วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 1338 บัลลังก์เทพ

 

ตอนที่  1338  บัลลังก์เทพ

ชายชราก้าวกระโดดสั้นๆ

นั่งในตำแหน่งที่เหนือกว่า

 

ราวกับต้องการกำกับพื้นที่และอธิบายเรื่องบัลลังก์เทพให้เย่ว์หยางฟัง

“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่มีใครสอนเจ้าจริงๆ?  ไม่รู้เรื่องง่ายๆ แบบนี้ น่าสมเพชเสียเหลือเกิน เด็กที่ไม่มีใครสอนสั่งใครควบคุมก็เหมือนวัชพืชในถิ่นรกร้างนั่นแหละ  แบบนี้ไม่ดีเลย ถ้าข้าไม่รู้เรื่องนี้ก็คงเป็นตัวตลก!   ผู้เฒ่าส่ายหน้าถอนหายใจ  ความโกรธของเย่ว์หยางยังคงสะสมเหมือนภูเขาไฟ บัดซบ ไม่มีใครสอน ไม่มีใครควบคุมจะต้องไปสนใจทำไม?  ไม่ใช่ปีศาจเฒ่าอย่างท่านที่เอาแต่ซ่อนตัวไม่พบเห็นผู้คน ท่านเอาแต่ปลีกตัวไม่พบคนรุ่นหลัง  หอทงเทียนถูกข่มเหงรังแกทุกวันนี้ก็เพราะผู้ใหญ่ไร้สติอย่างพวกท่านนั่นแหละ

ถ้าปีศาจเฒ่าของหอทงเทียนอยู่ที่นั่นกันหมด จักรพรรดิอวี้ก็คงจะไม่ตาย

นางพญาเฟ่ยเหวินหลีคงไม่ต้องถูกผนึก

เป็นเพราะตัวพวกท่าน

ไม่จำเป็นต้องพยายามอย่างมากเพื่ออธิบายเรื่องบัลลังก์เทพก็ได้ เป็นตัวตลกที่นี่ต่อไปเถอะ

เย่ว์หยางยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ เขาอยากจะแปรพักตร์และลงมือซัดผู้อาวุโสให้ปลิวไปจนถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้านัก  จากนั้นค่อยสู้เสี่ยงตายกับเทียนอี้

“ไม่มีใครบอกเจ้า เป็นเรื่องปกติที่เจ้าจะไม่รู้  เพราะถ้าเจ้าไม่มีคุณสมบัติ คนทั่วไปจะไม่บอกกับเจ้า นี่คือความลับฟ้าเป็นความลับในความลับ ยิ่งกว่านั้นเด็กน้อยเจ้าค่อนข้างเป็นคนพิเศษ เติบโตมาเร็วมากเกินไปไม่สมเหตุผลเสียเลย เราไม่ได้นึกเลยว่าเจ้าจะมาได้ถึงนี่  อาจบางทีอาจารย์ของเจ้าไม่มีเวลาบอกเจ้า”  เมื่อชายชราเห็นท่าไม่ดี เจ้าเด็กน้อยนี่กำลังโกรธ เขารีบปลอบใจทันที

“ความลับในความลับหรือ?”  เย่ว์หยางได้ยินแล้วค่อยหายโกรธลงบ้าง

“ถ้ามันง่ายนัก อย่างนั้นข้าไม่จำเป็นต้องรู้แจ้งก็ได้ อาจารย์ผู้สอนเจ้าคือ....”  ผู้เฒ่ายินดีพอใจขณะลูบเคราสีขาว

“นี่, ข้าไม่มีอาจารย์ ข้าฝึกฝนด้วยตนเอง!  เย่ว์หยางไม่ใช่ว่าไม่มีครูบาอาจารย์ แต่เขารู้ว่า ที่ผู้เฒ่าพูดถึงนี้ ไม่ได้หมายถึงสุ่ยตงหลิวและเฟ่ยเหวินหลี แต่เป็นปีศาจเฒ่าที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของเขา

“เป็นไปไม่ได้”  ผู้เฒ่าส่ายหน้า และเขาไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าในโลกนี้จะมีคนที่ฝึกฝนมาด้วยตนเอง

“ท่านไม่เชื่อก็ช่างเถอะ”  มีประกายความคิดหนึ่งเกิดขึ้นในใจของเขา หรือว่าตาเฒ่านี้จะพูดถึงนักพรตเฒ่าที่เตะก้นเขากระเด็นข้ามมิติ? ไม่!  ถ้านักพรตเต๋าคุ้มกันเขาอยู่เบื้องหลัง แล้วทำไมถึงต้องมีเทพธิดากระบี่ฟ้า?  และผู้เฒ่านี้มาจากหอทงเทียน ส่วนนักพรตเต๋าน่าจะเป็นเผ่าบูรพา ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย!

มองผิวเผินเย่ว์หยางสงบอยู่ได้  แต่ความคิดของเขาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

เขาคาดว่าอาจารย์ที่ผู้เฒ่านี้กล่าวถึงก็คือนักรบของหอทงเทียนซึ่งซ่อนตัวอยู่ลึกและเป็นคนร่วมสมัยกับเขา

มิฉะนั้นเขาจะไม่ตั้งใจขนาดนั้น  เขาบอกว่าเขามีอาจารย์สอน และขณะเดียวกัน เขาไม่สงสัยว่าเขาไม่รู้ความลับเรื่องบัลลังก์เทพได้อย่างไร

ชายชราเริ่มเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่เมื่อมองดูสีหน้าของเย่ว์หยางไม่เหมือนล้อเล่น และปฏิเสธว่าไม่มีอาจารย์และเขาไม่มีอาจารย์ให้เคารพ รู้สึกว่าเจ้าเด็กนี้คงไม่ซุกซนขนาดนี้เขาอดตกใจไม่ได้  “เจ้าไม่มีอาจารย์จริงๆ หรือ? ฝึกฝนด้วยตนเอง?  เป็นแบบนี้ได้อย่างไร?”

เย่ว์หยางลูบผมอย่างเยือกเย็น  “โปรดอย่าแปลกใจนักเลย ท่านก็รู้ ท่านกำลังคุยกับอัจฉริยะไม่มีใครเทียบซึ่งไม่เคยมีมาก่อน”

หลังจากอึ้งอยู่สักพัก ชายชรากระโดดด้วยความตื่นเต้นทันทีและคว้าแขนเย่ว์หยาง “เด็กน้อย ข้าเห็นว่าเจ้ามีส่วนดี ให้ข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าดีกว่า   ตราบเท่าที่เราผู้เฒ่าสอนเจ้าไม่กี่ท่า เจ้าจะเอาตัวรอดได้ตลอดชีวิต  แม้ว่าเราผู้เฒ่าจะไม่ให้ความสนใจพิธีรีตองมากนัก แต่เจ้าก็ต้องคุกเข่าคำนับสามครั้ง  เด็กน้อย เจ้าต้องมาเป็นศิษย์ข้าด้วยความจริงใจ เราผู้เฒ่านอกจากจะรอเล่าเรื่องบัลลังก์เทพเท่านั้น แต่ยังรู้เรื่องความลับฟ้าอื่นๆ ด้วย แม้แต่วิชาตกปลา ข้าก็จะสอนเจ้าได้ เจ้าจะกลายเป็นยอดพรานเบ็ดที่มีชื่อเสียง!

เขาไม่พูดถึงเรื่องตกปลาก็แล้วไป แต่เมื่อเขาพูดกับเย่ว์หยางๆ โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

ตกปลาบ้าอะไร! 

สิ่งที่เขาอยากจับที่สุดไม่ใช่ปลา แต่เป็นสาวๆ   เจ้าต้องสอนเรื่องตกสาวๆ ให้กับข้า

“ขออภัย, ข้ายอมให้แต่สาวงามเท่านั้นเป็นอาจารย์!  ต่อให้ผู้อาวุโสจะหล่อแสนกำยำก็ตาม  แต่ก็ไม่ใช่สาวงาม ข้าขอโทษด้วย”  เย่ว์หยางปฏิเสธโดยไม่ลังเล ไม่ว่ายังไงก็ตาม เรื่องของเทพธิดากระบี่ฟ้าก็ต้องปกปิดไว้ เขาคงต้องตามหานักพรตเต๋าที่เตะเขาข้ามโลก  เขาเป็นผู้ทรงพลังมากกว่าอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องหาอาจารย์ใหม่

“เจ้าไม่เทิดทูนคนแก่หน้าตาหล่อเหลาหรือ? น่าเสียดายยิ่งนัก”  ชายชรารู้สึกอึดอัดใจอย่างหนัก เป็นเรื่องยากที่คิดจะรับศิษย์สักคนหนึ่ง  เด็กคนนี้ไม่ทราบปฏิเสธเขาได้อย่างไร แต่ยังนับว่าโชคดีที่มีวิสัยทัศน์มองออกว่าเขาหล่อ.....

“ผู้อาวุโสมีคุณธรรมเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้ปรุโปร่ง ก็ควรจะสนับสนุนอุดมการณ์ของข้า จริงไหม?”  เย่ว์หยางคำนับจรดพื้น

“แน่นอน แน่นอน!  ชายชราได้ยินแล้วยิ้มด้วยความยินดี

“ผู้อาวุโสมีความรู้และคงแก่เรียน แน่นอนว่าย่อมรู้จักเรื่องบัลลังก์เทพ ความลับในความลับที่มนุษย์ธรรมดาไม่รู้แน่นอน”  คุณชายสามทำการโน้มน้าวสะกดจิตเลียนแบบเจ้าอ้วนไห่ทันที

“ความลับฟ้าเรื่องบัลลังก์เทพเป็นความลับสำหรับคนธรรมดา  แต่สำหรับเราผู้เฒ่ามันเป็นเรื่องแสนง่าย!  ท่าทีของชายชราอ่อนลงเล็กน้อย

“ถ้าข้าและผู้เยาว์คนอื่นๆ สามารถได้ฟังคำสั่งสอนของผู้อาวุโสอย่างจริงจังได้ แม้ว่าข้าจะไม่สามารถเรียกผู้อาวุโสว่าอาจารย์ได้ เพราะอุดมการณ์ส่วนตัว แต่เชื่อได้ว่าในใจลึกๆ ของข้าแล้วนับถือท่านเหนือกว่าผู้อาวุโสคนใดๆ ทั้งหมด” คุณชายสามถอนหายใจ ดูเหมือนว่ากับว่าทำไมเขาต้องทำตามคำสาบานตัวเองเรื่องรับแต่เฉพาะสาวสวยเป็นอาจารย์เท่านั้น

“เรื่องเล็ก อุดมการณ์ของเด็กๆ ไม่ค่อยมีเหตุผล ที่สำคัญ ข้าเข้าใจว่าเจ้ายังดูอายุเยาว์มาก”  ชายชราใจอ่อนลงทันที

“ผู้อาวุโสยอดเยี่ยม ยิ่งใหญ่จริงๆ...”  คุณชายสามชูหัวแม่มือ

“ฮ่าฮ่า!  ผู้เฒ่าหัวเราะด้วยความลำพองใจ

“นอกจากชื่นชมแล้ว ข้าไม่สามารถหาคำอธิบายที่สองมาอธิบายอะไรได้ในตอนนี้”  คำเยินยอของคุณชายสามสามารถยอจนคนตายฟื้นได้ นับประสาอะไรกับชายชราที่สติไม่สมบูรณ์นี้  แต่นักปราชญ์ผู้มีสติสัมปชัญญะจะไม่ยอมรับระเบิดเคลือบด้วยน้ำตาลลูกนี้ไว้เด็ดขาด

“ดี ดีมาก ได้เห็นเด็กน้อยอย่างเจ้า ยิ่งมองเราผู้เฒ่าก็ยิ่งยินดี  ในวันนี้ข้าจะบอกความลับของบัลลังก์เทพให้เจ้า!  ชายชราดีใจจนหาทิศทางไม่พบเจอ

เย่ว์หยางเมื่อได้ยินก็รีบรับฟังด้วยความเคารพ

ประจบสอพลอทันที

แต่ชายชราก็มีพรสวรรค์และการเรียนรู้ที่แท้จริง  ถ้าไม่ใช่เพราะบุคลิกที่น่าสนใจเช่นนี้ เกรงว่าเจ้าตำหนักสูงสุดเทียนอี้แห่งภูเขากวงหมิงก็ไม่สามารถแก้นิสัยนี้ได้  ตอนนี้เย่ว์หยางสงสัยว่าทำไมเทียนอี้ถึงได้บ้าฝึกฝนยิ่งนัก?  เขาเกรงว่าชายชรานี้จะตื่นเต้นยิ่งนัก มีคู่แข่งที่น่ากลัววิ่งอยู่ในพื้นที่ นั่นเป็นเรื่องน่ากลัวเช่นกัน!

ชายชรากระแอมเสียงลูบเครา

เขาก้าวเดินไปตามบันไดเก่าแก่จนมาถึงหน้าเย่ว์หยาง เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าเด็กผู้นี้มีสมาธิเต็มร้อย จึงเริ่มเล่าเรื่อง “บัลลังก์เทพ ก็คือสถานะของเทพนั่นเอง!

“สถานะของเทพ?”  เย่ว์หยางเมื่อได้ยินก็รู้สึกสับสน มันคล้ายกันได้อยางไร

“ไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะเรียกว่าสถานะเทพ เพราะบัลลังก์เทพมีสถานะที่เหนือกว่าทั่วไป”  ชายชราชี้มือชี้ไม้ประกอบ  “ในความเป็นจริงบัลลังก์เทพใช้เพื่อกำหนดสถานะของเทพเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่ง เมื่อเจ้ามีบัลลังก์เทพ เจ้าก็ถือได้ว่าเป็นเทพที่แท้จริง ไม่สิ ขอโทษที งั้นเจ้าก็ไม่ทราบมาแต่ต้นสินะ”

“ไม่เข้าใจเลย”  เย่ว์หยางยิ่งสับสนมากกว่าเดิม

“เด็กน้อยผู้น่าสงสาร เจ้าไม่รู้เรื่องบนนี้เลยสักนิด!  ชายชราแสดงอาการสงสารเย่ว์หยางอยู่สามวินาทีด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วอึดอัด  การกระทำเช่นนี้แทบทำให้เด็กหนุ่มข้ามโลกอยากเอาหัวโขกเต้าหู้ตาย  โธ่เอ๊ย ใครจะไปรู้เรื่องราวของเทพ ตาเฒ่าเองก็มาจากบ้านนอกหอทงเทียนเหมือนกัน

“เทพนั้น ไม่ได้แบ่งเป็นเทพแท้ เทพเทียมหรอกหรือ?”  เย่ว์หยางพบว่าหนังสือประวัติศาสตร์เขียนไว้อย่างนี้ ไม่มีการพูดถึงบัลลังก์เทพ

“เทพเทียมยังนับว่าเป็น เทพด้วยหรือ?” ชายชราได้ยินแล้วมีความสุข  “เทพแท้ยังไม่ถือว่าเป็นเทพที่มีคุณสมบัติพอได้บัลลังก์เทพ พวกนี้เรียกกันเป็นเทพแท้เพราะความเข้าใจคลาดเคลื่อนของพวกในดินแดนชั้นล่างๆ ที่ถูกต้องมีแต่เทพที่ได้สถานะบัลลังก์เทพเท่านั้นจึงจะได้รับการยอมรับจากเบื้องบน  หากไม่มีการรับรู้เบื้องบน ไม่ได้รับการบันทึกจากเบื้องบน  เด็กอย่างเจ้าใครๆ ก็รู้ว่าเป็นพวกมาจากบ้านนอก  ไม่มีใครยอมรับ ไม่มีอาจารย์ ดังนั้นเจ้าจะถูกรังแกที่นี่ โดยไม่มีใครสนใจ...”

“มิน่าเล่าเบื้องหลังพวกอสูรที่เดินทางร่วมกับพระถังซัมจั๋งถึงมักถูกเล่นงานรังแก!  ในที่สุดเย่ว์หยางก็ตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้นทันที

บ้าจริงๆ

ความจริงก็คือจากเบื้องลึกแล้ว

คนที่ไม่มีใครคอยหนุนหลัง ล้วนเป็นบุคคลที่น่าอนาถ

เย่ว์หยางไม่ค่อยมีความคิดเรื่องนี้ เขาไม่อาจปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้  เขาต้องรีบเปลี่ยนแปลงโดยเร็ว  ดังนั้นเขารีบถามทันที  “อย่างนั้นทำอย่างไรข้าจึงจะได้บัลลังก์เทพ?”

เขาเริ่มคิดว่าเขาควรจะจ่ายค่าธรรมเนียมอะไรก่อนหรือไม่ มอบสิ่งของ ใส่ชื่อลงทะเบียน หรือว่าใบรับรองจากองค์กรที่มีชื่อในสังคม ใครจะรู้กันว่าพอตาเฒ่าเอ่ยปากก็ทำให้เขาผิดหวัง

ชายชราส่ายศีรษะและโบกมือ  “บัลลังก์เทพ ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะได้มาเองตามต้องการ จะต้องมีเงื่อนไขสามประการคือ ประการแรกเจ้าต้องมีพื้นฐานการฝึกฝนมาอย่างเพียงพอ หากไม่มีสิ่งนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้  ประการที่สองเจ้าต้องมีอาจารย์เพื่อประกันความสำเร็จบัลลังก์เทพให้เจ้า  เจ้าไม่สามารถประกันด้วยตนเองได้แม้ว่าเจ้าจะมีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง แต่เจ้าจะไม่มีทางเข้าถึงบัลลังก์เทพได้ด้วยตนเอง หากไม่มีประสบการณ์แสนแปดหมื่นปีเป็นอย่างต่ำ เจ้าไม่มีทางได้บัลลังก์เทพแม้เป็นอันดับที่ต่ำที่สุด  ประการที่สาม เป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด และก็เป็นจุดลำบากที่สุด เจ้าจะต้องตั้งจิตปณิธานที่สำคัญมาก นั่นคือด้วยพลังเทพทั้งหมดของเจ้า ทักษะแฝงเร้น กฎสวรรค์และส่วนประกอบอื่นๆ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จเป็นบัลลังก์เทพในปัจจุบัน กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือหลังจากบรรลุสถานะบัลลังก์เทพ เจ้าจะถูกจำกัดว่าเจ้าอยู่ในระดับใด ตำแหน่งใดซึ่งแทบจะคงที่ถาวรแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ   ไม่เข้าใจอีกหรือ? กล่าวอีกอย่างหนึ่งการฝึกฝนของเจ้าใกล้จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว และบัลลังก์เทพนี้คือจุดสิ้นสุดของการฝึกฝน”

“หลังจากสำเร็จบัลลังก์เทพแล้ว ข้าจะไม่สามารถฝึกฝนได้อีกหรือ?”  เย่ว์หยางตกใจ

“ใช่แล้ว, แต่ในทางทฤษฎีเป็นเช่นนี้ แต่คนที่มีความกระตือรือร้นยังคงฝึกฝนต่อไปก็มี  แต่จะมีความก้าวหน้าช้ามาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศักยภาพของพวกเขาหมดลง และไม่มีพลังจะเปลี่ยนแปลงได้มากพอ คาดว่าในช่วงเวลาหมื่นปีพวกเขาจะฝึกฝนได้ก้าวหน้าไม่เท่าใด” ชายชราพูดเห็นด้วย

“ในเมื่อข้าไม่สามารถก้าวหน้าในอนาคตได้ แล้วทำไมข้าจึงต้องสนใจบัลลังก์เทพนี้ด้วย หลังจากฝึกฝนสำเร็จแล้วค่อยมาสนใจบัลลังก์เทพก็ยังไม่สายเกินไป”  เย่ว์หยางเมื่อได้ยินว่าจะไม่สามารถฝึกฝนได้อีกต่อไป เขาอดรู้สึกต่อต้านเล็กน้อยไม่ได้

“บัลลังก์เทพไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการ เจ้านึกว่าบัลลังก์เทพเป็นหัวไชเท้าหรือ?”  ชายชราไม่พอใจ เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าเย่ว์หยางไม่มีความต้องการในตอนนี้

“ถ้าข้าสามารถทำได้ในตอนนี้ แล้วทำไมจึงไม่ใช่เรื่องดีเล่า?”  เย่ว์หยางยิ่งมึนงงสงสัย

“ตอนนี้ เพราะเจ้าเพิ่งได้รับการฝึกฝน เป็นเหมือนกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง ยังเป็นเรื่องง่ายที่อาจารย์จะช่วยให้เจ้าได้บัลลังก์เทพ  รอจนกระทั่งต่อจากนั้นเจ้าค่อยทำการแก้ไขในทุกๆ ด้านทั้งด้านดีด้านเลวรวมเข้าด้วยกัน บางทีเจ้าอาจไม่บรรลุ แม้ว่าเจ้าจะทำได้ก็ตาม  แต่ตอนนี้เจ้ายังทำได้ไม่ดีเท่า  นอกจากนี้หลังจากที่เจ้าได้บัลลังก์เทพแล้วพลังยิ่งใหญ่จะปรากฏขึ้นกับเจ้าเป็นอันมาก  มันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสะท้านสะเทือนโลกไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายก็ตาม เป็นเรื่องยากมากที่จะตัดสินใจในระยะหนึ่ง หากเจ้าทำอะไรที่ผิดเจตจำนงและกฎสวรรค์  เทพโบราณจะลงโทษเจ้า  ดังนั้นการจะได้บัลลังก์เทพก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก”  ในที่สุดเย่ว์หยางก็เข้าใจในคำพูดของชายชรา ตอนนี้บัลลังก์เทพก็คือขอบเขตขีดจำกัดของนักสู้ระดับเทพนั่นเอง

ความสำเร็จของการมาถึงจุดสิ้นสุดของการฝึกฝน วิธีการรับรองของเทพและการแสดงพลัง

ไม่มีสิ่งนี้

อย่างนั้นพวกแดนสวรรค์เหล่านี้ก็จะไม่ยอมรับ

และการได้มาซึ่งบัลลังก์เทพนี้ยากมาก ไม่ใช่หัวไชเท้าที่มีวางขายกันทั่วไป ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถทำได้  เย่ว์หยางลอบบ่นอยู่ในใจ  เบื้องหลังของเขาไม่มีใครอยู่เลย  นักพรตเต๋าก็ไม่รู้ว่าเป็นเทพตนใดหายไปไหนไม่รู้ แต่ยังโชคดีที่มีเทพธิดากระบี่ฟ้า  มิฉะนั้นเขาคงอยู่ในสถานะที่น่าอนาถ

“ตอนนี้ท่านคิดว่าข้าจะได้บัลลังก์เทพแบบไหน?”  เย่ว์หยางถามอย่างไม่แน่ใจ  หากไม่สามารถได้บัลลังก์เทพระดับต่ำสุดได้ อย่างนั้นก็เลิกพูดได้เลย เขาจะฝึกฝนอีกสักหมื่นปี!

“ข้าไม่รู้ นั่นขึ้นอยู่กับจุดดีด้านต่างๆ ที่เจ้ามี อย่างเช่นคัมภีร์อัญเชิญ พลังเทพและประกายเทพ ทักษะแฝงเร้นและกฎสวรรค์  เมื่อเจ้าใช้ผสมและคละกันแล้วเจ้าทำได้ดีมากขึ้น สถานะบัลลังก์เทพเจ้าจะสูงขึ้นแน่นอน บัลลังก์เทพของเจ้ายิ่งเจิดจ้าสว่างไสว  โอวใช่แล้ว ยิ่งเจ้าทำสิ่งต่างๆ มากขึ้นในระหว่างฝึกฝน  ความก้าวหน้าผลตอบแทนทั้งหมดของเจ้าก็จะมีมากยิ่งขึ้น ยิ่งเจ้าทุ่มเทสละออกไปมากเท่าไหร่ ทั้งที่ดีหรือไม่ดีทั้งหมดจะส่งผลต่อมาถึงบัลลังก์เทพของเจ้า”  ชายชราแนะนำอย่างไม่หยุดหย่อน

“ต้องทำเรื่องราวดีๆ ตอบแทนหรือ?”  เย่ว์หยางสะดุ้ง

“แน่นอน ถ้าเจ้าทำเรื่องดีๆ ไว้ นั่นคือการเปลี่ยนชะตาให้คนอื่น  อย่างนั้นเจ้าจะได้รับสนองในที่สุด เว้นแต่เจ้าสามารถควบคุมชะตาฝ่ายตรงข้ามได้  หรือปล่อยให้ชะตาของพวกเขารวมเข้ากับชะตาของเจ้าและปล่อยให้พวกเขาอยู่ในโลกของเจ้า ถ้าไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต้องทำอะไรเลย!  มิฉะนั้นใครๆ ก็ไม่ต้องมาทำอะไรให้เจ้า!  ถ้าเจ้าเป็นคนธรรมดาก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร  แต่ถ้าเจ้าเป็นเทพ เจ้าไม่มีทางเฉยอยู่ได้  ยิ่งไปกว่านั้นนี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่พวกเขากลายเป็นผู้ติดตามบริวารของเจ้าเพื่อแสดงความนับถือเทิดทูน  นอกจากนี้ยังสามารถให้พลังศรัทธาตอบแทนกับเจ้าช่วยเพิ่มสง่าราศีให้กับบัลลังก์เทพของเจ้า  การเลื่อนระดับในอนาคตขึ้นอยู่กับพวกเขาดังนั้นหากไม่มีพวกนี้ ก็ไม่สามารถทำได้”  คำพูดอธิบายของชายชราทำให้เย่ว์หยางพูดไม่ออก

โชคดี ที่เขาไม่ใช่คนตระหนี่ ไม่อย่างนั้นคงน่าปวดหัว

มิน่าเล่าที่ปีศาจเฒ่านี้ถึงได้ซ่อนตัวจากโลก และพวกเขาก็ยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่สนใจช่วยเหลือ  พวกเขาไม่สนใจเรื่องราวต่างๆ เลย ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่สนใจผู้เยาว์รุ่นหลัง และพวกเขากลัวจะมีปัญหาต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กเต็มเวลา

เย่ว์หยางครุ่นคิดสักพักก็คิดจะกลับไปถามเทพธิดากระบี่ฟ้า!

นอกจากนี้ยังเร็วเกินไปที่เขาจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเขาเข้าใจระดับเทพราชันย์ เขาไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในบัลลังก์เทพ!

หลังจากคิดดูอีกครั้งเย่ว์หยางสงสัยจริงๆ ว่าเทพธิดากระบี่ฟ้าแอบทำอะไรกับตัวเขาเองหรือไม่  อาจเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการนำไปสู่ความสำเร็จบัลลังก์เทพ  มิฉะนั้นนางคงจะไม่แทรกแซงการฝึกฝนหลายครั้ง เมื่อใดที่เป็นช่วงสำคัญที่สุดนางจะยืมมือช่วยเหลือลับๆ .... เมื่อคิดได้เช่นนั้นเย่ว์หยางค่อยรู้สึกเบาใจ ใช่แล้วฟ้าดินจะกว้างใหญ่ไพศาลแค่ไหนเขาไม่ต้องกังวลถึงเรื่องอื่นเลย แค่ฝึกฝนตามที่นางเตรียมไว้ให้

ทุกอย่างต้องมีนาง

ขณะที่บัลลังก์เทพก็ขาดไม่ได้เช่นกัน!

*** *** ***

7 ความคิดเห็น:

SatunG_NonG กล่าวว่า...

เฮียสาม มีทุกอย่าง 5555

blakaros กล่าวว่า...

พี่เย่ว์ขาดประสบการณ์แค่นั้น นอกนั้นมีเกือบครบละ

Sairys กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Apirak Panyakam กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

TarCom กล่าวว่า...

ตอนนี้เฉลยว่าทำไมต้องมีโน่นมีนี่มีนั่นแฮะ

BJ กล่าวว่า...

เอ็งมันแบ็คดี

Failz กล่าวว่า...

ขอบคุณ​คับ

แสดงความคิดเห็น