ตอนที่ 892 ข้ามีลางสังหรณ์
วันต่อมา
เนื่องจากศีรษะของจ้าวอัคคีปีศาจถูกผ่าเปิดออก
ผลึกปีศาจของจ้าวอัคคีปีศาจถูกดึงออกมา
ผลึกปีศาจนั้นไม่มีสำนึกควบคุมเมื่อตกลงยังผิวทะเลสาบถูกแช่อยู่นานถึงหนึ่งวันจึงค่อยๆ
แข็งตัวกลายเป็นหิน
เย่ว์หยางไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมในศึกสุดท้ายเพื่อขับไล่พวกอสูรต่างๆ
เพราะเขาจำเป็นต้องสร้างสนามพลัง
กำไลแปลงพลังงานและพลังกระบี่ซวงหัวช่วยแปลงพลังเพลิงของผลึกปีศาจจ้าวอัคคีปีศาจ
ถ้าไม่ใช่เพราะจ้าวอัคคีปีศาจอยู่ในภูมิประเทศที่ด้อยกว่าและประเมินพลังโจมตีของเย่ว์หยางต่ำเกินไป จ้าวอัคคีปีศาจคงไม่ตายง่ายๆ อย่างนั้น ที่สำคัญที่สุดจ้าวอัคคีปีศาจมีพลัง แต่ไม่มีร่างมนุษย์
การประสานพลังเข้ากับปณิธานปราณราชันย์จึงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าถึงสำนึกที่แท้จริง...
หรือถ้าจ้าวอัคคีปีศาจสู้อยู่ในทะเลเพลิงที่เขาได้เปรียบ
เขาคงยันตนเองให้อยู่ในตำแหน่งที่ไม่พ่ายแพ้ได้
ภายใต้พลังกฎสวรรค์น้อยของเย่ว์หยาง
รวมกับพลังกดดันของกฎสวรรค์ที่มากเป็นสองเท่า จ้าวอัคคีปีศาจจึงได้พ่ายแพ้
ไม่เหมือนกับเป็นนักสู้คนหนึ่ง
แน่นอนว่าใครก็ตามที่เพิกเฉยหรือดูถูกพลังโจมตีของเพลิงอมฤต
พลังของวงจักรนิรันดร และวงจักรล้างโลก จะต้องถูกลงโทษ
เช่นเดียวกับเพลิงอมฤตและวงจักรล้างโลก ด้วยพลังของเย่ว์หยาง
ยิ่งเขามีความก้าวหน้าพัฒนาพลังมากขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ก็ยิ่งใกล้จะแสดงผลได้เต็มร้อย
ด้วยพลังของเย่ว์หยางในปัจจุบันนี้ แม้ว่าพลังทั้งสามจะไม่ได้ใช้ออก แต่เขาก็แทบอยู่ในระดับเทพที่ไม่มีผู้ใดต่อต้านได้แล้ว
วู้วววว....
วิญญาณที่ทรงพลังถูกขับไล่ออกจากแก่นผลึกปีศาจ
และมันไม่เต็มใจและต่อต้านอย่างเต็มที่
แม้ด้วยพลังของเย่ว์หยางก็ไม่สามารถกำจัดได้
และด้วยกฎสวรรค์ประจำโลกนาฬิกาทรายก็ไม่ยอมให้จ้าวอัคคีปีศาจและภูตไหมฟ้าหนีไปได้
ไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็ตาม
อย่างน้อยก่อนที่ปณิธานของเย่ว์หยางจะแข็งแกร่งมากกว่าปณิธานของเทพโบราณ เป็นไปไม่ได้ที่จะขับไล่จ้าวอัคคีปีศาจออกไป ก็เหมือนกับที่เย่ว์หยางแม้จะทำทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อนำนางพญาเฟ่ยเหวินหลีอออกมาจากผนึกมิติหลุมดำ แน่นอนผนึกมิติหลุมดำยากยิ่งกว่า
ทั้งยังหาทางไม่ได้ เพราะไม่มีช่องโหว่ให้ทำอย่างนั้น
เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจ้าวอัคคีปีศาจจะไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้อีกต่อไป
เย่ว์หยางกักวิญญาณจ้าวอัคคีปีศาจไว้ในท้องของอสูรหุ่น
จากนั้นทิ้งอสูรหุ่นไว้ในทะเลสาบลึกผนึกไว้ในน้ำแข็งหมื่นปี
แม้ว่าในอนาคตจะมีพลังใดก็ตามที่สามารถทำลายน้ำแข็งและปลดปล่อยจ้าวอัคคีปีศาจซึ่งถูกกักไว้ในร่างอสูรหุ่น ในฐานะผู้สร้างและผู้ผนึก
เย่ว์หยางย่อมสามารถรู้ได้เป็นคนแรก บางทีต่อไปในอนาคต
เมื่อเย่ว์หยางเป็นนักสู้ระดับเทพ อาจไม่จำเป็นต้องใช้ผนึกนี้อีกต่อไปก็ได้
แต่ตอนนี้นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของเย่ว์หยาง
ร่างยักษ์ของจ้าวอัคคีปีศาจสร้างขึ้นจากแม็กมาภูเขาไฟได้เย็นลงกลายเป็นหิน
และนอนอย่างสงบอยู่ก้นทะเลสาบลึกลงไปหมื่นเมตร
ในใจกลางทะเลสาบเย่ว์หยางเขียนวงเวทอักษรรูนยักษ์ซึ่งคล้ายกับอักษรรูนเพลิง
แต่ทำให้ใช้พลังงานน้ำแทนที่จะใช้พลังไฟ
“งานเสร็จแล้วหรือ?”
เมื่อเย่ว์หยางผนึกจ้าวอัคคีปีศาจและกลับมายังผิวน้ำ แม่เสือสาวดูเหมือนทำได้ไม่เลว
และนางส่งผ้าเช็ดตัวให้เย่ว์หยางเช็ดตัวที่เปียกโชก หลังจากมองเห็นท่าทีงุ่มง่ามของเย่ว์หยางเวลาจับผ้าเช็ดตัว นางทำตัวเหมือนกับภรรยาผู้ขยันขันแข็ง
นางยิ้มให้เขา “ไม่มีพี่หวี่อยู่ด้วย ก็ไม่มีใครดูแลเจ้า แม้จะกล่าวว่าเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งของหอทงเทียน แต่ก็ยังเป็นตัวโง่งม...”
“ข้าให้โอกาสเจ้าฝึกฝนปรนนิบัติหรอกน่า” เย่ว์หยางหัวเราะ
“ใครจะสนเล่า!” แม่เสือสาวมองเขาอย่างเจ้าเล่ห์
แต่ยังไม่หยุดมือ
“ผลเป็นยังไงบ้าง?” เย่ว์หยางยินดีที่องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเหมือนกับกำลังบริการเจ้านายใหญ่ นางขยับเก้าอี้ให้เขาเอนตัวลง
“ข้าได้แค่ฆ่าค้างคาวไฟปีศาจ ส่วนเหยี่ยวเพลิงบินเร็วเกินไป
พอจ้าวอัคคีปีศาจพลาดท่ามันทรยศและหนีไปทันที
ข้าไม่สามารถไล่ตามได้ทัน
ฮุยไท่หลางยังยุ่งอยู่กับการกลืนเลเวียธาน
เสี่ยวเหวินหลีไล่ตามไปด้วยตนเอง”
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนช่วยเช็ดผมให้เย่ว์หยาง ถอดชุดและจัดชุดใหม่ให้เขา
ปกติเมื่อมีคนอื่นอยู่ใกล้ๆ นางจะไม่ใส่ใจเย่ว์หยาง เมื่ออยู่กันสองต่อสองตอนนี้
ทั้งสองกลายเป็นคู่รักกัน อย่างน้อยนางไม่แสดงความดุร้าย
แต่ทำตัวเป็นภรรยาที่นุ่มนวลเอาใจ
“แล้วปลาไหลมังกรไฟเล่า?”
เย่ว์หยางกังวลถึงอสูรสองตัว
หนึ่งเป็นเหยี่ยวเพลิงศักดิ์สิทธิ์มีปัญญาฉลาดและมีศักยภาพที่ไม่เลว ถ้าเย่ว์หยางไม่ต้องการปล่อยมันไป
เขาคงฆ่ามันไปตั้งแต่แรกแล้ว
ยังมีปลาไหลมังกรไฟ
พลังของปลาไหลมังกรไฟนี้ยังแข็งแกร่งมากกว่าเหยี่ยวเพลิง
ปลาไหลมังกรไฟเป็นอสูรธาตุไฟบริสุทธิ์ที่มีขนาดมหึมา มันไม่สามารถลงไปในน้ำได้
และมันไม่สามารถลอยตัวอยู่ในนานนัก การใช้งานมันจริงๆ จะมีข้อจำกัดมากมายโดยเฉพาะในเรื่องของภูมิประเทศ แตกต่างจากเหยี่ยวเพลิง ยกเว้นลงไปในน้ำ
ไม่มีที่ใดที่มันสู้ไม่ได้
ในแง่ของคุณค่าการฝึกฝนอสูรขนาดใหญ่เกินไปยังด้อยกว่าอสูรตัวเล็กกว่าเพราะว่ามันสามารถแปลงเป็นเซียนได้ในเวลาภายภาคหน้า
“ร่วงไปแล้ว เมื่อขุนพลเทพธิดาวายุจับหางของมันได้
มันก็ร่ว่งทันที”
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก้มตัวลงช่วยเช็ดตัวให้เย่ว์หยางต่อ
“ความภักดีของมันไม่มากนัก
เมื่ออสูรอื่นโจมตีเรามีแต่มันเท่านั้นที่รั้งอยู่หลังเพื่อน
คาดว่ามันไม่ใช่อสูรของจ้าวอัคคีปีศาจ
แต่ถูกผนึกไว้ด้วยกันกับจ้าวอัคคีปีศาจในทะเลเพลิงจึงต้องจำใจทำ
เย่ว์หยางมีความสุขมากที่เหยี่ยวเพลิงไม่ได้ถูกล่าสังหาร
มันเป็นอสูรที่ไม่เลว อย่างน้อยก็นับว่าไม่สูญเปล่า นอกจากร่มชี่หลัวสมบัติวิเศษแล้ว
ได้ปลาไหลมังกรไฟซึ่งนับว่าเป็นอสูรที่นับว่าไม่เลว
เมื่อองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนช่วยเปลี่ยนกางเกงให้เย่ว์หยาง
นางพบว่าบางส่วนของร่างกายเขาตั้งตรงราวกับหอกพร้อมทำการรบได้ทุกเมื่อ
นางอดหน้าแดงมิได้
นางหน้าแดงจนกลายเป็นแง่งอนขุ่นเคือง “เจ้าต้องการอะไร?
ในหัวของเจ้าคิดแต่เรื่องอะไรอยู่ทั้งวัน?”
นางยื่นมือออกมาตีเบาๆ
แต่พอสัมผัสเหมือนกับว่าเจ้าสิ่งนั้นจะร้อนและหดตัวลงอย่างรวดเร็ว เย่ว์หยางหัวเราะ
“นี่เป็นปฏิกิริยาธรรมชาติ ถ้ามีหญิงงามช่วยบริการเอาใจ
ไม่มีทางที่จะไม่ลุกขึ้นสู้ เพราะว่าชีวิตนี้มีความหวัง!”
เขาคว้ามือนางอย่างอุกอาจ และปล่อยให้นางสัมผัส
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนดิ้นรนขัดขืนเล็กน้อยในตอนแรก
และนางพบว่าสัมผัสสิ่งนั้นของเขาอย่างรวดเร็ว และรีบหดมือกลับราวกับว่ากลัวถูกงูกัด
หน้าของนางแดงจนถึงต้นคอ นางหันหน้าไปทางอื่นและพบว่าเสวี่ยอู๋เสียยังไม่กลับมา
นางรีบหันกลับมาและบอกกับเขา “ไม่มีใครอยู่ ไม่มีใครเห็นแล้ว มา..มาจูบกัน!”
นางตั้งใจจะไม่ให้ความลับแตก
เย่ว์หยางตะลึง
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนรู้ว่าตัวนางเองพลั้งปากพูดก็อายจึงรีบกระตุ้นอย่างแง่งอน
“นั่นเป็นการพนันกับแม่สาวหิมะ นางบอกว่าข้าไม่กล้าจูบ ข้าไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว”
“ข้าไม่รู้ตัวได้ยังไงกันนี่?”
เย่ว์หยางเสียใจที่เขาพลาดช่วงเวลาพิเศษไปได้อย่างไร
“เจ้ายังไม่รู้ตัวในเวลานั้น...”
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนรู้ว่าเขาเสียดายนางอดมีความรักที่อ่อนโยนมิได้
นางกอดเขาและจูบปากเขาอย่างนุ่มนวล “ความจริงข้าก็รู้สึกผิดที่หาเรื่องทะเลาะเจ้าอยู่เสมอ
แต่ใครให้เจ้ายั่วโมโหเล่า!
หลังจากจูบกับเจ้าครั้งนี้แล้วข้าจะไม่โกรธเจ้าแล้ว
และเจ้าต้องไม่ยั่วโมโหข้าด้วย!”
“งั้นจูบอีกครั้ง” เย่ว์หยางไม่มีทางพอใจแค่สถานะปัจจุบัน
“ไม่ได้, สาวหิมะกำลังกลับมา” องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนปฏิเสธและมองดูรอบๆ
อย่างกังวล
นางรีบจัดเสื้อผ้าให้เย่ว์หยางเพราะกลัวเสวี่ยอู๋เสียจะเห็นนางรับใช้เย่ว์หยาง
“นางยังไม่กลับมาในเวลาเร็วๆ...นี้
ข้ามีความรู้สึกว่านางยังต่อสู้ในที่ห่างไกลออกไป! เอ๋, นางกำลังไล่จับวาฬภูเขาไฟหรือนี่?”
เย่ว์หยางรีบกอดตัวนุ่มนิ่มของแม่เสือสาวและจูบปากนางอย่างดูดดื่ม
มือที่ซุกซนของเขาสอดเข้าไปในชุดของนาง
ถึงตอนนั้นแม่เสือสาวจับมือของเขาหอบหายใจ
“ไม่, นางจะกลับมาในอีกไม่ช้า ถ้าข้าปล่อยมือเจ้า
เจ้าอย่ามาถอดชุดของข้า... ตัวร้าย.. ข้ายอมให้เจ้ากอดนอนตอนกลางคืนได้ แต่กลางวันในที่อย่างนี้ ถ้าสาวหิมะเห็นเข้า
ข้าจะไม่มีหน้ามองผู้คนอีก
นุ่งผ้าเร็วเข้า นางจะกลับมาแล้ว โอวพระเจ้า นางกลับมาเร็วยิ่งนัก....
ในท้องฟ้าไกล มีประกายดวงดาวดวงหนึ่ง
ในชั่วกระพริบตา
ดาวดวงนั้นพุ่งลงข้างหน้าเย่ว์หยางและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน
เป็นเสวี่ยอู๋เสียกำลังยืนถือคัมภีร์แห่งสัจจะ
นางยิ้มขณะมองดูเย่ว์หยางกับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน คำว่าหน้าหนาไม่ต้องเอามาใช้กับเย่ว์หยาง
เพราะเขาไม่มีความรู้สึกผิดเสียใจอะไร
แต่ยังคงเป็นองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนที่หน้าแดงและรู้สึกเขินอาย
นางพูดด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย
“กลับมาแล้วหรือ, พ่อหนุ่มนี่เหมือนกับไก่แจ้ ทำเอาข้าแทบรอไม่ไหว สาวหิมะ! เจ้ามาก็ดีแล้ว!”
เสวี่ยอู๋เสียเดินเข้ามาหา จู่ๆ
นางก็ดึงมือขององค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและสูดดมกลิ่น
นางไม่พูด แค่ยิ้มให้องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน
แต่องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนหน้าแดง
นางพูดอย่างถือดี
“ก็เขามาเองนี่.....”
เย่ว์หยางยกมือทันที
“ใช่แล้ว, ข้าลงมือเอง, เดี๋ยวข้าพิสูจน์ให้ดูก็ได้!”
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนอายจนกลายเป็นโทสะ
นางย่ำเท้าของเย่ว์หยางและจับมือเขาส่งให้เสวี่ยอู๋เสีย “ข้าไม่ชอบให้ทำอย่างนี้สักหน่อย
เอ้า..เจ้าไปแต๊ะอั๋งสาวหิมะเองก็แล้วกัน!”
นางนึกว่าเสวี่ยอู๋เสียจะกลัวแล้วร้องกรี๊ดวิ่งหนีไป ใครจะคิดกันเล่าว่า
เสวี่ยอู๋เสียไม่มีสีหน้าที่ตื่นเต้นแต่อย่างใด
นางกลับยิ้มมากขึ้นและดึงมือเย่ว์หยางมาวางไว้ที่เนินอกของนาง และกดลงเบาๆ องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเมื่อเห็นเช่นนั้น
นางตกตะลึง นางไม่คิดว่าสาวหิมะจะกล้าขนาดนั้น
เย่ว์หยางมีความสุข แต่เขาไม่กล้าแสดงความสุขมากเกินไป
เขาก็แทบจะไม่เชื่อว่านี่เป็นความจริง
“ความจริง สองคนจะแอบทำอะไรกัน
ข้าไม่เห็นว่าต้องเป็นความลับอะไร
ข้าไม่อิจฉาอยู่แล้ว”
เสวี่ยอู๋เสียหยอกองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเสร็จ นางถอนหายใจทันที “ข้าไม่เคยคิดมาก่อน อย่างไรก็ตามหลังจากเผชิญหน้ากับจ้าวอัคคีปีศาจ
ข้ารู้สึกว่าขามีพลังระดับปราณราชันย์แล้ว
เป็นพลังปราณราชันย์แท้จริง มิน่าเล่าทั้งอสูรศักดิ์สิทธิ์
และอสูรเทพต่างเปลี่ยนร่างไปเป็นมนุษย์ได้ในที่สุด
กลับกลายเป็นว่าร่างมนุษย์เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งนัก”
“ความจริงร่างกายมนุษย์ดูเหมือนจะอ่อนแอที่สุด ไม่มีเขา
ไม่มีเขี้ยว ไม่มีกรงเล็บ ไม่มีเกล็ดไม่มีขนนก มีแต่แค่ปัญญา อย่างไรก็ตามเพราะปัญญานี้ทำให้สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอที่สุดในแรกเริ่ม
เติบโตก้าวหน้าจนได้รับพลังที่แข็งแกร่งที่แท้จริงในที่สุด การสูญเสียร่างมนุษย์
แต่ให้ท่านมีสุดยอดพลังที่แข็งแกร่ง ท่านก็ไม่มีทางใช้ออกมาได้เต็มร้อย... จ้าวอัคคีปีศาจ
เพราะช่วงเวลาหมื่นปีเขาไม่ตระหนักทักษะวิชาต่อสู้ที่เขาใช้มาตลอดชีวิต
วิธีสู้รบในรูปแบบต่างๆ ถูกใช้ออกมาในร่างมนุษย์ ได้สูญหายไปอย่างสิ้นเชิง” เย่ว์หยางสรุปให้ และเสวี่ยอู๋เสียถาม
“เจ้าคิดอย่างนี้ได้ยังไง?”
“ข้าจำได้ว่าวาฬภูเขาไฟที่เพิ่งถูกเรียกมานี้
มันมีขนาดและพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าขุนพลเทพธิดาวายุของข้า แต่มันพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวชและไม่มีพลังโจมตีตอบโต้ แม้ว่า ‘วายุ’ จะเอาชนะได้แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกสองสามวันถึงจะเอาชนะมันได้เด็ดขาด แต่วาฬภูเขาไฟไม่มีโอกาสกลับตัวได้
ในเงื้อมมือของเจ้ามันไม่มีโอกาสเช่นเดียวกับจ้าวอัคคีปีศาจ ถ้าวาฬภูเขาไฟและจ้าวอัคคีปีศาจมีร่างมนุษย์ในการต่อสู้ครั้งนี้ ข้าเกรงว่าคงจะไม่ง่ายขนาดนั้น”
เสวี่ยอู๋เสียสวมชุดนอกให้เย่ว์หยางและจัดคอเสื้อให้เขา “ศัตรูมีแต่จะแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต หากเราไม่สามารถเร่งกระบวนการฝึกฝนของเราจนเข้าสู่ระดับปราณราชันย์ ข้าเกรงว่าข้าเองอาจจะช่วยไม่ได้”
“ข้าคงคงจะย่างเข้าระดับปราณราชันย์แน่นอน ข้ามีลางสังหรณ์...”
ทักษะหกรับรู้ขององค์หญิงเชี่ยนชี่ยนมีสัมผัสที่หกรวมอยู่ด้วย นางรู้สึกว่านางและเสวี่ยอู๋เสียจะเข้าสู่ระดับปราณราชันย์ในไม่ช้า
เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าใครก่อน
18 ความคิดเห็น:
โธ่เย่ว์หยางได้แค่จูบองค์หญิงเชี่ยนชี่ยนเท่านั้นเอง..ส่วนเสวี่ยอู๋เสียหิมะได้จับโมนนนนด้วยยยย
บอกระดับพลังในเรื่องที่ครับ เริ่มงงเเล้ว
ใจจ้า
ขอยคุณครับ
เย่ว์หยางปราณราชันฟ้าระดับสาม ก่อนสู่กับเจ้าปีศาจอะนะ
งงกันไหมครับว่าทำไหมปราณของเย่หยางถึงมีพลังแค่นี้
รู้แบบปราณจะมีสามลักษณ์ครับ คือพื้นที่เก็บปราณ กับอัดแน่นของปราณ ส่วนสุดท้ายคือปราณราชันครับ
เย่ว์หยางอัดพลังจากระดับสิบให้เหลือระดับห้าแล้วตอนสำเร็จปราณราชันทำใหเยว์หยางทะลวงเข้าปราณฟ้าระดับหนึ่ง (ปราณราชันคือการเข้าใจในสัจจธรรมหรือรู้แบบของตัวเอง)
เยว์หยางทะลวงระดับสองหลังเข้าปราสาทเพราะพลังใกล้ทะลวงส่วนหลังจากได้รับพลังต้นไม้โลกพลังเยว์หยางทะลวงข้ามมาอีกหนึ่งระดับเต็มคือสามปลายๆ
รู้แค่นี้ครับ ส่วนเทียบระดับพลังกับฟ้าขั้นแปดก็ต้องบอกว่ายังห่างชั้นอยผู้ก้าวใหญ่ครับ เพราะตั้งแต่ฟ้าหกไปมันขึ้นอยากมาก(ส่วนปราณราชันก็ยังมีระดับของตะวเองด้วย)
+
ขอบคุณที่กรุณาอธิบายครับ แต่ก็ยังงงอยู่ดีครับผม 55
ขอบคุณครับ
ระดับพลังในเรื้อนี้จริงๆมีหลายระดับคับเริ่มแรกคือระดับเริ่มต้นคือ1-10คับจากนั้นเป็นปราณก่อกำเนิดหรือปราณดินคับจากนั้นก็เป็นปราณฟ้ามีอีกชื่อหรือปล่าวอันนี้ไม่แน่ใจคับจากนั้นจะเป็นปราณราชันที่ยกระดับจากปราฟ้าคับส่วนปรานราชันนั้นคืออะไรก้อ่านเอาจากคอมเม้นที่9ได้คับผมไม่รู้ว่าจะมีปราณจักรพัดิหรือปล่าวก่อนจะไประดับเทพแต่ที่แน่ๆคือมันมีระดับเทพโผล่มาแล้ว (คือจีอู๋ลี่นั่นแหละ)ขอเสริมทุกๆขั้นของปราณจะมีระดับตั้งแต่ 1-10 คับก่อนจะไประดับปราณให่
ระดับพลังในเรื้อนี้จริงๆมีหลายระดับคับเริ่มแรกคือระดับเริ่มต้นคือ1-10คับจากนั้นเป็นปราณก่อกำเนิดหรือปราณดินคับจากนั้นก็เป็นปราณฟ้ามีอีกชื่อหรือปล่าวอันนี้ไม่แน่ใจคับจากนั้นจะเป็นปราณราชันที่ยกระดับจากปราฟ้าคับส่วนปรานราชันนั้นคืออะไรก้อ่านเอาจากคอมเม้นที่9ได้คับผมไม่รู้ว่าจะมีปราณจักรพัดิหรือปล่าวก่อนจะไประดับเทพแต่ที่แน่ๆคือมันมีระดับเทพโผล่มาแล้ว (คือจีอู๋ลี่นั่นแหละ)ขอเสริมทุกๆขั้นของปราณจะมีระดับตั้งแต่ 1-10 คับก่อนจะไประดับปราณใหม่
ตอบ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณมากครับ
แสดงความคิดเห็น