วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

เล่ม 20 ปริศนามงกุฎ - ตอนที่ 19 กระดาษ


เล่ม 20 ปริศนามงกุฎ - ตอนที่ 19 กระดาษ
ลินลี่ย์เดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ จากนั้นเดินผ่านไปตามทางเดินมาถึงลานว่าง
 
เขาสูดหายใจลึกรู้สึกได้ถึงสายลมแผ่วเบาที่พัดปะทะร่างเขา  รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขา  เหมือนกับว่าเขาปลดภาระที่หนักหน่วงได้  “โมลด์ทำร้ายข้าอย่างสาหัสก่อนที่เขาจะตายจริงๆ  มันสร้างปัญหาให้ข้าไม่รู้จักหมดสิ้น  อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มหาเทพต่างๆ ได้พูดคุยกันแล้ว เรื่องนี้ควรจะจบได้แล้ว  เว้นแต่ว่าเครื่องรางชิ้นที่สามจะปรากฏหรือโองการจอมเทพปรากฏขึ้น!
 “พี่ใหญ่!  บีบีวิ่งเขามาหาทั้งประหลาดใจและดีใจ
 “ท่านพ่อ” เทย์เลอร์, ซาชาและคนอื่นเดินเข้ามาสมทบแต่ไกลเช่นกัน
ลินลี่ย์มองดูครอบครัวและสหาย “ไม่ว่ายังไงเครื่องรางจอมเทพเป็นของที่ดึงดูดความสนใจของมหาเทพ  เพราะข่าวที่โมลด์แพร่กระจายไปจะนำความยุ่งยากลำบากมาให้ข้า  แต่พวกเขาไม่ควรจะไร้ยางอายจนใช้แรงกดดันต่อครอบครัวข้า” ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยมีมาก่อน  เท่าที่ลินลี่ย์รู้ มหาเทพไม่เคยกดดันสมาชิกครอบครัวของเทพเลย
 “พี่ใหญ่, ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม?”  บีบีเดินมาข้างหน้าลินลี่ย์
 “บีบี, ดูหน้าน้องสามสิ  เจ้าน่าจะรู้จากการมองหน้าเขานะ”  เยลหัวเราะ
 “ปู่เบรุตข้าอยู่ที่ไหน?  เขาอยู่ในห้องโถงใหญ่คนเดียวหรือ?”  บีบีพูดด้วยความสงสัย
 “เขากำลังปรึกษาลับกับมหาเทพบลัดริจ”  ลินลี่ย์บอก
บีบีและเยลตกใจกันหมด  บีบีกล่าว “มหาเทพบลัดริจมาด้วยหรือ?”  ไม่มีคนอื่นเห็นมหาเทพบลัดริจมาถึง  เพราะมหาเทพบลัดริจสร้างร่างพลังงานโดยตรงอยู่ในห้องโถงใหญ่  ดังนั้นคนที่อยู่ข้างนอกจึงไม่รู้
 “ปู่เบรุตเจ้ากำลังเดินมา”  ลินลี่ย์หัวเราะขณะพูดกับบีบี  เบรุตเดินออกมาจากห้องโถงใหญ่ ใบหน้าเขามีรอยยิ้ม
หลังจากออกมา เบรุตมองหน้าลินลี่ย์ จากนั้นเดินเข้ามาหา
 “ปู่” บีบีเดินมารับหน้าเขา
เบรุตหัวเราะขณะลูบหัวบีบี  จากนั้นมองลินลี่ย์  เขาหัวเราะและกล่าว  “ทุกอย่างได้รับการคลี่คลายแล้ว ลินลี่ย์!  ข้ามีธุระต้องไปจัดการ  และจะไปเดี๋ยวนี้เลย”  หลังจากพูดเสร็จ เบรุตพูดกับลินลี่ย์ผ่านสำนึกเทพ  “ลินลี่ย์!  จำไว้ให้ดี ไม่ว่าเจ้าจะได้รับมุกวิญญาณหรือไม่ก็ตาม ถ้าเจ้าได้รับไว้  เจ้าต้องมั่นใจว่าเจ้าต้องซ่อนเอาไว้ให้ปลอดภัย”
การส่งสำนึกเทพของเบรุตทำให้ลินลี่ย์ตกใจหนัก
 “ลอร์ดเบรุต?”  ลินลี่ย์ส่งสำนึกเทพกลับด้วยความประหลาดใจ  ลินลี่ย์รู้สึกขอบคุณต่อเบรุต  และยังมองเบรุตเหมือนกับว่าเขาเป็นผู้อาวุโสของครอบครัวเขา
เบรุตยิ้มเต็มใบหน้า  แต่เขาส่งสำนึกเทพบอกอย่างจริงจัง  “ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่น  ถ้าเจ้าไม่ได้รับไว้ นั่นก็ดีไป  แต่ถ้าเจ้าได้มา เจ้าต้องซ่อนเอาไว้ให้ดี อย่ายอมรับ  ต่อให้ใครขู่เข็ญว่าจะฆ่าเจ้าก็ตาม!  ตราบเท่าที่เจ้าทำได้เช่นนี้ เจ้าจะปลอดภัย”  หลังจากส่งสำนึกเทพบอกแล้ว  เบรุตหัวเราะขณะที่เขาพูดกับทุกคนอีกไม่กี่คำ  จากนั้นก็จากไป
ลินลี่ย์มองดูเบรุตจากไป ความสงสัยในใจเขามีมากขึ้น
 “ลอร์ดเบรุตตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ถึงพูดคำเหล่านี้?  เขาไม่ควรจะรู้ว่าข้ามีเครื่องรางจอมเทพ  แต่คำพูดของเขา...”  ลินลี่ย์ไม่เข้าใจ
เวลาผ่านไป
ในพริบตาผ่านไปอีกร้อยปี
ในช่วงที่ผ่านมาร้อยปี  ลินลี่ย์ใช้ร่างแยกธาตุน้ำเพื่อพักผ่อนสมาคมกับครอบครัว ขณะที่อีกสามร่างแยกรวมทั้งร่างหลักของเขามุ่งทุ่มเทให้กับฝึกฝนอย่างระมัดระวัง  เขาเริ่มฝึกเคล็ดลึกลับที่หกในธาตุไฟ แต่น่าเสียดาย  เคล็ดลึกลับที่หกนี้คือเคล็ดพลัง ระเบิด ที่ลึกลับที่สุด ทรงพลังที่สุด  ความเร็วในการฝึกฝนของลินลี่ย์จึงช้ามาก
เคล็ดต่างๆ ของพลังระเบิด.. เหมือนกับแรงระเบิดของภูเขาไฟ  ต้องมีการรวบรวมพลังไว้เป็นปริมาณมากจากนั้นปลดปล่อยออกไปอย่างฉับพลัน  พลังของมันมหาศาลยิ่งนัก
ตัวอย่างเช่น  บลูไฟร์สามารถเคลื่อนไหวราวกับว่าเขาเทเลพอร์ท และพลังโจมตีวิญญาณและพลังโจมตีวัตถุของเขาต้องบอกว่าสุดยอด  นี่ต้องทำด้วยเคล็ดระเบิดแน่  แม้ว่าเคล็ดลึกลับทั้งหลายจะอธิบายได้ง่าย  แต่เมื่อลงลึกในเนื้อหาและพยายามจะทำความเชี่ยวชาญให้ได้ เคล็ดเหล่านั้นกลับทำความเข้าใจได้ยากเหลือเชื่อ
การฝึกฝนกฎธาตุไฟของเขาช้าลง
แต่เส้นทางการหลอมรวมกฎธาตุทั้งสี่ยังช้าลงด้วย  เคล็ดวังวนอ่อนหยุ่นของธาตุน้ำและชีพจรโลกของกฎธาตุดินหลอมรวมไปแล้ว  แต่ความเร็วของลินลี่ย์ช้าลงมากหลังจากนั้น  เขาไม่สามารถสร้างความก้าวหน้าใดๆ ได้
 “วิ้วววว”
สายลมพัดหวีดหวิว เกล็ดหิมะคลุมเต็มท้องฟ้า
เทือกเขาสกายไรท์ดูเหมือนคลุมไปด้วยชุดสีเงินปรากฏดูงดงามราวกับภาพฝัน  ทหารลาดตระเวณจำนวนหนึ่งที่เดินตรวจตรารอบตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนลดลงมากเช่นกัน  นี่เป็นเพราะในตอนนี้พวกเขามีเทพพารากอนคุ้มครองพวกเขาอยู่  ใครจะกล้ามาหาเรื่องพวกเขา?  เป็นธรรมดาที่ไม่จำเป็นต้องมีทหารจำนวนมากคอยระวังการณ์
เทือกเขาสกายไรท์  ถนนมังกร ยังมีทหารยืนรวมตัวกระจายตามจุดต่างสามารถเห็นได้
อสูรโลหะโดยสารรูปค้อนขนาดยักษ์กำลังบินเข้ามาแต่ไกล  มันหยุดชะงักอยู่ด้านนอกเขตเทือกเขาสกายไรท์และที่ทำการตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็หายไปเห็นแต่บุรุษร่างใหญ่ คนผู้นี้สูง 2.5 เมตรสวมกางเกงขายาวสีดำ ขณะที่ร่างกายท่อนบนไม่ได้สวมอะไรนอกจากเสื้อกั๊กเผยให้เห็นมัดกล้ามแขนของเขา
ผมสีแดงของเขายาวเพียงหนึ่งนิ้ว แต่ดูแข็งราวกับลวด
 “นั่นใคร?”  หนึ่งในทหารของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์บินเข้ามาหา
บุรุษร่างกำยำหัวเราะและกล่าว “ไปแจ้งผู้อาวุโสลินลี่ย์ของพวกเจ้าว่าโมซีสหายเก่ามาเยือน”  เสียงนี้นุ่มนวลมากและฟังแล้วรู้สึกปลอดโปร่งสบายใจ  ไม่ได้แสดงความโกรธหรือไม่พอใจแม้แต่น้อย
ทหารเหล่านั้นทุกคนมองหน้ากันเอง
สหายเก่าผู้อาวุโสลินลี่ย์?  พวกเขาสามารถบอกได้เช่นกันว่าผู้มาใหญ่นี้มีรัศมีที่โดดเด่น
 “โปรดรอสักครู่  ข้าจะไปรายงานก่อน”  หนึ่งในทหารกล่าว จากนั้นหมุนตัวบินเข้าไปในเทือกเขาสกายไรท์ทันที
 “โมซี่คือใคร?  เจ้าเคยได้ยินชื่อเขามาก่อนหรือเปล่า?”
 “ดูจากลักษณะ เขาน่าจะเป็นยอดฝีมือที่ทรงพลังแข็งแกร่ง  สหายของผู้อาวุโสลินลี่ย์... เขาน่าจะเป็นระดับผู้บัญชาการหรืออาจเป็นยอดฝีมือระดับเจ้าแคว้นก็ได้”
ทหารเหล่านั้นลอบคุยกันผ่านสำนึกเทพเกี่ยวกับคนตัวใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา  มียอดฝีมือนับไม่ถ้วนที่มาเยี่ยมเยียนลินลี่ย์เมื่อไม่กี่ปีมานี้ และทหารเหล่านี้ก็รู้ดีทุกคน... ไม่มีอาคันตุกะคนไหนที่ทำร้ายพวกเขา  ดังนั้นพวกทหารจึงมีมารยาทอันดีต่อคนที่มาเยี่ยมพบลินลี่ย์
ช่วงเวลาต่อมา
 “ฮ่าฮ่า  โมซี!  เสียงหัวเราะดังขึ้นขณะที่มีสองคนที่บินเข้ามาหาจากที่ไกล
โมซีเพ่งมองจากนั้นหัวเราะเช่นกัน  “ลินลี่ย์!  ไม่ได้พบกันนานเลยนะ”
ทั้งสองคนคือลินลี่ย์และทหารลาดตระเวนอีกคน  ลินลี่ย์เมื่อรู้ว่าเป็นโมซีมาหาก็รีบมาต้อนรับเขาด้วยตัวเอง  เขาหัวเราะพลางกล่าว “ไม่ได้พบกันนานเลยทีเดียว ท่านโมซี!  เชิญเข้ามาคุยข้างในกันก่อน”  โมซีเดินเคียงไหล่ไปพร้อมกับลินลี่ย์ตามถนนมังกร พวกเขาบินเข้าไปในในภูเขาพร้อมกัน
 “เราไม่ได้พบกันมาสองพันปีแล้ว  แต่ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าที่ตอนนั้นเป็นเพียงเทพแท้จะกลายเป็นเทพพารากอนไปแล้ว  เมื่อได้ทราบข่าวนี้ ข้าไม่อยากเชื่อจริงๆ”  โมซีหัวเราะ “เพียงแต่ได้รับการยืนยันจากมหาเทพของข้า ข้าจึงยอมเชื่อ ข้านับถือเจ้าจริงๆ”
โมซีเป็นผู้บัญชาการขุมนรกที่ทรงพลังมากของแดนนรก
ลินลี่ย์เพียงแต่รู้ในเวลาต่อมาจากหนังสือแนะนำของเบรุตว่าโมซีทรงพลังมากขนาดไหน!
โมซีเองฝึกมาทางวิถีทำลายล้างและวิถีมรณะ  นอกจากนี้เขายังมีความสำเร็จในระดับน่ากลัวในสองวิถีนี้  ขณะที่วิถีมรณะก็พอกันโมซีเองก็ใกล้จะถึงระดับสุดยอดสมบูรณ์ อีกเพียงก้าวเดียวเขาจะกลายเป็นเทพพารากอน  โมซีสามารถครอบงำอสูรเจ็ดดาวได้อย่างง่ายดาย!
จำนวนคนที่สามารถทำได้ขนาดนี้ในแดนนรกแทบจะนับได้ด้วยมือข้างเดียว
ต่อให้ลินลี่ย์กลายเป็นพารากอนในกฎธาตุดินได้  เขาก็คงไม่สำเร็จได้ขนาดนี้แน่  ที่สำคัญแต่ละกฎธาตุจะมีความพิเศษในตัวเอง  ยอดฝีมือวิถีมรณะจะมีทักษะในเรื่องวิญญาณ
สำหรับการทำลายล้าง เป็นเพราะโมซีเป็นผู้มีสายเลือดไตตันบลัดรูน เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ในวิถีทำลายล้างที่ใกล้ระดับอสูรเทพ  และนั่นทำให้โมซีไม่ใช้สุดยอดไม้ตายของเขา
เขาแทบจะถึงจุดสุดยอดในพลังโจมตีวัตถุและพลังโจมตีวิญญาณทั้งสองอย่างสมบูรณ์
อาจกล่าวได้ว่านอกจากพารากอนแล้ว โมซีไร้เทียมทาน มิน่าเล่าในอดีตตระกูลไตตันบลัดรูนจึงสามารถปกครองเกาะมิลัวร์ได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายและพัฒนาไปเป็นเมืองที่ไม่มีใครกล้าหาเรื่องรบกวน  ท่านจะทำอะไรได้? เจ้าแคว้นธรรมดาไม่ใช่คู่มือของโมซี?
 “ข้าเพียงแต่บรรลุระดับใหม่ได้โดยอาศัยโชค  และข้าแทบจะต้องแลกด้วยชีวิต”  ลินลี่ย์พูดและหัวเราะอย่างเยือกเย็น
 “ข้าก็เหมือนกัน ฝันว่าจะกลายเป็นเทพพารากอนสักคน  แต่ก้าวสุดท้ายนี้.. ไม่มีอะไรที่ข้าทำได้   ข้าจะทำอะไรได้”  โมซีส่ายศีรษะและหัวเราะ
ขณะที่หัวเราะพูดคุยกัน ทั้งสองคนเข้าไปในที่พำนักของลินลี่ย์  เพราะโมซีไม่คุ้นเคยกับคนอื่น ลินลี่ย์จึงแนะนำสมาชิกที่สำคัญในที่พำนักของเขาเท่านั้น จากนั้นพาโมซีไปห้องรับอาคันตุกะ  โมซีและลินลี่ย์เริ่มคุยกันเป็นส่วนตัว
โมซีพูดอย่างคล่องแคล่ว และขณะที่เขาพูดคุยหัวเราะ  เขาแสดงความเห็นต่อลินลี่ย์มากขึ้น
 “ลินลี่ย์, หลังจากคุยกับเจ้าตั้งนาน ข้าเกือบลืมเรื่องที่เป็นเหตุให้ข้ามาที่นี่วันนี้”  โมซีพูดพลางยิ้ม
 “โอว? เรื่องอะไร?”  ลินลี่ย์พูดด้วยความประหลาดใจ
เขาคิดว่าโมซีมาคุยเพื่อระลึกความทรงจำกับเขา  แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามีเหตุผลพิเศษในการเดินทาง
 “ดูนี่สิ”  โมซีโบกมือและกระดาษสีดำปรากฏขึ้น  “นี่ถูกส่งมาให้ข้าโดยนักรบเทพชั้นสูงคนหนึ่ง  เมื่อเห็นข่าวนี้  ข้ามีความรู้สึกแย่ทันที!  ข้ารู้สึกเหมือนกับว่ามีคนพยายามทำร้ายเจ้าซึ่งเป็นเหตุให้ข้าต้องครอบงำเทพชั้นสูงคนนั้น  ถึงตอนนั้นข้าจึงได้รู้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นแผนของโมลด์”
ลินลี่ย์ตาเป็นประกาย  “นี่คือกระดาษที่โมลด์ใช้ส่งไปหรือ?”  ลินลี่ย์รีบรับมาดู
ลินลี่ย์ต้องการรู้มากว่ากระดาษชิ้นนี้อธิบายอะไรไว้  โมลด์เพียงแต่ส่งบริวารของเขาไปยังหกพื้นที่อื่น  ขณะที่ทวีปบลัดริจ.. เขาไม่มอบให้เจ้าแคว้นหรือผู้บัญชาการอื่น
 “ข้อมูลในกระดาษนี้ตั้งใจจะฆ่าเจ้าอย่างชัดเจน  นี่คือเหตุผลที่ข้ารีบมาส่งให้เจ้าทันที”  โมซีพูดจริงจัง
ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งที่เทพชั้นสูงนั้นต้องเดินทางจากทวีปบลัดริจไปเกาะมิลัวร์ และจากนั้นทำให้โมซีต้องรีบ  ทุกคนสามารถเข้าใจได้ถึงเหตุผลที่เวลาผ่านไปนานมาก
ลินลี่ย์อ่านข้อมูลในกระดาษอย่างระมัดระวัง
 “เครื่องรางทั้งสาม..มุกวิญญาณเก้าเม็ด, มงกุฎห้าแฉกและเพชรกระจับแดง เครื่องรางจอมเทพเหล่านี้จะเอามารวมกันเป็น มงกุฎแห่งชีวิต?”  ตาของลินลี่ย์เป็นประกาย  “เมื่อเครื่องรางทั้งสามนี้รวมเข้าด้วยกัน และกลายเป็นมงกุฎแห่งชีวิต ผู้นั้นจะขอพรจากจอมเทพแห่งชีวิตได้อย่างหนึ่ง”
นั่นเป็นข้อมูลที่สำคัญที่สุดในเอกสาร
ขณะเดียวกัน ยังรวมคำอธิบายของเครื่องรางจอมเทพทั้งสาม
 “อย่างนั้นมงกุฎคร่ำคร่าก็เรียกว่ามงกุฎห้าแฉก? เครื่องรางทั้งสาม.. ข้ามีอยู่สองแล้ว...”  ลินลี่ย์ดีใจอยู่ในใจ  “ตอนนี้, ข้ายังขาดอยู่อย่างเดียวคือเพชรกระจับแดง”
เพชรกระจับแดงก็คือเพชรรูปคล้ายกระจับมีสีแดง
ขณะที่พลังวิเศษที่มันมี  กระดาษนี้ไม่ได้พูดถึง
แผ่นกระดาษนี้ยังคงบอกถึงโองการจอมเทพซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องรางทั้งสามนี้ ขณะที่มุกวิญญาณทั้งเก้าอยู่ในมือของลินลี่ย์แห่งตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์แห่งแคว้นอินดิโก!
 “ข้าไม่เคยเห็นโองการจอมเทพเลย”  ลินลี่ย์รำพึงกับตัวเอง  “แต่บรรดาเครื่องรางทั้งสาม ข้ามีอยู่สองแล้ว  ถ้าข้าได้รับชิ้นที่สาม  อย่างนั้นข้าก็สามารถขอพรจอมเทพแห่งชีวิตได้”
 “ขอพรจอมเทพแห่งชีวิต?”  ลินลี่ย์อดพึมพำกับตัวเองไม่ได้
ทันใดนั้น..
 “ปัง!
ประกายความคิดอย่างหนึ่งแว่บขึ้นในใจของลินลี่ย์  ตาเขาเป็นประกายทันที
โมซีนั่งอยู่ข้างลินลี่ย์ อดหัวเราะเมื่อเห็นอาการตกใจของลินลี่ย์มิได้  “ข้ารู้เกี่ยวกับภารกิจจอมเทพมาบ้างเล็กน้อย ช่วงเวลาหลายปีนับไม่ถ้วน จอมเทพออกภารกิจมาหลายครั้งแล้ว  ดูเหมือนข้ายังจำได้ว่ามหาเทพที่ทำได้สำเร็จในแต่ละครั้งมหาเทพจะขอเป็นสมบัติจอมเทพซึ่งจอมเทพมักจะยอมตกลงสร้างให้
จอมเทพจะตอบสนองตามคำขอ
 “จอมเทพแห่งชีวิตเชี่ยวชาญในวิถีชีวิต ซึ่งควบคุมชีวิตและชะตากรรมของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนของจักรวาล!  มหาเทพไม่สามารถช่วยปู่เดลินได้  แต่เป็นไปได้มากว่าจอมเทพแห่งชีวิตอาจทำได้”  ลินลี่ย์จำได้ถึงสิ่งที่พระยายมราชพูดกับเขา
เมื่อวิญญาณผู้ใดแตกสลายไปแล้ว  มหาเทพไม่สามารถช่วยพวกเขาได้
จอมเทพล่ะ?
แม้ว่านางไม่มั่นใจ แต่จอมเทพผู้เชี่ยวชาญของวิถีต่างๆ ก็ทรงพลัง  บางทีพวกเขาอาจช่วยได้
 “ปู่เดลิน...”  ฉากภาพนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาในใจของลินลี่ย์
วันนั้น ชายชราเคราขาวหนวดขาวลอยออกมาจากแหวน...
วันนั้นที่ชายชราเคราขาวคอยแนะนำเขาที่ยังเป็นเด็กน้อยให้เข้าโรงเรียนสิ่วตรง ทำให้เด็กน้อยผู้นั้นมีระดับพลังเพิ่มขึ้น...
วันนั้นที่ชายชราเคราขาวยอมสละชีวิตตัวเองใช้คาถาต้องห้าม...
 “ปู่เดลิน...”  ลินลี่ย์ขึ้นไปถึงจุดสุดยอดของพลังได้ รู้สึกใจสั่นสะท้าน  “ตราบใดที่ข้าสามารถหาเครื่องรางทั้งสามได้ ข้าจะขอพรจากจอมเทพแห่งชีวิต  ตอนนี้ข้ายังขาดอยู่เพียงอย่างเดียว  แค่เพียงอย่างเดียว!  ปู่เดลิน  ข้า..ข้าจะทำให้ท่านมีชีวิตกลับคืนมาให้จงได้”
ใจของลินลี่ย์เร่าร้อน  ความหวังของเขากำลังคุโชน!

12 ความคิดเห็น:

WingF กล่าวว่า...

เพื่อปู่ ให้สู้กับมหาเทพก็ยอม

Pingku กล่าวว่า...

ขอบคุณคับ

pmt กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

ArunothaiCS กล่าวว่า...

กตัญญูกตเวที เป็นสิ่งที่มนุษย์พึ่งมี ข้อคิดดีๆจากตอนนี้

ขอบคุณผู้แปลครับผม

Zergkeng กล่าวว่า...

เสียใจคืนไม่ได้อยากคืนชีพต้องรวบรวมดราก้อนบอลครบ7ลูกเท่านั้น

Boybravo กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

sittichok กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ

Rannight กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

tho กล่าวว่า...

ขอบคุณ​มาก​ๆ​ครับ​

Toffee กล่าวว่า...

ให้แต่ คนที่ รักตัวเอง ฝึกหนักขนาด ของคุณครับ

Ko Surapong กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

ท้องฟ้าจะมีความหมาย ถ้ามีคนแหงนมอง กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ มีแสงสว่างที่ปลายทางอุโมงค์ ก็ต้องเดินทางต่อไปยังแสงสว่างเล็กๆนั้น

แสดงความคิดเห็น