถามสหายของเขา  มันยังมีอสูรพิทักษ์ที่ทรงพลังมาก  เมื่อเรียกออกมา มันอาจพลิกสถานการณ์ได้  แต่ปัญหาก็คือมันไม่ได้สร้างเกียรติให้กับผู้ชนะเลย มันฝึกฝนมาเป็นหมื่นปี และถ้ามันรังแกเด็กสองสามคน ก็รู้สึกเป็นเรื่องที่เกินเลยไปหน่อย
 “หยุดเลย”  สตรีล่องหนรู้สึกว่าอีกาไม่สู้จะดีกว่า เพราะชนะไปก็ไร้ความหมาย
 “อืม..ก็ดีเหมือนกัน”  มนุษย์กระดูกเอากระดูกนิ้วเกาหัวกะโหลกและพยักหน้าหลังจากคิดแล้ว
 “แล้วจะสู้ต่อดีหรือไม่?”  อีกาสับสนจริงๆ  ทำไมพวกเขามีคำตอบตรงกันข้ามสองคำตอบ?  คนหนึ่งบอกว่าไม่  คนหนึ่งบอกว่าได้ แล้วเขาจะทำตามใคร?  เขาต้องการสู้ แต่ใครจะฟังกันเล่า?  เขามองดูปีศาจอสรพิษน้อยกับดาบอสูรทงเทียนในมือเธอ  และรู้สึกกระตือรือร้นอยากจะสู้ขึ้นมาบ้าง  มันไม่ได้สู้กับฝ่ายตรงข้ามมาเป็นหมื่นปีแล้ว วันนี้มีโอกาส  ถ้ามันไม่ลงมือเคลื่อนไหว  มันคงต้องเสียใจกับกระดูกผุกร่อนของมัน
ในที่สุดมันก็ตัดสินใจ
สู้โว้ย!
ไม่สำคัญว่าเขาจะเป็นลูกหลานใคร ไม่สำคัญว่าเขาจะนำความยุ่งยากใดมาให้ ขอให้สนุกกับการต่อสู้ก่อน
มันกางปีกและเรียกคัมภีร์แพลตตินัมออกมา
ทุกคนรวมทั้งเย่ว์หยางรู้สึกแรงกดดันเพิ่มขึ้นในท้องฟ้อง  มันสว่างแพรวพราวมากกว่าดวงอาทิตย์ และแรงกล้ากว่าดวงอาทิตย์  แสงเหมือนกับธนู และรุนแรงมากจนพวกเขายากจะลืมตาได้
มีแต่เพียงแสงกดลงมาระหว่างสวรรค์และโลก
ในท่ามกลางแสง  มีเพียงเย่ว์หยางผู้ครอบครองตาทิพย์ สามารถเห็นว่ามีสิ่งหนึ่งสว่างเหมือนดวงอาทิตย์
กาทอง  อสูรปราณฟ้าระดับห้า ไม่น่าจะเป็นระดับหก  “กาทองสามขา?”  เย่ว์หยางที่ใจเย็นยังอดร้องไม่ได้เมื่อเขาเห็นอสูรรบตัวนี้  อสูรพิทักษ์ของกานี้ แข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้

9 ความคิดเห็น:

Minamoto กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

neng2006 กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Boybravo กล่าวว่า...

มันส์ ขอบคุณครับ

Unknown กล่าวว่า...

โดนหยางหยางน้อย ขโมยกาทองสามขาไปอีกแน่นวล น้องกาน้อยผู้น่าสงสาร 555

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

BJ กล่าวว่า...

มันส์

natthapol.nondang@gmail.com กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ

สายลมโชย กล่าวว่า...

สนุกมากๆขอบคุณครับ

akekapoj-tee กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ

แสดงความคิดเห็น