วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

เล่ม 20 มงกุฎปริศนา - ตอนที่ 5 ปฏิเสธ


เล่ม 20 มงกุฎปริศนา - ตอนที่ 5 ปฏิเสธ
คำพูดของกัซลีสันนับว่าถูกต้อง  ความจริงทั่วทั้งเผ่าตระกูลล้วนดีใจกันทั้งนั้น
ไม่ใช่แค่สมาชิกระดับสูงของเผ่าตระกูลเท่านั้น  แม้แต่สมาชิกทั่วไปจำนวนมากที่อยู่ในเทือกเขาสกายไรท์ก็พากันรวมตัวกันหลายๆ ที่ดื่มคุยและสนุกสนานรื่นเริง  เพราะตระกูลได้สร้างสุดยอดฝีมือเช่นนั้นได้เป็นเรื่องที่ทำให้ชาวเผ่าตระกูลรู้สึกภาคภูมิใจ!

เมื่อสมัยที่บรรพบุรุษทั้งสี่ยังมีชีวิตอยู่  และตระกูลอยู่ในสภาพเจริญรุ่งเรือง
หลังจากที่พวกเขาตายไป  ตระกูลตกต่ำจนถึงขั้นถูกแปดตระกูลใหญ่มาดูถูกดูหมิ่นจนถึงภูเขาสกายไรท์  นี่คือความอัปยศ!  นี่ทำให้สมาชิกของเผ่าที่ผ่านประสบการณ์ยุครุ่งเรืองรู้สึกผิดหวังอยู่ในใจพวกเขา
การโดดเด่นขึ้นมาอย่างฉับพลันของลินลี่ย์ทำให้ชาวเผ่าตระกูลเหล่านี้รู้สึกหยิ่งภูมิใจมากขึ้น
เป็นการฉลองที่สุดเหวี่ยง  แม้แต่ทหารลาดตระเวนก็ยังดื่มเหล้าฉลองไปด้วย มีเทพพารากอนอยู่ในเผ่าตระกูล  ทหารลาดตระเวนไม่ต้องกังวลใจ จะไม่มีใครกล้ามาสร้างความลำบากให้กับตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์
พอถึงยามดึก พระจันทร์สีม่วงลอยเด่นอยู่ในท้องฟ้า
เทือกเขาสกายไรท์ ภายในภูเขาที่ปกครองโดยเผ่ามังกรฟ้า มีที่ดินผืนใหญ่ทอดตัวยาวและมีสิ่งก่อสร้างที่นี่  ในแง่ของขนาด ยังมีขนาดใหญ่กว่าที่พำนักของประมุขเผ่า  ดูเหมือนว่าดูเรียบง่ายเมื่อมองจากระยะไกล  แต่ถ้าใครดูให้ดีๆ เขาจะมองเห็นว่าแม้แต่กำแพงก็ปกคลุมไปด้วยภาพแกะสลัก  จากสายตาของลินลี่ย์ เขาสามารถบอกได้ทันทีว่างานแกะสลักเหล่านี้อย่างน้อยก็เป็นฝีมือของประติมากรระดับปรมาจารย์
และในยามนี้...
ด้านหน้าคฤหาสน์มีคนยืนอยู่สองคน คือลินลี่ย์กับกัซลีสัน
ลินลี่ย์อดมองดูกัซลีสันที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้  เขารำพึงกับตนเอง  “ท่านประมุขเตรียมการหลายอย่างไว้ให้ข้ามากมายนัก”
 “ท่านประมุข,  จะให้ข้าพำนักอยู่ที่นี่หรือ?”  ลินลี่ย์ถาม
 “ลินลี่ย์”  กัซลีสันหัวเราะ  “ตอนนี้เจ้าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์แล้ว!  เมื่อคนภายนอกพูดคุยถึงตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์  คนแรกที่พวกเขาคิดถึงก็คือเจ้า  ที่พำนักของเจ้าจะต้องสมกับสถานะของเจ้า  นอกจากนี้สถานที่นี้กว้างใหญ่มากพอ และเจ้าก็มีครอบครัวและสหายมาก นั่นถึงจะพอ”
ลินลี่ย์อดพยักหน้าไม่ได้
ขนาดของคฤหาสน์นี้พอๆ กับปราสาทเลือดมังกรของทวีปยูลาน  ต่อให้มีพันคนก็จุได้เพียงพอ อย่าว่าแต่ร้อยกว่าคน
 “งั้นข้าขอรับไว้”  ลินลี่ย์ค่อนข้างตรงไปตรงมา
กัซลีสันหัวเราะและพยักหน้า  “พรุ่งนี้เจ้า เจ้าสามารถย้ายครอบครัวและสหายของพวกเจ้ามาที่นี่ได้เลย”  วอร์ตันและคนอื่นตอนนี้พำนักอยู่ในหุบเขาใหญ่แล้ว  ฮ็อกไปเยี่ยมคารวะบรรพบุรุษตระกูลบาลุค สำหรับฮ็อกกับวอร์ตัน การได้พบกับบรรพบุรุษของตระกูลเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
 “ข้าไม่รีบ”  ลินลี่ย์กล่าว  “สมาชิกครอบครัวของข้าต้องการจะใช้เวลากับบรรพบุรุษสาขายูลาน”
 “ก็สมควรแล้ว”  กัซลีสันหัวเราะและพยักหน้า  “ลินลี่ย์..ดูนี่”  ขณะที่พูดกัซลีสันดึงขวดหยกน้อยมาถือไว้ในมือของเขา
ขวดหยกนี้มีปากขวดเล็ก  โดยทั่วไปใช้เก็บของที่สำคัญอย่างเช่นมุกวิญญาณทองที่กลั่นแล้ว หรือยาเม็ดอื่น
 “นี่คือ...?”  ลินลี่ย์ขมวดคิ้ว  “พลังมหาเทพ?”
 “ใช่แล้ว พลังมหาเทพธาตุดิน”  กัซลีสันหัวเราะ  “ลินลี่ย์!  ข้ารู้ว่าเจ้าฝึกมาทางกฎธาตุดินเป็นหลัก  ดังนั้นคงจะดีกว่า ที่จะให้เจ้าได้ใช้พลังมหาเทพธาตุดิน  นั่นคือเหตุผลที่เราเตรียมสิ่งนี้ให้เจ้า!  เจ้าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของตระกูลเรา เป็นธรรมดาที่เจ้าสมควรใช้พลังมหาเทพที่เหมาะสมที่สุด”
แม้ว่าขวดหยกน้อยบรรจุพลังมหาเทพยังมีปริมาณที่ห่างไกลเมื่อเทียบกับที่รีสเจมให้ลินลี่ย์มาทั้งกระติก แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีอย่างน้อยเป็นพันหยดอยู่ในนี้
 “ท่านประมุข”  ลินลี่ย์ไม่รับ แต่กลับส่ายศีรษะ  “ขวดหยกนี้บรรจุพลังมหาเทพไว้มากเกินไปแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษทั้งสี่ของเราตายไป ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของเราก็สูญเสียแหล่งพลังมหาเทพ แต่ละหยดที่ใช้ไปนั้นจะหมดสิ้นไปตลอดกาล ดีที่สุดคือท่านเก็บเอาไว้ให้ผู้อาวุโสอื่นได้ใช้เถอะ”
ลินลี่ย์รู้ว่าเนื่องจากพลังของเขาเอง แม้ว่าเขาจะใช้พลังมหาเทพวิถีทำลายล้าง ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวพวกพารากอนทั้งหลาย และในร่างมังกรแปลงก็ยังได้เปรียบเล็กน้อย
 “ฮ่าฮ่า...”
กัซลีสันหัวเราะ  “ลินลี่ย์, เจ้ากังวลมากเกินไปแล้ว  ในอดีตตระกูลของเราต้องประหยัดพลังมหาเทพไว้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราถูกกดดันจากแปดตระกูลใหญ่อย่างหนัก  เราจึงใช้พลังมหาเทพหมดไปอย่างรวดเร็วมาก  การสู้แต่ละครั้งเป็นการสูญเสียหยดพลังมหาเทพ  และโดยทั่วไป เราจะมีส่วนร่วมในการสู้รบหลายสิบครั้งก่อนจึงจะสามารถฆ่าผู้อาวุโสฝ่ายศัตรูได้  เพราะพลังมหาเทพถูกนำมาใช้เร็วเกินไป ทางตระกูลจึงไม่กล้าส่งมอบให้พลังมหาเทพอย่างง่ายๆ  ที่สำคัญเวลานั้นเราไม่รู้ว่าอนาคตตระกูลจะเป็นเช่นไร ดังนั้นเราจึงต้องประหยัดมากขึ้น”
 “แต่ตอนนี้ ลินลี่ย์ เจ้าเป็นเทพพารากอนแล้ว  ใครจะกล้ามาล่วงเกินตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์?”  เสียงหัวเราะของกัซลีสันมีความสุขมาก
ลินลี่ย์ได้ยินเช่นนี้ก็ผ่อนปรนตามกัซลีสัน
ความจริงด้วยพลังระดับเขาแล้ว มีน้อยคนนักที่จะตาบอดเข้ามายั่วยุตระกูลของเขา  คงมีไม่หลายสถานการณ์นักที่ตระกูลต้องถึงกับใช้พลังมหาเทพมากมาย
 “รับไปเถอะลินลี่ย์”  กัซลีสันย้ำ
ลินลี่ย์ลังเลเล็กน้อย
 “งั้นเอาอย่างนี้!  ลินลี่ย์พลิกมือควบคุมพลังเทพธาตุดินของเขาดึงแก่นธาตุดินที่อยู่ใกล้มารวมกันและสร้างเป็นขวดบรรจุเล็กๆ ในมือของเขา  ลินลี่ย์ชี้นิ้วข้างหนึ่ง และทันใดนั้นสายน้ำสีดำปรากฏในฝ่ามือของลินลี่ย์ไหลเข้าไปในขวดสีดำ
น้ำสีดำนี้ก็คือพลังมหาเทพวิถีทำลายล้าง
ความจริงลินลี่ย์มีพลังมหาเทพวิถีทำลายล้างอยู่เป็นปริมาณมาก
ขณะต่อมา ขวดเต็มไปด้วยพลังมหาเทพ  ขวดนี้จุได้ขนาดหนึ่งในสิบของปริมาณพลังมหาเทพที่เก็บไว้ในกระติก
 “เจ้า..หมายความว่ายังไง?” กัซลีสันจ้องมอง
 “ท่านประมุข เราแลกเปลี่ยนขวดพลังมหาเทพวิถีทำลายล้างของข้ากับขวดหยดพลังมหาเทพสายธาตุดินของท่าน”  ลินลี่ย์หัวเราะและยื่นขวดเล็กสีดำ
ถ้าตระกูลมีพลังมหาเทพมากมาย ลินลี่ย์คงจะยอมรับไว้  แต่ตระกูลไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น  เป็นไปได้ว่าขวดพลังมหาเทพนั้นแทบจะเป็นของส่วนใหญ่ที่ตระกูลมีอยู่
 “ลินลี่ย์”  กัซลีสันรีบกล่าว  “นี่..ไม่สามารถรับไว้ได้  เจ้า..”
 “รับไว้เถอะ ไม่อย่างนั้นข้าก็รับของท่านไว้ไม่ได้เหมือนกัน”  ลินลี่ย์ส่ายศีรษะ
กัซลีสันได้แต่หัวเราะอย่างจนใจและพยักหน้า  “ก็ได้”  เขารับขวดพลังมหาเทพวิถีทำลายล้างไว้  ขณะที่ลินลี่ย์รับพลังมหาเทพสายธาตุดิน  เท่าที่ลินลี่ย์กังวล เขามีพลังมหาเทพวิถีทำลายล้างอยู่มาก  แต่ด้วยพลังของเขา มีกรณีน้อยมากที่เขาต้องใช้มัน  การแลกเปลี่ยนหยดพลังมหาเทพสายธาตุดินจะเป็นประโยชน์กับเขา
เวลาผ่านไป พริบตาเดียวผ่านไปสิบปีนับแต่ลินลี่ย์กลับมาที่ตระกูล
ลินลี่ย์สามารถรู้สึกได้ถึงทัศนคติของชาวเผ่าตระกูล รวมทั้งประมุขเผ่าได้เปลี่ยนไป  ลินลี่ย์เข้าใจว่า..หลังจากกลายเป็นเทพพารากอนแล้ว  เขากลายเป็นผู้นำจิตวิญญาณของทั้งตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว  สถานะของเขาตอนนี้คล้ายกับเทพสงครามในจักรวรรดิโอเบรียน หรือมหาพรตในจักรวรรดิยูลาน
คฤหาสน์ที่ลินลี่ย์พำนักอาศัยอยู่กลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าตระกูล
ภายในสนามหญ้ากว้างขวางของคฤหาสน์ มีคนกลุ่มใหญ่รวมตัวกันอยู่  ลินลี่ย์  เรย์โนลด์ เยลและจอร์จนั่งล้อมวงดื่มเหล้าและพูดคุยกันเรื่องต่างๆ  แต่แน่นอนว่าเป็นร่างแยกธาตุน้ำของลินลี่ย์ที่มาสังสรรพูดคุยกับพวกเขา  ส่วนร่างแยกอื่นรวมทั้งร่างหลักกำลังฝึกฝนกันทั้งหมด
ยังคงเป็นร่างหลักของลินลี่ย์ที่ฝึกฝนได้เร็วที่สุด
 “ผู้อาวุโสลินลี่ย์”  ทหารเฝ้าประตูวิ่งเข้ามาคำนับ
 “หืม?”  ลินลี่ย์มองดูเขา
 “ผู้อาวุโสลินลี่ย์  ประมุขเผ่าส่งข้อความาบอกว่าเจ้าแคว้นจากทวีปเจดโฟลทต้องการจะพบกับท่านผู้อาวุโส”  ทหารประจำตระกูลคำนับขณะที่พูด
ลินลี่ย์หัวเราะและพยักหน้าอย่างเยือกเย็น  จากนั้นกวาดสำนึกเทพไปทั่วภูเขาสกายไรท์ นี่รวมทั้งกัซลีสันและเจ้าแคว้นผู้นั้นไว้ด้วย  “ท่านประมุข  ช่วยบอกท่านเจ้าแคว้นไปว่าตอนนี้ข้ากำลังฝึก ยังไม่สามารถไปต้อนรับอาคันตุกะคนใดได้  เว้นแต่มีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น โปรดช่วยข้ารับหน้าพวกเขาด้วย”
กัซลีสันสะดุ้ง
ความจริงเขาไม่รู้สึกถึงสำนึกเทพของลินลี่ย์แม้แต่น้อย  เขาได้แต่ถอนหายใจ  “เทพพารากอนมีพลังเหลือเชื่อจริงๆ  แค่พลังจิตของพวกเขาก็สูงล้ำข้าไปมาก”  กัซลีสันเข้าใจอารมณ์ของลินลี่ย์เช่นกัน  ลินลี่ย์ไม่ต้องการถูกรบกวนจากการพบปะสังสรรค์แบบนี้  ซึ่งนั่นเป็นวัตถุประสงค์ของคนที่พยายามผูกมิตรกับเขา
 “ก็ได้,  ข้าจะช่วยเจ้าจัดการกับพวกเขา”  กัซลีสันตอบ  “อย่างนั้นในอนาคต เว้นแต่มีเรื่องสำคัญ เจ้าจะไม่พบกับคนเหล่านี้ใช่ไหม?”
 “ถูกแล้ว”  ลินลี่ย์ตอบทางใจ  “นอกจากคนที่ข้าคุ้นเคย อย่างเช่นรีสเจม ถ้าข้าไม่คุ้นเคยกับพวกเขาและไม่เคยติดต่อกับพวกเขา นอกจากจะเป็นเรื่องสำคัญ ข้าคงไม่พบกับใครอื่น”
การตัดสินใจของลินลี่ย์ฉลาดมาก  เพราะหลังจากการมาถึงของเจ้าแคว้นจากทวีปเจดโฟลทนี้  ทุกๆ สองสามเดือนหรือทุกสองสามปี ก็จะมีคนมาเยี่ยม บางคนก็ต้องการผูกมิตรกับลินลี่ย์  ขณะที่คนอื่นๆ ต้องการขอให้ลินลี่ย์ช่วยพวกเขาด้วยเรื่องบางอย่าง ทั้งยังมีคนอื่นต้องการให้ลินลี่ย์เป็นอาจารย์พวกเขาก็มี
ในช่วงเวลาสั้นๆ มีหลายคนที่มารบกวนเขา
โชคดีที่ตระกูลสี่อสูรศักดิ์สิทธิ์หยุดพวกเขาไว้ ทำให้พวกเขาไม่ได้พบลินลี่ย์
ความจริงเป็นเรื่องปกติที่คนมากคนจะมาพบลินลี่ย์  ที่สำคัญ เทพพารากอนไม่ค่อยเปิดเผยที่อยู่ของพวกเขา เป็นเรื่องยากที่ใครๆ จะไปหาเทพพารากอนได้ถูก
ภายคฤหาสน์
 “ลุง!  ไอน่ามองดูลินลี่ย์ด้วยความประหลาดใจ  “เมื่อครู่ก่อน คนที่ต้องการมาพบท่านใช้วิธีส่งจดหมายนี้ให้ท่าน และความจริงจดหมายนี้ระบุถึงความอยุติธรรมที่กระทำต่อเขา  และเขาเป็นคนน่าสงสารมากจริงๆ ท่านลุง  ทำไมท่านไม่เมตตาช่วยเหลือเขา?”
ลินลี่ย์อดหัวเราะขณะชำเลืองมองไอน่ามิได้
 “นาน่า”  บีบีจ้องมองลูกสาวของตนเอง  “ใครจะไปรู้ว่าคนมีบุญคุณความแค้นมากมายอยู่ในแดนนรกมากขนาดไหน?  เจ้าต้องการให้ลุงเจ้าไปช่วยใครสักคน  แต่กับคนอื่นๆ เล่า?  ในแดนนรก มีผู้คนถูกเข่นฆ่าทุกขณะทุกวัน  เจ้าคิดว่าทุกคนตายอย่างสมควรไหม? พวกเขาก็ตายอย่างไม่เป็นธรรมเช่นกัน  เจ้าต้องการให้ลุงเจ้าไปตามกำจัดศัตรูของเขาทั่วแดนนรก และชำระความแค้นให้กับทุกคนที่ตายหรือ?”
ไอน่าตะลึง
ไอน่ากับเวดอาศัยอยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของลินลี่ย์และบีบี  ดังนั้นพวกเขาแทบจะไม่เคยได้รับความทุกข์ยากลำบาก  พวกเขาไม่เหมือนลินลี่ย์ที่ผ่านความเป็นความตายมาได้จนถึงระดับปัจจุบัน  พวกเขารู้แต่เพียงเรื่องราวของโลกแบบง่ายๆ
 “ถ้าข้าต้องช่วยคนที่ไม่ใช่ครอบครัว ไม่ใช่สหาย  อย่างนั้นก็ต้องมีร่างแยกเป็นล้านล้าน”  ลินลี่ย์หัวเราะ
ไอน่าแค่นเสียงและย่นจมูกอย่างน่ารัก
 “ลืมเรื่องของคนอื่นๆ ไปเถอะ ยังมีเรื่องส่วนตัวหลายเรื่องที่ข้ายังจัดการได้ไม่ดีนักเช่นกัน”  ลินลี่ย์ส่ายศีรษะและถอนหายใจ
 “เอ๊ะ?”  ไอน่ามองดูลินลี่ย์ด้วยความสงสัย
ลินลี่ย์หัวเราะเบาๆ ไม่พูดถึงรายละเอียด
แม้วาหลายวันมานี้ลินลี่ย์จะมีความสงบและมีความสุข  แต่เขาสังเกตอาการของฮ็อกบิดาของเขาจะเหม่อมองพื้นที่อย่างว่างเปล่าเมื่อเขาอยู่คนเดียว  ลินลี่ย์เข้าใจว่าบิดาของเขาคิดถึงมารดา  ลินลี่ย์มักจะคิดด้วยตนเองว่า..สักวัน เขาควรไปเยี่ยมพิภพแสงศักดิ์สิทธิ์ขอให้ประมุขมหาเทพแห่งแสงให้คืนอิสรภาพแก่มารดาของเขา
เวลาผ่านไป และในพริบตา ผ่านไปอีกร้อยปี
มีคนมากมายมารวมกันในคฤหาสน์ของลินลี่ย์
 “จู่ๆ น้องสามปิดขังตัวเองอยู่ข้างในสองสามวันที่แล้ว  ร่างแยกทั้งหมดของเขากำลังฝึกฝน  เขาพูดว่าเขาจะถึงระดับสำคัญ  แต่ชั่วเวลาการรู้แจ้งควรจะเกิดได้เร็ว  ทำไมเขาจึงยังไม่ออกมา?”  เรย์โนลด์อดชำเลืองมองทางเดินไม่ได้ จอร์จแค่หัวเราะอย่างเยือกเย็น  “จะต้องรีบทำไม?  ตอนนี้เจ้ามีชีวิตอมตะแล้ว”
เรย์โนลด์ได้ยินคำนี้อดหัวเราะไม่ได้
ความจริงเทพผู้ที่เวลาทำอะไรไม่ได้ จะสิบปีหรือร้อยปีก็ไม่มีอะไรต่างกัน
 “เอ, น้องสามกำลังออกมาหรือ?”  เยลกล่าว
เรย์โนลด์และคนอื่นทุกคนหันไปมอง  แม้แต่บางคนที่กำลังคุยกัน บางก็หยอกหัวเราะกันในสนาม  บางคนที่อยู่ไกลออกไปสังเกตว่าร่างหนึ่งเดินออกมาตามทางเดิน  ผมยาวสีน้ำตาลของเขาสยายไม่ได้มัดไว้  เป็นลินลี่ย์  ลินลี่ย์อารมณ์ดีในวันนี้  “ข้าฝึกมาร้อยปี  ในที่สุดข้าก็หลอมรวมเคล็ดลึกลับทั้งสองนี้ได้”
เป็นเรื่องยากเหลือเกินกับการหลอมรวมเคล็ดลึกลับต่างสายธาตุกัน
หลังจากที่วิญญาณกลายสภาพ  วิญญาณของเขามีพลังเพิ่มขึ้นมากมายมหาศาล  และเขายังต้องใช้เวลาหลายปีก่อนจะบรรลุได้จริงๆ
 “และนี่เป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้น  ต่อไปข้าจะหลอมรวมพลังสามชนิด  และเวลาอีกมากมายที่ข้าต้องใช้ไป ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น  เป้าหมายของข้าก็คือสี่เคล็ด”  ลินลี่ย์กระตือรือร้นมากเช่นกัน  ถ้าเขาสามารถหลอมรวมเคล็ดความรู้ลึกลับจากกฎต่างๆ   จะกลายเป็นผู้ทรงพลังได้ขนาดไหน?  มีแนวโน้มว่าเขาจะสามารถฆ่าได้กระทั่งพารากอน
 “พี่ใหญ่”  บีบีวิ่งเข้าไปหา
 “ท่านพ่อข้าล่ะ?”  ลินลี่ย์กล่าว
 “ลุงอยู่ในห้อง  วันนี่ข้ายังไม่เห็นเขาเลย”  บีบีพูด
 “ได้ ข้าจะไปหาพ่อ”  ลินลี่ย์มองดูคนอื่น จากนั้นเคลื่อนไปที่พักอยู่บิดาเขา  “หลังจากเขาฝึกเสร็จแล้ว  ความคิดแรกของลินลี่ย์คือได้เวลาไปพิภพแสงศักดิ์สิทธิ์  “ไม่ว่าข้าจะประสบความสำเร็จได้ หรือไม่อย่างน้อยข้าจะไปพบกับหัวหน้ามหาเทพแห่งแสงเพื่อลองขอเขาดู”

9 ความคิดเห็น:

ท้องฟ้าจะมีความหมาย ถ้ามีคนแหงนมอง กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

มีตน กล่าวว่า...

ขอบคุณ​ครับ​

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

tho กล่าวว่า...

ขอบคุณ​มาก​ๆ​ครับ​

Unknown กล่าวว่า...

ได้เวลาไปอีกพิภพล่ะ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ต้องมีเรื่องแน่ๆ

Boybravo กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Toffee กล่าวว่า...

ขอบคถณครับ

Unknown กล่าวว่า...

ขอบอกก่อนว่า ไอมหาเทพแสงนี่เปนคนสับปรับสุดๆ

แสดงความคิดเห็น