วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2561

Panlong เล่ม 12 เชื้อสายเทพ – ตอนที่ 25 ต้องไป


เล่ม 12 เชื้อสายเทพ – ตอนที่ 25 ต้องไป
ความรู้สึกว่าร่างแปลงนักรบเลือดมังกรที่ลินลี่ย์รู้สึกได้ก็คือ...พลัง! ความแข็งแกร่งไร้ที่สิ้นสุด!
 “วืดดด!” แค่ขยับหางมังกรก็เกิดเสียงหวีดหวิวแหวกอากาศ และขอบเกล็ดมังกรสีฟ้าทองสะท้อนประกายเยือกเย็น  แสงสีทองดูเหมือนมีดที่คม ถ้าเกล็ดเหล่านั้นถูกถอนออกมาจากร่างของเขา  บางทีอาจนำไปใช้ตัดแร่ที่มีค่าได้ง่าย

หยดเลือดทองที่เข้าไปในร่างของลินลี่ย์เปลี่ยนแปลงทุกส่วนของร่างเขา
เขาอดทนความเจ็บปวดอย่างที่สุด และเปล่งเสียงครางออกมาเบาๆ
ผ่านไปอีกนาน...
ในที่สุดการเปลี่ยนแปลงก็จบ
 “เฮ้อ”  ลินลี่ย์ระบายลมหายใจยาว  ขณะเดียวกันเขาสำรวจดูลักษณะร่างแปลงใหม่ของเขา  สีฟ้าเป็นสีหลักคลุมทับด้วยรัศมีแสงสีทอง  ร่างแปลงลินลี่ย์เปล่งกลิ่นอายโบราณเหมือนกับว่าเขาเป็นเทพอสูรโบราณ
 “ลินลี่ย์”  เดเลียที่อยู่ใกล้กระวนกระวายตลอดเวลา  ตอนนี้เมื่อเห็นว่าลินลี่ย์ไม่สั่นและส่งเสียงครวญครางต่อไป  นางรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
 “เดเลีย” เมื่อมองดูเดเลีย, ลินลี่ย์มีร่องรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า  ขณะเดียวกันลินลี่ย์สลายร่างแปลงนักรบเลือดมังกรทันที เพียงแต่ร่างแปลงของนักรบเลือดมังกรนี้แปลงโดยการระเบิดออกตรงๆ เสื้อผ้าบนร่างของเขาจึงขาดกระจายเป็นชิ้นไปหมด  เขาไม่มีผ้าสักชิ้นปิดบังตัว
โชคดีที่ปรากฏตัวตอนที่มีแต่เขากับเดเลียที่นี่
 “รีบแต่งตัวเถอะ”  เดเลียหัวเราะขณะที่ทำเสียงดุเขา
ลินลี่ย์ดึงชุดชั้นในและชั้นนอกออกมาจากแหวนมิติเก็บของ  ในฐานะนักรบเลือดมังกร เขามักจะสำรองชุดเตรียมไว้ในแหวนมิติเก็บสมบัติเสมอ  ลินลี่ย์แต่งตัวเสร็จจากนั้นนั่งข้างเดเลีย ทั้งสองอิงร่างเข้าหากันและเริ่มสนทนา
 “ลินลี่ย์, รู้สึกยังไงที่เข้าถึงระดับเทพ?”  เดเลียสงสัยมาก  ที่สำคัญนางยังหลอมรวมกับประกายศักดิ์สิทธิ์ยังไม่สำเร็จอย่างแท้จริง
 “กลายเป็นเทพน่ะหรือ?”
ลินลี่ย์ตกใจเล็กน้อย  แม้ว่าเขาจะกลายเป็นเทพ  ลินลี่ย์ก็ไม่รู้สึกว่าตัวเขาเองเปลี่ยนไปมากเลย  อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ที่เดเลียถามเขา  ลินลี่ย์ตรวจดูร่างของเขาเป็นอย่างเดียวและสัมผัสได้ว่ารอบๆ ตัวเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
 “ใช้ร่างแยกศักดิ์สิทธิ์จะชัดเจนกว่า”  ลินลี่ย์สลับกับอีกร่างหนึ่งของเขา
แน่นอน ด้วยร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ปัจจุบัน  ลินลี่ย์สามารถรู้สึกว่าการควบคุมที่เขามี คือเขาสามารถครอบคลุมพื้นที่โดยรอบ  นี่คืออำนาจบางอย่างที่ประกายเทพชั้นต้นส่งให้ลินลี่ย์  ลินลี่ย์รู้สึกว่า..ประกายเทพเป็นเสมือนใบรับรองแสดงพลังอำนาจว่ามีความเข้าใจพลังกฎธรรมชาติแน่นอน
ยิ่งประกายเทพมีพลังมาก ผู้นั้นก็จะได้รับอำนาจมากขึ้น
 “เจ้าสลับร่างอีกแล้วหรือ?”  เดเลียหัวเราะ  “ถ้า, ในการสู้รบ, หนึ่งในร่างเจ้าถูกทำลาย เจ้าสามารถใช้อีกร่างหนึ่งทำการต่อสู้ได้ต่อไปใช่ไหม?”
 “ใช่, ข้าทำเช่นนั้นได้  เพียงแต่ร่างแยกศักดิ์สิทธิ์จะได้รับผลมากขึ้นเมื่อใช้งานสัจธรรมแห่งความเร็ว”  ลินลี่ย์ถอนหายใจ
 “หือ?”  ตอนนี้ลินลี่ย์รู้สึกได้อีกอย่างหนึ่ง  กระแสพลังนุ่มนวลสีทองนับไม่ถ้วนไหลเข้าสู่โลกวิญญาณของเขาโดยตรง  แม้ว่าแต่ละกระแสจะเล็กน้อยนิดก็ตาม  แต่เมื่อรวมกันก็ยังเพิ่มพลังเป็นปริมาณมหาศาล
 “นี้คืออะไรกัน?”  ลินลี่ย์มึนงง
ลินลี่ย์ไม่เคยเห็นพลังงานแปลกประหลาดแบบนี้มาก่อน  แต่เมื่อเขามีปฏิสัมพันธ์กับสายพลังสีทองนับไม่ถ้วนนี้ ภายในใจของลินลี่ย์ เขาสามารถรู้สึกได้ถึงกระแสศรัทธาของคนแต่ละคน  ทุกๆ สายกระแสสีทองจะเป็นตัวแทนของคนๆ หนึ่ง
 “พลังศรัทธา!  ลินลี่ย์เข้าใจทันที
ลินลี่ย์ให้ความสนใจสายใยสีทองอย่างใกล้ชิดทันที  สายใยสีทองเหล่านั้นเข้าไปในโลกวิญญาณของลินลี่ย์โดยตรง  เพียงแต่เนื่องจากโลกวิญญาณนี้กว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุด จำนวนสายใยสีทองมากมายถือว่าคล้ายกับน้ำหยดเดียวในทะเลกว้างใหญ่  ลินลี่ย์ไม่ได้รู้สึกความเปลี่ยนแปลงอะไรเท่าไหร่ ขณะที่สายใยสีทองเข้าไปในจิตสำนึกของเขา
นอกจากนั่นคือความสามารถรับรู้ถึงผู้เลื่อมใสศรัทธาเหล่านั้น
 “ข้าได้ยินมากว่าพลังศรัทธาเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการฝึกฝน  แต่ทำไมข้าถึงไม่รู้สึกถึงมันได้เลย?”  ลินลี่ย์ยังคงสงสัย
แต่ทันทีหลังจากนั้น ลินลี่ย์ก็หัวเราะ  “ข้าเพิ่งจะเข้าถึงระดับเทพ และเพิ่งจะเริ่มรวบรวมพลังงานศรัทธา  อย่างไรก็ตาม พลังงานศรัทธาไม่มีหยุดนิ่งและคงที่  ตัวอย่างเช่น เทพสงครามได้สะสมพลังศรัทธามาเป็นหลายพันปี  ก็เหมือนอย่างมหาเทพ พวกเขาก็มีสาวกอยู่ในพิภพต่างๆ มากมาย  ใครจะรู้ว่าพลังงานศรัทธาที่พวกเขาสะสมไว้มีมากมายขนาดไหน?  มีแนวโน้มว่าหลังจากพลังศรัทธาสะสมไปได้ระยะหนึ่ง ก็รู้สึกถึงผลนี้ได้”
แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าพลังศรัทธาจะใช้ทำอะไรได้  แต่ลินลี่ย์มั่นใจว่าพลังศรัทธาจะเป็นประโยชน์ต่อตัวเขาแน่นอน
ที่สำคัญ แม้แต่พวกมหาเทพก็ยังต้องการพลังศรัทธา
 “ลินลี่ย์, เจ้ากำลังฝันถึงอะไรอยู่?”  เดเลียพูดขัดความคิดของลินลี่ย์
ลินลี่ย์รู้สึกตัว หลังจากนั้นลินลี่ย์อธิบายอย่างระมัดระวังถึงสิ่งที่เขารู้สึกได้  เดเลียตกใจ  “พลังศรัทธา?  แล้วพลังจิตของเจ้าสัมผัสได้ถึงพลังศรัทธาเมื่อใดกัน  มันปรากฏเป็นลักษณะสายใยสีทอง  ศรัทธาคือสิ่งไร้สาระ ไม่มีรูปลักษณ์ ทำไมจึงกลายเป็นว่าศรัทธามนุษย์ถึงสร้างพลังงานที่ไม่เหมือนใครนี้ได้เล่า?”
 “ข้าไม่แน่ใจ”  ลินลี่ย์หัวเราะ  “เดเลีย, ในช่วงสองสามวันนี้ ข้าตั้งใจจะออกไปข้างนอก”
 “ใช่แล้ว เจ้าถึงระดับเทพแล้ว ไม่จำเป็นต้องฝึกหนักอีกต่อไป” เดเลียพยักหน้า
 “ไม่เลย, เหตุผลที่ข้าจะออกไปข้างนอกเพราะข้าเตรียมจะไปฆ่าหรือออกไปสู้เสี่ยงชีวิตกับเทพ”  ลินลี่ย์มองดูเดเลียจริงจัง  แม้ว่าก่อนนี้เขาไม่ได้บอกเดเลียในตอนนั้น  แต่ตอนนี้ลินลี่ย์ไม่ต้องการจะปิดบังนางอีกต่อไป  ที่สำคัญ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ลินลี่ย์เองไม่มั่นใจเต็มที่ในความสามารถของเขาว่าจะเอาชนะเทพอีกฝ่ายได้
ที่สำคัญฝ่ายตรงข้ามก็เป็นเทพด้วย
 “อะไรนะ?!  เดเลียตกใจหนักนัยน์ตาเบิกกว้างทันที  “ลินลี่ย์!  เจ้ากำลังจะไปสู้กับเทพอย่างนั้นหรือ?  ใครกัน? เทพสงคราม? หรือมหาพรต?”  เดเลียทั้งกังวลและตกใจทันที ลินลี่ย์เพิ่งจะเป็นเทพเท่านั้น
อันตรายมากเกินไป
 “ไม่ใช่พวกเขา”
ลินลี่ย์เห็นสายตาของเดเลียแล้วรู้สึกผิดในใจ  ที่สำคัญการสู้รบกับเทพนี้  คงน่าประหลาดใจถ้าเขาชนะ  แต่ถ้าเขาแพ้... จะเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมต่อเดเลียหรือเปล่า?
 “อย่างนั้นเขาเป็นใคร?  ทำไมเจ้าต้องเข้าร่วมต่อสู้เสี่ยงตายเช่นนี้?”  เดเลียรีบพูด  “หรือว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้?”
ลินลี่ย์ระบายลมหายใจยาว  “ก็ได้, ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกความจริงกับเจ้า, เดเลีย”  ลินลี่ย์อธิบายสถานการณ์ของเยลให้นางฟังทั้งหมดทันที  เขาเริ่มเล่าตั้งแต่นิสัยที่ผิดปกติของเยลที่ซื้อเชลยสงครามของจักรวรรดิตลอดจนถึงเรื่องที่เยลใช้พิษเพื่อพยายามสังหารลินลี่ย์พร้อมทั้งข้อวิเคราะห์สถานการณ์ของซาสเลอร์
ถ้าเขาไม่ฆ่าเทพนั้น เยลจะเป็นหุ่นเชิดไปตลอดกาล!
นอกจากนี้ ในช่วงเวลานี้เทพนั้นยังอยู่ในช่วงบาดเจ็บหนัก และกำลังมีงานยุ่ง  ในช่วงอีกไม่กี่ปีเทพนั้นจะฟื้นฟูความแข็งแกร่งของเขา และเขาจะไม่สามารถหาโอกาสที่ดีแบบนี้ได้อีก
ที่สำคัญที่สุด....
เขาอาจเสียเวลาได้  แต่เยลทำไม่ได้
ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่เทพนั้นจะยอมเสียเยลไป?  ถ้าเยลตายไปจริงๆ บางทีลินลี่ย์คงตำหนิตัวเองไปตลอดชีวิตที่เหลือ
 “ลินลี่ย์”  หลังจากได้ฟังทุกอย่าง เดเลียต้องการพูดบางอย่าง  แต่นางไม่สามารถพูดได้
นางไม่ต้องการให้ลินลี่ย์เอาตนเองไปเสี่ยง  แต่นางเข้าใจนิสัยของลินลี่ย์ดี  ลินลี่ย์สามารถทำเพื่อประโยชน์นางได้ ทิ้งทุกอย่างรวมทั้งชีวิตของตนเอง  แต่เพื่อวอร์ตัน เยล เรย์โนลด์และคนอื่นๆ ลินลี่ย์ก็ทำได้เช่นกัน
 “เดเลียไม่ต้องห่วง  ข้ามีเหตุผลบางอย่างถึงได้มั่นใจ”  ลินลี่ย์กล่าว
 “เหตุผลอะไร?”  เดเลียถามทันที
นางหวังว่าลินลี่ย์สามารถอธิบายนางและให้คำตอบนางซึ่งจะช่วยให้นางสบายใจได้
 “พลังรบของคนผู้หนึ่งจะเกี่ยวพันกับความสามารถส่วนตัว อาวุธของพวกเขาก็เช่นกัน  เดเลีย, กระบี่เลือดม่วงของข้านี้น่าจะเป็นสมบัติเทพประเภทที่ทรงพลังมาก”  ลินลี่ย์อธิบาย  “นอกจากนี้, เดเลีย, เจ้าต้องจำไว้ว่าข้ามีสองร่าง ร่างเดิมของข้าและร่างแยก”
ลินลี่ย์โอบไหล่เดเลียและพูดจริงจัง  “เดเลีย, ข้ารับรองกับเจ้าได้ว่าถ้าร่างใดร่างหนึ่งของข้าถูกทำลาย  ข้าจะถอยแน่นอน”
เดเลียมีแววขมขื่นบนใบหน้า
นางเข้าใจว่าลินลี่ย์หมายความว่ายังไง  ความจริงการสูญเสียร่างใดร่างหนึ่งของลินลี่ย์จะส่งผลกระทบต่อเขาอย่างใหญ่หลวง  ถ้าร่างหลักของเขาถูกทำลาย  และวิญญาณเขาสลายไป  อย่างนั้น..ลินลี่ย์จะไม่สามารถฝึกกฎธรรมชาติอื่นได้อีก  เขาจะมีแต่เพียงร่างศักดิ์สิทธิ์ที่เชี่ยวชาญธาตุลมอย่างเดียว
แต่ถ้าร่างแยกศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลายและวิญญาณสูญสลายไป  อย่างนั้นมันจะสูญเสียไปตลอดกาล  และในอนาคตเขาจะไม่มีทางฝึกกฎธรรมชาติธาตุลมได้อีก  ต่อให้เขารู้แจ้งก็ตาม  เขาจะไม่มีทางได้รับความรู้ของจักรวาลได้อีก  และเขาจะไม่ได้รับประกายศักดิ์สิทธิ์อื่น
มองจากแววตาของลินลี่ย์  เดเลียบอกได้ว่าเขาตัดสินใจไว้แล้ว
 “ถ้าอย่างนั้นก็ได้”  เดเลียสูดหายใจลึก จ้องมองลินลี่ย์  “แต่ลินลี่ย์, เจ้าต้องสัญญากับข้านะว่าเจ้าจะต้องจำสิ่งที่เจ้าพูดกับข้าในวันนี้  ถ้าร่างใดร่างหนึ่งของเจ้าถูกทำลาย  เจ้าต้องยอมถอยทันที  เจ้าต้องไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องตายไป!  เจ้ายังมีสหายและสมาชิกครอบครัวอื่นอีกมาก นอกจากเยล!
ลินลี่ย์กับเดเลียมองตากัน
 “ข้าสัญญา”
ปราสาทเลือดมังกร ที่ห้องประชุมใหญ่
ตอนนี้มีคนมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่  ลินลี่ย์กลายเป็นเทพเป็นเรื่องที่สร้างความตื่นเต้นให้กับทุกคน  แต่เรื่องใหญ่ที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ.. เมื่อตกยามราตรีเขาลอบออกไปมุ่งหน้าสู่สาขาของหอการค้าดอว์สันเพื่อสู้ตายกับเทพตนนั้น
แต่แน่นอนว่ามีคนรู้เพียงไม่กี่คน
สองคนนั้นได้แก่วอร์ตันกับซาสเลอร์
พอถึงยามราตรี ทั้งสามคนเหาะขึ้นไปในอากาศเหนือปราสาทเลือดมังกร
 “พี่ใหญ่, ท่านจะต้องระวังตัวให้ดี”  วอร์ตันคัดค้านที่จะให้ลินลี่ย์ไปสู้กับเทพนั้น  แต่เขารู้อารมณ์ของลินลี่ย์ดี  ทั้งหมดที่เขาทำได้ก็คือพยายามขอให้ลินลี่ย์ระวังตัว  “พี่ใหญ่, อย่าลืมว่ายังมีอีกหลายคนในปราสาทเลือดมังกรรอท่านอยู่”
ลินลี่ย์พยักหน้าเล็กน้อย
ซาสเลอร์พูดอย่างจริงจัง  “ลอร์ดลินลี่ย์  เทพตนนี้ฝึกมาทางวิถีมรณะ และเขาจะต้องเชี่ยวชาญทักษะโจมตีทางวิญญาณเป็นที่สุด  ท่านต้องระวังให้ดี  จุดอ่อนของเขาควรจะเป็นเรื่องการสู้ระยะประชิด  ถ้าท่านสามารถเข้าไปสู้ใกล้ๆ เขาได้  โอกาสที่ท่านจะชนะได้ก็สูงมาก”
ทั้งซาสเลอร์และวอร์ตันกังวลมากจริงๆ
 “ไม่ต้องห่วง จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับข้า”  ลินลี่ย์เต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเอง
หลังจากยิ้มให้ทั้งสองคนแล้ว  ลินลี่ย์เริ่มบินไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ทันที  ในทันใดนั้นเขาหายลับไปในขอบฟ้า  ความเร็วของเขาสร้างความทึ่งให้กับทุกคน
 “แค่ตัดสินจากความเร็วของเขา  พี่ใหญ่น่าจะปลอดภัย”  ตอนนี้วอร์ตันรู้สึกมั่นใจขึ้นบ้าง
ลินลี่ย์ฝึกมาทางสัจธรรมแห่งความเร็วก็น่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านความเร็ว
……………..

ภายในห้องใต้ดินมืดมัว
ผู้วิเศษร่างผอมเหมือนกระดูกสวมชุดยาวดำคลุมร่างนั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น  ข้างหน้าเขาเป็นเป็นแก้วผลึกกลมเปล่งแสงสีเขียวต่อเนื่อง ฉายใส่ใบหน้าที่เยือกเย็นน่ากลัวของผู้วิเศษนั้น  แต่ขณะนั้นเอง “แอ๊ดดดด” ประตูห้องเปิดออก
มีอีกร่างสวมชุดดำยาวปรากฏตัวในห้องลับราวกับเทเลพอร์ตเข้ามา
 “เจ้าทำเสร็จหรือยัง?”  เสียงแหบแห้งดังมาจากปากคนผู้หนึ่ง
 “ก็เรื่อยๆ ท่านโบมอนท์”  เสียงหัวเราะแหบแห้งแสบแก้วหูดังขึ้นจากปากของผู้วิเศษ น่ากลัวขนาดที่เด็กร้องไห้งอแงหยุดร้องได้ทันที
ผู้มาใหม่แค่นเสียงเยือกเย็น  “เป็นเวลาหกปีเต็มแล้วตั้งแต่เราออกจากพิภพเกบาโดสมาถึงที่นี่  เจ้าควบคุมสามสมาคมการค้าใหญ่ของทวีปยูลานไว้หมด  ทาสที่เจ้าฆ่าก็มากกว่าสิบล้านแล้ว และคนใช้เจ้าก็ฆ่าคนไปมากมายเช่นกัน ข้าคิดว่าเจ้าควรจะกลั่นมุกชีวิตทองเสร็จได้แล้ว”
 “ฮืม.. ท่านโบมอนท์ ท่านคิดว่าการกลั่นวิญญาณเป็นงานง่ายนักหรือ?”  ผู้วิเศษพูดด้วยความโกรธขึ้นมาบ้าง  “ต่อให้เป็นเทพชั้นกลางก็ยังไม่สามารถกลั่นวิญญาณได้  วิญญาณเป็นสิ่งที่เปราะบางและละเอียดอ่อน  จะกลั่นให้บริสุทธิ์จำเป็นต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก  จะย่ามใจเพิ่มแม้แต่น้อยก็ไม่ได้”
ผู้มาใหม่ที่ลึกลับชำเลืองมองผู้วิเศษนั้น
หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง  “เจ้าควรจะรู้ว่าอารมณ์ของข้าเป็นยังไง  ข้าปกป้องเจ้ามาตลอดเวลาช่วงนี้  ถ้าไม่อย่างนั้นด้วยอาการบาดเจ็บที่เจ้ามี  เจ้าอาจถูกมูบาฆ่าไปนานแล้ว  ข้าให้เวลาเจ้าสามปี ถ้าถึงเวลานั้นเจ้ายังกลั่นมุกวิญญาณทองไม่เสร็จ อย่าได้โทษว่าข้าก็แล้วกัน”
 “สามปี, นั่นก็ได้แล้ว”  ผู้วิเศษไม่กังวลแม้แต่น้อย  เขาพูดอย่างใจเย็น  “ในอีกสามปีข้างหน้า ข้าหวังว่าท่านโบมอนท์จะมาช่วยข้ารั้งมูบาผู้นั้นไว้  เมื่อวิญญาณข้าฟื้นฟูเต็มที่  ข้าก็ไม่ต้องกลัวเขาอีกต่อไป”
บุรุษผู้ลึกลับชำเลืองมองผู้วิเศษและจากนั้นร่างของเขาหายไปจากในห้องฝึกเร้นลับ
พ่อมดผู้วิเศษมองดูโบมอนท์หายไป และลอบหัวเราะอย่างเยือกเย็นในใจ  “มุกวิญญาณทองน่ะหรือ?  แม้แต่คนชั้นต่ำน่ารังเกียจอย่างเขาก็ยังต้องการมุกวิญญาณทองด้วยหรือ?  ถ้าข้าไม่บาดเจ็บหนัก  ข้ายังจะกลัวเจ้าหรือ?  เจ้ารู้ไหมว่าข้ากลั่นมุกวิญญาณทองสำเร็จแล้ว แต่น่าเสียดาย ข้าจะไม่มีทางให้เจ้า”

6 ความคิดเห็น:

เนพื กล่าวว่า...

สร้างไว้ให้พระเอกใช้

Boybravo กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

WingF กล่าวว่า...

ตบบอสดอบของเทพใช้ สบาย

ท้องฟ้าจะมีความหมาย ถ้ามีคนแหงนมอง กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Anny กล่าวว่า...

สนุกมากกกกกก💗💗💗

สายลมโชย กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

แสดงความคิดเห็น