วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 1037 เข้าด่านที่หก หุบเขาปีศาจ



ตอนที่  1037  เข้าด่านที่หก หุบเขาปีศาจ

จักรพรรดิหัวซิ่วรี่และจักรพรรดินีราตรีไม่สามารถไปมิติดินแดนทดสอบฝีมือกับเย่ว์หยางได้  อยู่ต่อหน้าทั้งสองคนนี้เย่ว์หยางยังคงเจ้าคารมคมคาย


สองคนนี้ไม่เหมือนกับจุ้ยมาวอี้หรือโล่วฮัว เขาไม่อาจใช้คำพูดกดดันได้

จะมากจะน้อยเขาต้องพูดไปตามขั้นตอน

เกี่ยวกับความรู้สึกถึงพลังในขอบเขตใหม่ของเขา พวกเขาพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ได้อย่างไม่มีปัญหา

จักรพรรดินีราตรีชื่นชมเย่ว์หยางที่ฉวยโอกาสหลอมรวมแกนพลังงานวงเวทรูนยักษ์ นั่นเป็นจุดสำคัญทำให้ศักยภาพของเย่ว์หยางเพิ่มขึ้นอีกครั้ง  จักรพรรดิหัวซิ่วรี่สนใจสาวยักษ์น้ำและช่วงเวลาที่เย่ว์หยางเสี่ยงเข้าไปที่ทางเข้าโบราณ  น่าเสียดายที่ทั้งสามพูดคุยรายละเอียดกันนาน แต่ไม่สามารถตัดสินได้ว่าสาวยักษ์น้ำผู้งดงามและใจดีนั้นเป็นเทพโบราณตนใด  แต่น่าจะตัดสินได้ว่าสร้อยจันทร์เสี้ยวที่นางมอบให้หลิวเย่เป็นสมบัติเดิมของเจ้าตำหนักน้ำคนก่อน  “ด้วยความแข็งแกร่งระดับปัจจุบันของเจ้า  การผ่านด่านที่หกหุบเขาปีศาจไม่ใช่เรื่องยากแน่นอน แต่ด่านที่เจ็ด หุบเขาแห่งชีวิต หุบเขามนุษย์คงไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นเป็นอุปสรรคที่ไม่สามารถฝืนทำให้สำเร็จได้”   จักรพรรดิเมื่อเห็นเย่ว์หยางจะไป เขาส่งเสียงพึมพำเบาๆ

 “ฝ่าบาทเคยไปมิติทดสอบฝีมือหรือไม่?”  เย่ว์หยางประหลาดใจ

 “ไม่, ข้าเพิ่งจะได้ยินคนพูด”  จักรพรรดิปฏิเสธ แต่เย่ว์หยางมั่นใจเต็มร้อยว่าจักรพรรดิเคยไปอย่างแน่นอน นอกจากนี้จะต้องผ่านไปถึงด่านที่เจ็ดหุบเขามนุษย์เป็นอย่างน้อย

 “ข้าเองก็อยากไปดู  แต่ช่วงนี้ไม่มีเวลา”  จักรพรรดินีราตรีพูดด้วยน้ำเสียงต่างจากจักรพรรดิหัวซิ่วรี่  นางไม่เคยไปมิติดินแดนทดสอบฝีมือแน่

ถ้าฝ่าบาทเคยไปมิติดินแดนทดสอบฝีมือ  นั่นก็ต้องก่อนหอทงเทียนถูกผนึกเส้นทางเชื่อมแดนสวรรค์ไม่ใช่หรือ

นั่นอย่างน้อยก็หกพันปีที่แล้ว

ถ้าถือตามตรรกะนี้ ปีนี้ฝ่าบาทจะอายุเท่าไหร่?

ฝ่าบาทจะแก่กว่าจักรพรรดิอวี้ในอดีตหรือไม่ นักสู้ผู้แข็งแกร่งที่สุดในช่วงต่อจากนางพญาเฟ่ยเหวินหลี แต่ก่อนจักรพรรดิอวี้ยังมีหรือไม่

เย่ว์หยางไม่กล้าคิดอีกต่อไป  เพราะถ้าคำตอบถูกเปิดเผยเขากลัวว่า  ความสัมพันธ์กับฝ่าบาทในอนาคตจะน่าอึดอัด  จะไม่เป็นแบบสบายๆ อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้อีกต่อไป  อาจจะสับสนเล็กน้อย แต่ว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้อะไรเลยคงจะดีกว่า

เขาอุ้มเด็กหญิงที่หลับปุ๋ยไม่รู้เรื่องราวอะไรกลับไปพบแม่สี่ และที่ประตูวัง จุ้ยมาวอี้ เด็กหญิงแพนด้าเข้ามาหาเงียบๆ

พวกนางรู้ว่าเย่ว์หยางตามหาสนทนากับฝ่าบาท นางจึงไม่กล้าเข้าไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า  แต่เป็นการยืนยันว่านางใส่ใจ

หลังจากกลับมาพบกันในวันต่อมา องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน โล่วฮัว อี้หนานและเย่ว์ปิงที่ฝึกอยู่โลกพฤกษาบันไดสวรรค์ ทราบข่าวก็รีบกลับมาสมทบทันที  พวกนางได้รับแจ้งข่าวว่าพวกเย่ว์หยางไปที่ทางเข้าโบราณพร้อมกับหลิวเย่  หลิวเย่ได้รับสร้อยจันทร์เสี้ยวของวิเศษชั้นเทพ  เย่ว์หวี่พี่สาวที่นุ่มนวลก็มาเช่นกัน ต่อมาเซี่ยอี ไห่หลาน ไป่ลู่ ลี่เยี่ยนและสาวใช้ลูกครึ่งเอลฟ์ออกเดินทางจากทะเลฝนดาวตกมายังวังเทียนหลัว

ปกติถ้าเย่ว์หยางไปหาประสบการณ์จะไม่พาสุ่ยอู๋เหินไปด้วย

ครั้งนี้ยกเว้นจริงๆ

เขาไปพบกับอู๋เหินที่สถาบันฉางชุนเถิงโดยเฉพาะเจาะจง

บางทีด่านที่หกหุบเขาปีศาจ อู๋เหินไม่จำเป็นต้องช่วย  แต่จากคำแนะนำของฝ่าบาทและนางพญาเฟ่ยเหวินหลี น้ำเสียงของพวกเขาบอกนางจะช่วยในด่านที่เจ็ดได้ดีกว่า

เขากล่าวอำลาแม่สี่ ลาจักรพรรดิหัวซิ่วลี่และจักรพรรดินีราตรี อำลาจุนอู๋โหย่ว อาจารย์จิ้งจอก ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ ฯลฯ  ผู้อาวุโสอื่นๆ  เป็นครั้งแรกที่เย่ว์หยางพาทุกคนไปยังมิติดินแดนทดสอบฝีมือด้วยกัน  ในเมืองลู่หลิว เย่ว์หยางและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไปรอพบราชันย์ปีศาจใต้และนางเซียนหงส์ฟ้าอยู่นาน

พวกนางมีประโยชน์อย่างมาก

ถ้าเสวี่ยอู๋เสียได้สติ  อย่างนั้นเย่ว์หยางคงไม่มีอะไรต้องเสียดาย... น่าเสียดายที่สาวหิมะยังคงอยู่ในภาวะจำศีล ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหลอมรวมกับประกายเทพได้เสร็จสมบูรณ์

 “ด่านที่หกหุบเขาปีศาจ เราไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป  แต่ในหุบเขาด่านที่หกนี้มีวิหารปีศาจฟ้าซ่อนอยู่  ข้างในมีจอมปีศาจไคเทียนเป็นยอดฝีมือยุคโบราณที่พิชิตแดนสวรรค์ซ่อนตัวอยู่ เรายังไม่สามารถทำความเข้าใจได้  เสี่ยวเหวินหลี อาหงส์ อาหมัน เจี้ยงอิง เว่ยหลาย (น้องตั๊กแตน) ตั่วตั่ว พวกเจ้าต้องเป็นกำลังหลักแสดงฝีมือ เราจะโค่นจอมปีศาจไคเทียนด้วยกัน!  เย่ว์หยางไม่ต้องการพาองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไปปะทะกับจอมปีศาจไคเทียนโดยตรง  ความแข็งแกร่งเป็นปัจจัยอย่างหนึ่ง  พวกนางเป็นผู้สำคัญที่สุด ถ้าตายในการต่อสู้ เป็นไปไม่ได้ที่จะคืนชีพ  จอมปีศาจไคเทียนแข็งแกร่งระดับไหน  เย่ว์หยางยังไม่เข้าใจ  เขาไม่ต้องการให้เกิดความเสียหายแก่ฝ่ายของเขา

 “อิคคาเล่า?”  เจี้ยงอิงช่างสังเกตและพบว่าเย่ว์หยางไม่ได้พูดถึงชื่ออิคคา

 “นาง, ข้าต้องการให้นางเอาชนะอุปสรรคในหุบเขาปีศาจ”  แผนของเย่ว์หยางก็คือให้อิคคาและสองพี่น้องอาเหยาอาหยูอยู่ในหุบเขาปีศาจพยายามเอาชนะอุปสรรคโดยมีภูตฟ้าปั่นป่วนคอยช่วยเป็นกำลังเสริม ถ้าเป็นไปได้เย่ว์หยางก็คิดจะเอาอาเหยาและอาหยูเข้าวิหารปีศาจฟ้าและใช้พลังอาวุธเทพร่างมนุษย์ต่อกรกับจอมปีศาจไคเทียน

เทียบกับหุบเขาปีศาจแล้ว สู้กับจอมปีศาจไคเทียนยากลำบากอย่างมิต้องสงสัย

ขณะที่พวกองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน เย่ว์หยางตัดสินใจไว้ให้พวกนางลงมือที่ด่านที่เจ็ดหุบเขามนุษย์ เพราะในเวลาที่กำหนดไว้นั้น เป็นไปได้ว่าเย่ว์หยางอาจได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับจอมปีศาจไคเทียน

เมื่อไปถึงด่านที่เจ็ดจะมีเงื่อนไขยอมให้กลุ่มขององค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนช่วยเขาได้มากขึ้น

ไม่ว่ายังไงก็ตาม จำเป็นต้องใช้พลังมากขึ้น

เพราะจีอู๋ลี่ยังอยู่ในสภาพที่ดีกว่า

เจ้าผู้นี้เป็นศัตรูที่แข็งแกร่งทรงพลังที่สุด!

หลังจากใช้เวลาพักในเมืองลู่หลิว เย่ว์หยางพาอสูรน้อยทงเทียน แมงป่องดาวฟ้า  อสูรเทาเถี้ย เด็กสาวยักษ์เสี่ยวเสี่ยวเอินไปด้วยกัน  เพราะมีฮุยไท่หลางรั้งอยู่ เมื่อสถานการณ์ในภูมิภาคสวรรค์ไม่สงบ เย่ว์หยางให้เย่คง เจ้าอ้วนไห่ และเสวี่ยทันหลางรั้งอยู่ ทั้งยังมีฮุยไท่หลางอยู่ด้วย ต่อให้พบเจอศัตรูแข็งแกร่งทรงพลังไม่คาดคิดก็น่าจะรักษาชีวิตรอดได้

น่าเสียดายที่จักรพรรดินีราตรีและจื้อจุนไม่สามารถเข้ามาในมิติแดนทดสอบฝีมือด้วยกัน  มิฉะนั้นเย่ว์หยางคงมีความเชื่อมั่นเต็มร้อยว่าสามารถฆ่าจอมปีศาจไคเทียน หรือจีอู๋ลี่ก็ได้

ช่างเถอะ  ปัญหาบางอย่างต้องก้าวข้ามให้ได้ นั่นจะทำให้เขาเติบโตอย่างแท้จริง

ก่อนออกเดินทาง เย่ว์หยางไม่ลืมเขียนจดหมายถึงหมิงเยี่ยกวง ทำนองเหมือนกับว่าเขียนจดหมายรักในยุคนี้ เย่ว์หยางเขียนโดยใช้อักขระรูนโบราณ  มีแต่อัจฉริยะทางภาษารูนเท่านั้นจึงจะอ่านได้  มิฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่นางจะได้เห็นจดหมายรักของเขา.. เหมือนกับตอนที่เขาออกมาจากด่านหุบเขาอสูร ด่านที่ห้าหลังจากผ่านไปหลายเดือน

ถ้าไม่รู้ว่าในอดีตหลายพันปีที่แล้วผู้ที่ทำสถิติผ่านด่านได้เร็วที่สุดก็คือนางพญาเฟ่ยเหวินหลีใช้เวลาอย่างน้อยหกเดือนกว่าจะผ่านไปถึงด่านที่เจ็ดได้  มิฉะนั้นเย่ว์หยางคงไม่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดขนาดนั้น จะให้กัปตันคุกหยุดจีอู๋ลี่หรือ? เรื่องแบบนี้คงไม่ตลก  จักรพรรดิแดนดินผู้นี้มีชื่อเสียงอยู่ในแดนสวรรค์ใต้ เขาแทบผูกขาดการขนส่งทั้งหมดในแดนสวรรค์ใต้  แต่เมื่อเทียบกับจีอู๋ลี่อัจฉริยะอันดับหนึ่งของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ และเป็นผู้สืบทอดของเจ้าตำหนักสูงสุดที่ดีที่สุด นับว่ายังด้อยกว่ามากมายนัก

เย่ว์หยางสงสัยว่าหนึ่งในหกของวิเศษในอดีต  อย่างน้อยเกราะวิเศษคงตกอยู่ในมือของจีอู๋ลี่และเทียนอี้อาจารย์ของเขา

จีอู๋ลี่เข้ามิติดินแดนทดสอบฝีมือเพื่อเอาชนะอุปสรรคแสวงหาคัมภีร์เทพ

เขาจะนำของวิเศษชิ้นที่สี่เกราะวิเศษติดตัวมาด้วยหรือไม่? ยากจะพูดจริงๆ!

หากจีอู๋ลี่ได้รับการยอมรับจากของวิเศษนี่แล้ว  ต่อให้เย่ว์หยางมีตราผนึกเทพจักรพรรดิอวี้และคทาเทพจักรพรรดิอวี้ รวมทั้งดาบเทพจักรพรรดิอวี้ขององค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน เขาอาจไม่สามารถสวมเกราะได้ จีอู๋ลี่มีพลังระดับกึ่งเทพแล้ว  “เลิกคิดเรื่องจีอู๋ลี่ไว้ชั่วคราวก่อน  สาวหิมะยังไม่ตื่นอีกทั้งคทาเทพจักรพรรดิอวี้ยังขาดหัวด้ามมังกรและมุกระดับเทพ”  เย่ว์หยางปล่อยวางความคิดที่น่าสนใจไว้ก่อน

 “ข้ายังหลอมรวมกับดาบเทพจักรพรรดิอวี้ได้ไม่สมบูรณ์เลย!  องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนรู้สึกหนักใจ เพราะหลิวเย่ได้สร้อยจันทร์เสี้ยวของวิเศษระดับเทพมาได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ หลังจากนางรู้นางหัวเสียมาก ทำไมนางไม่พบเทพเจ้าโบราณอย่างนี้บ้าง?  นางเองก็อดคิดไม่ได้เช่นกันว่าถ้าไม่ใช่เพราะจักรพรรดิอวี้ให้สิทธิ์ใช้ดาบเทพกับเฉพาะลูกหลาน ดาบเทพนี้คงตกอยู่ในมือของเย่ว์หยาง

 “แม่เสือสาว เจ้าไม่ต้องกังวลไป  ข้ามีเวลาพอจะช่วยเจ้า  ให้ข้าดู...”  เย่ว์หยางกลัวที่สุดว่าองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนจะไม่ยอมให้เขาช่วยนาง  ตอนนี้นางเห็นหลิวเย่ได้สร้อยจันทร์เสี้ยว เหมือนกับว่าจะช่วยเปลี่ยนทิฏฐิดื้อรั้นของนาง  ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นเรื่องที่ดี

 “ฮึ!  เจ้ายุ่งเรื่องสำคัญของเจ้าก่อนเถอะ!  องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนแค่นเสียงเบาๆ จากนั้นถือดาบกลับไปฝึกฝนหลอมรวมต่อ

นางชอบทะเลาะกับเขา

ที่สำคัญคือนางไม่เพียงแต่ไม่ล่าช้าเท่านั้น  แต่ยังจะสนับสนุนเขาได้เต็มที่

กล่าวคือ แม่เสือสาวปากหนัก จะให้ถูกใจนางคงไม่ใช่เรื่องง่าย  แต่ไม่จำเป็นต้องกังวลมากไป

เขากลับมาที่มิติดินแดนทดสอบฝีมือ ด่านที่หก หุบเขาปีศาจ

หลังจากเข้าหุบเขาปีศาจ  เย่ว์หยางเพียงแต่ให้อิคคานำทางคนเดียว

ที่นี่แตกต่างจากด่านที่ผ่านมาก่อนหน้านั้นหลายอย่าง  อย่างเช่นด่านที่ห้าหุบเขาอสูร ไม่ต้องมาเข้าที่ประตูหวนกำเนิด อย่างด่านที่สี่หุบเขาราคะทุกที่จะเต็มไปด้วยสิ่งที่หลอนประสาท ส่วนโลกหุบเขาปีศาจ ไม่มีสิ่งที่เย่ว์หยางเคยจินตนาการไว้ก่อน  ท้องฟ้าสีแดงเลือด พื้นมีแมกมาร้อน และกระดูกเต็มอยู่ทั่วทุกที่ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้คงอยู่จริงๆ

ทางเดินเขาหุบเขาปีศาจเหมือนทางเดินเข้าเมืองใหญ่ มีขนาดใหญ่โตมาก

มีความยาวเจ็ดแปดกิโลเมตรเป็นแนวโค้งสูงร้อยเมตร

ในตอนท้ายเป็นวังสีเขียวที่งดงาม

เย่ว์หยางก้าวเข้ามาก็พบโถงด้านหน้ามีโต๊ะทรายขนาดใหญ่ วางไว้เหนือดินในพื้นที่หุบเขาปีศาจ

เย่ว์หยางหยุดสังเกตโต๊ะทรายอย่างระมัดระวัง พบว่ากองกำลังทหารอยู่ในความดูแลของค่ายสองค่าย  ค่ายแรกคือพันธมิตรแห่งเทพ มีดาบเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นเครื่องหมาย  อีกค่ายหนึ่งพันธมิตรมารมีเคียวปีศาจโลหิตเป็นเรื่องหมาย  คนที่เอาชนะอุปสรรคขัดขวางใดๆ ได้จะต้องเข้าร่วมกับค่ายใหญ่สองค่าย ค่ายใดค่ายหนึ่ง  หากค่ายที่เข้าร่วมชนะในการรบแต่ครั้ง  และคะแนนตรงตามข้อกำหนดในการผ่านด่าน  จะถือว่าพวกเขาผ่านด่านได้สำเร็จ

ถ้ามองเพียงแต่ผิวเผิน การเอาชนะอุปสรรคด่านที่หกหุบเขาปีศาจนั้นง่ายกว่าการผ่านด่านที่สี่หุบเขาราคะและด่านที่ห้าหุบเขาอสูร

ความจริงกลับไม่มีผู้ท้าทายแข่งขันใดสามารถผ่านด่านหุบเขาปีศาจได้

ในด่านที่หก หุบเขาปีศาจนี้จะคล้ายกับด้านหน้าของด่านหุบเขาอสูร ต้องเอาชนะอุปสรรคด้วยตนเอง ไม่สามารถเริ่มสู้รบโดยตรงได้  แต่ไม่ต้องเลี้ยงอสูรศึกเหมือนอย่างหุบเขาอสูร ตราบใดที่กำหนดให้อสูรศึกเข้าร่วมกับหนึ่งในสองค่ายและตามล่าค่ายศัตรูเพื่อเก็บคะแนน และท่านอาจผ่านด่านได้สำเร็จ

สิ่งที่แตกต่างจากหุบเขาอสูรก็คือ อสูรที่ฝึกในหุบเขาอสูรมีโอกาสเกิดใหม่สามครั้ง  ถึงตายครั้งหนึ่งก็ยังไม่ถึงกับสิ้นหวัง

ในหุบเขาปีศาจ หากอสูรศึกตัวแทนออกรบตาย จะถูกหักคะแนน 100 คะแนนเป็นอย่างน้อย  อสูรศึกที่ไม่ใช่อสูรพิทักษ์จะไม่สามารถคืนชีพได้ตลอดไป  และต้องใช้อสูรอีกตนหนึ่งส่งมาเป็นตัวแทนต่อสู้  เย่ว์หยางมองดูเงื่อนไขการให้คะแนนหลั่งเหงื่อเยียบเย็น  เพราะเขาพบว่าการโจมตีเข่นฆ่าอสูรปราณฟ้าระดับห้าได้คะแนนสะสมหนึ่งคะแนน

หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือตราบเท่าที่ตายในการรบหนึ่งครั้ง  อย่างนั้นก็ต้องฆ่าศัตรูร้อยตนเพื่อลบล้างคะแนนติดลบ

ยิ่งกว่านั้น ในหุบเขาอสูร เจ้านายของอสูรอาจถูกโจมตีได้

สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือการฆ่าเจ้านายของอสูรไม่สามารถทำคะแนนสะสมได้  ต้องฆ่าอสูรศึกก่อน จากนั้นค่อยฆ่าเจ้านายของอสูรเพื่อกำจัดศัตรูให้หมดไป

 “เป็นยังไงบ้าง?  น่าสนใจมากใช่ไหม?”  เย่ว์หยางยิ้ม เขามองดูสีหน้าที่จริงจังของอิคคา

 “อืม!  อิคคาพยักหน้าจริงจัง  นางจะไม่มีทางประมาทศัตรู

 “จะร่วมกับกลุ่มไหน?  คนรักความเป็นธรรมและใจดีอย่างข้าย่อมเข้าร่วมกับค่ายมารเพื่อรับงานภายในอยู่แล้ว”  เย่ว์หยางเข้าลงทะเบียนในจุดลงทะเบียน

 “ต้องขออภัย เพราะหลายพันปีที่ผ่านมาคนเข้าร่วมค่ายมารมีมากเกินไป  ผู้เข้าแข่งขันหลายร้อยคนก่อนหน้าเจ้าต้องเลือกฝ่ายเทพ...”  คำตอบของอีกฝ่ายทำให้เย่ว์หยางพูดไม่ออก   ทำอย่างนั้นได้ด้วยหรือ? ก็แค่บอกมาว่าให้เลือกฝ่ายเทพก็จบไม่ใช่หรือ?

 “อย่างนั้นเลือกฝ่ายเป็นกลางได้ไหม?”  เย่ว์หยางพบว่ามีกองกำลังหลายแห่งที่อยู่ในพื้นที่เป็นกลาง

 “ถ้าเจ้ายินดีจะอยู่ในโลกนี้ตลอดไป”  คนท้องถิ่นระบุว่าเขาสามารถเลือกเป็นกลางได้

 “.....” เย่ว์หยางหลั่งเหงื่อเยียบเย็น  อยู่ที่นี่ตลอดไป?  นั่นก็เท่ากับตายไปแล้ว!

 “จะเลือกเป็นกลางไหม?”  ฝ่ายตรงข้ามถามอย่างไม่แน่ใจ

 “ไม่, เจ้าไม่เห็นหรือว่าอสูรศึกของข้าคือนางฟ้าสงคราม ก็ต้องเลือกพันธมิตรฝ่ายเทพนี้เป็นธรรมดา  ข้าเป็นคนดี มีคุณธรรม เป็นวีรบุรุษที่คอยพิทักษ์บุปผางาม!  ว่าแต่ขอถามหน่อย จีอู๋ลี่สหายของข้าเลือกค่ายไหน” เย่ว์หยางถาม

 “จีอู๋ลี่เป็นสหายเจ้าหรือ?  เจ้าคนชั่วร้ายบ้าคลั่งนั่นเลือกฝ่ายมาร  เขาฆ่าคนเหมือนผักเหมือนปลาทำให้หุบเขาปีศาจกลายเป็นแม่น้ำโลหิต  เขาออกไปจากหุบเขาเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว!  คนผู้นี้เมื่อได้ยินว่าเป็นสหายของจีอู๋ลี่  เขามองดูหน้าเย่ว์หยางราวกับเห็นฆาตกรหรือเพชฌฆาต

 “บัดซบ...”  เย่ว์หยางพูดไม่ออกอีกครั้ง จีอู๋ลี่เลือกค่ายมาร นี่เขายังสมควรเรียกพวกตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ว่าเป็นฝ่ายพิทักษ์คุณธรรมอีกหรือ?

3 ความคิดเห็น:

ulomzx กล่าวว่า...

เลือกฝ่ายธรรมะได้เจอศัตรูเก่าแน่นอน

manit กล่าวว่า...

ใจจ้ัา

chay กล่าวว่า...

ธรรมะ อธรรม แค่ตั้งชื่อ

แสดงความคิดเห็น