ตอนที่
928 จำพราก
โดยมีวิหารเป็นศูนย์กลาง ลำแสงลงทัณฑ์ทั้งสิบสายกระจัดกระจายสุ่มเป็นพื้นที่วงแหวนกินรัศมีสิบห้ากิโลเมตร
ขุนพลวิญญาณสิบสองอัศวินทุกคนมาถึงลำแสงลงทัณฑ์
ลำแสงไฟลุกโชนพุ่งไปจนถึงท้องฟ้าทำให้ดูไม่เด่นชัด
และเต็มไปด้วยเปลวไฟลามเลีย
แค่เปลวไฟหนึ่ง พวกเขาจะถูกกลืนไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน
ทั้งหมดไม่มีความลังเลใจกระโดดเข้าไปในลำแสงเพลิงพร้อมกัน
และในพริบตาร่างของพวกเขาหายเข้าไปในลำแสงเพลิงร้อนแรง
โซเฟียมองดูขณะที่พวกเขากระโดดเข้าไปในลำแสงเพลิงศักดิ์สิทธิ์
นางถอนหายใจจากจากนั้นนางก้าวเข้าไปในลำแสงเพลิงข้างหน้านางอย่างไม่ลังเลใจ ร่างของนางถูกเพลิงศักดิ์สิทธิ์กลืนหายไปทันที
นางไม่มีร่องรอยว่าจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ‘ข้ายังจะจำชาร์ลส์ได้ไหม? ข้ายังจะจำทุกคนได้ไหม?’
‘บางทีคงเป็นเรื่องดีกว่าที่ข้าไม่สามารถจำอะไรได้...’
แสงสุดท้ายเบื้องหลังนางหายไป
และนางจมอยู่ในโลกสีทองอย่างสิ้นเชิง เพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ลอยอยู่เปล่งรัศมีศักดิ์สิทธิ์ เพราะเหตุผลบางประการ
รัศมีศักดิ์สิทธิ์รู้สึกได้ถึงความใกล้ชิดและอบอุ่น
และร่างของนางต้องการสัมผัสเพลิงศักดิ์สิทธิ์ตามสัญชาตญาณ
และโถมเข้าหาอ้อมกอดที่อบอุ่นตามสัญชาติญาณ เหมือนกับว่าลึกลงไปในร่างนางมีเสียงที่กระซิบคุยกับนางอย่างอบอุ่น เสียงที่ดูเหมือนบอกนางว่าการไม่กล้าตัดสินใจและการสูญเสียโอกาสหาคำตอบ
และความเศร้าทั้งหมดของนางและความผิดหวังทั้งหมดของนางจะพบกับการไถ่ถอน
ตาของโซเฟียกระจ่างใสเหมือนน้ำ
ขณะที่นางสังเกตทะเลทองข้างหน้านาง
นางลอบถอนหายใจ
‘อดีตก็คืออดีต สิ่งที่ข้าสูญเสียก็สูญเสียไปแล้ว ยังจะมีอะไรต้องไถ่ถอนอีก? เหตุผลเดียวสำหรับข้าก็คือต้องอยู่ต่อไป’
นางโน้มตัวลงในทะเลเพลิงศักดิ์สิทธิ์ทอง
ในระยะไกลสายตาของประมุขผู้อาวุโสจับตามองโซเฟีย เมื่อเขาเห็นความลังเลและสงสัยของโซเฟีย เขาแค่นเสียง และอากาศรอบตัวของเขาเย็นลงทันที
เพียงแต่เมื่อโซเฟียกระโดดเข้าไปในลำแสงเพลิงเขาจึงหันกายจากมา
เขาเดินไปในวิหารที่ว่างเปล่าด้วยฝีเท้าที่มั่นคง ทุกๆ ก้าวของเขาหนักหน่วง เสียงกึกก้องสะท้านทำให้เขามีอารมณ์ลังเล
วิหารเปล่าในสายตาของเขาทำให้เขาคิดถึงชีวิตที่วุ่นวายในอนาคต
‘วิหารใหม่จะปกครองโลก
ไม่ว่าจะเป็นดาราจักรเซียนศักดิ์สิทธิ์หรือสวรรค์วิถี ทุกอย่างจะเป็นของวิหาร’
‘วิหารที่ทรงพลังมากเป็นประวัติการณ์จะเกิดจากเงื้อมมือของข้า ยุคใหม่จะต้องเกิดจากน้ำมือของข้า’
เขามีความเชื่อมั่น!
เพลิงทองมาหยุดอยู่ที่หน้าสุสานของชาร์ลส์
เขาจ้องมองป้ายสุสานขณะที่ความโศกเศร้าครอบคลุมบรรยากาศ
“น่าเสียดายที่เจ้าไม่สามารถเห็นยุคที่ยิ่งใหญ่นี้ได้
เสียงถอนหายใจดังออกมาจากเปลวเพลิง เป็นเพียงครั้งนี้เท่านั้น จากนั้นเสียงประมุขผู้อาวุโสดูชราภาพและโศกเศร้า
เขายืนอยู่หน้าสุสานเป็นเวลานานจนกระทั่งตกกลางคืน
แม้จะเป็นช่วงเวลากลางคืน
ทวีปเซียนก็ยังคงสว่างเหมือนกลางวัน
เพลิงศักดิ์สิทธิ์ยังลอยอยู่ในท้องฟ้าปลดปล่อยแสงทองศักดิ์สิทธิ์ขับไล่ความมืดมิด
ลมโชยพัดแผ่ว เปลวเพลิงแยกออกช้าๆ
และชายชราร่างบอบบางเดินออกมาจากเปลวเพลิง
ใบหน้าที่เฉยเมยเต็มไปด้วยแววโศกเศร้า
การปรากฏตัวของประมุขผู้อาวุโสที่เป็นความลับอยู่ในวิหารอยู่เสมอ
และคนสุดท้ายที่จะได้เห็นร่างแท้จริงของประมุขผู้อาวุโสก็เป็นเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อนนั้น
เมื่อตอนนั้นประมุขผู้อาวุโสยังคงเยาว์วัย
เมื่อเขาได้อำนาจ
เขาไม่เปิดเผยลักษณะของเขาอีกต่อไป
ร่างท่อนบนของเขาเป็นสีเทาโปร่งใส
และไม่มีใครเคยคาดว่าประมุขผู้อาวุโสผู้ถือครองอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในวิหารความจริงเป็นขุนพลวิญญาณ เขาลูบป้ายสุสานและถอนหายใจ “เด็กเอย, จงพักอย่างสงบเถิด”
เพียงแค่นั้นเขาหันกายจากออกมา
เพลิงศักดิ์สิทธิ์สีทองพลันคลุมร่างกายของเขาอีกครั้ง เขามุ่งหน้ากลับมาที่กลางวิหาร
ที่ซึ่งแท่นบูชาตั้งอยู่
สหายผู้ภักดีที่สุดของเขา คู่หูที่ซื่อสัตย์ที่สุดของเขา ผู้อาวุโสทัฟยืนรอเขาอยู่กับที่
เหมือนอย่างปกติ ผมของเขาหวีเรียบ
และชุดขาวของเขาสะอาดเรียบร้อย
ประมุขผู้อาวุโสมองดูสหายเก่าของเขา และหลังจากนั้นเป็นเวลานาน เขาพูดทันที “เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ก็ได้”
“ไม่เกี่ยวกับความจำเป็นหรือไม่”
ทัฟหัวเราะจากนั้นคำนับ
“ข้ายังมีชีวิตได้อีกไม่กี่ปี โปรดให้ข้าได้มีส่วนร่วมด้วยพลังน้อยนิดสุดท้ายนี่ด้วยเถอะ”
เสียงของประมุขผู้อาวุโสปนเปกับอารมณ์ตื้นตันเจือจาง “เจ้าสามารถกลายเป็นขุนพลวิญญาณ แม้ว่าความสามารถอาจไม่สูงนัก แต่อย่างน้อยเจ้าก็ยังมีโอกาสทำได้
เรายังจะอยู่ร่วมมือกันได้!”
“โปรดมอบเห็นแก่ข้าสักนิดเถิด” ทัฟยังคงสงบใจเย็น “ข้าไม่เคยขัดขืนคำสั่งของท่าน
ไม่ว่าจะต้องทุ่มเทขนาดไหน
ข้ามักจะยินรับทำ นั่นคือบาปและเลือดที่ชุ่มมือของข้า ข้าสูญเสียความกล้าที่จะอยู่ต่อไป”
“เราคือผู้มีความชอบธรรม! ทัฟ, เจ้าสงสัยงานของเราหรือ?
ตราบใดที่เราทำลายอุปสรรคได้ทั้งหมด
เราจะสามารถสร้างวิหารขึ้นใหม่ได้! เจ้าลืมคำสาบานที่เจ้าสาบานไว้เมื่อเรายังอายุน้อยไม่ได้หรือ? เจ้าบอกว่าเจ้าต้องการสู้เคียงข้างข้า! บัดนี้เจ้ากลับต้องการไปจากข้า?
หนี้เลือดอะไรกัน? บาปแบบไหนกัน?”
เปลวเพลิงเต้นอย่างร้อนแรง ประมุขผู้อาวุโสไม่พอใจตะโกนออกมา
ทัฟหัวเราะ
“นั่นคือเหตุผลที่ท่านเป็นประมุขผู้อาวุโส
และข้าก็คือทัฟ”
ความทรงจำในอดีตผุดขึ้นมาข้างหน้าเขา ทัฟรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ และเขาคำนับด้วยความจริงใจตามปกติ
“โปรดให้ทัฟได้ทำงานให้ท่านครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายด้วยเถิด”
ประมุขผู้อาวุโสยังคงเงียบ เพลิงหยุดนิ่งทันที และบรรยากาศกลายเป็นอึดอัด
“โปรดรักษาตัวด้วย
ทัฟจะไม่สามารถรับใช้เคียงข้างท่านต่อไปในอนาคตได้อีกแล้ว”
ทัฟยิ้มอย่างเป็นกันเอง เพลิงศักดิ์สิทธิ์ทองพุ่งออกจากร่างของเขาและกลืนร่างเขาเงียบๆ จากตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ
เขายังคงยิ้มไม่แสดงสีหน้าเจ็บปวด
เมื่อส่วนสุดท้ายของวิญญาณเขาถูกเพลิงกลืนลำแสงเพลิงก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ลำแสงนี้หนามากกว่าลำแสงอื่นๆ
และเพลิงศักดิ์สิทธิ์ก็แข็งแกร่งรุนแรงมากกว่า
“เจ้าขี้ขลาด! เจ้าคนอ่อนแอ! เจ้าสวะ...”
เปลวเพลิงสีทองเต้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง
ประมุขผู้อาวุโสระเบิดความโกรธด่าออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเขาด่าจบ
เหลือแต่เพียงเสียงคร่ำครวญจากเปลวไฟ
หลังจากนั้นเป็นเวลานานมีแต่เสียงเปลวเพลิงแตกปะทุสามารถได้ยินได้
ภายในเปลวเพลิงมีร่างเลือนรางร่างหนึ่งยืนอยู่มองดูลำแสงเพลิงที่หนารุนแรง
ทันใดนั้น
ประมุขผู้อาวุโสก้าวเดินเข้าไปในลำแสงเพลิงที่ร้อนแรงนั้น
“ทัฟ! ข้าทำถูก! ข้าจะสร้างวิหารขึ้นมาใหม่! ข้าจะผนวกรวมโลก! คอยดูเถอะ ทัฟ!”
ร่างที่ก้าวเข้าไปในลำแสงเพลิงหายไปโดยไม่ลังเล
มีแต่ความเดียวดายล่องลอยอยู่ในสายลม
*******************
เมืองหิมะ ในอากาศเหนือร้านค้าตระกูลเมซฟิลด์
การ์ดวิญญาณทองลอยอยู่ในอากาศสร้างเป็นพื้นที่วงแหวนทอง เหนือวงแหวนทองถังเทียนกางแขนออกเหมือนกับว่าจะโอบกอดท้องฟ้าไว้
การ์ดวิญญาณที่อยู่ด้านใต้เท้าเขาเปล่งแสงสีทองแพรวพรว
และฉายแสงทองท่วมร่างของถังเทียน
อากาศโดยรอบเริ่มเปลี่ยนไป ขณะที่อากาศเริ่มไหลอยู่อยู่รอบๆ วงแหวนทอง
และสร้างเป็นแผ่นจางๆ อยู่รอบวง
อาซิ่นและเสี่ยวม่านที่อยู่ข้างล่างเงยหน้าขึ้น
พวกเขาสงสัยว่าพวกเขาไม่เคยเห็นวิชาแบบนั้นมาก่อน
ทันใดนั้นแสงสีทองฉายเป็นเกล็ดระยิบระยับเหมือนกับหิมะทอง
ซึ่งดูเป็นภาพที่สวยงาม
อาซิ่นเหยียดมือออกไปเพื่อคว้าเกล็ดแสง
แต่เกล็ดแสงนี้ไหลออกจากมือของเขาร่วงลงพื้น เกล็ดแสงทองเหล่านี้ย้อมพื้นเป็นชั้นแสงสีทอง
เกล็ดแสงสีทองค่อยๆ ร่วงลงมามากขึ้น เสี่ยวม่านพูดขึ้น “มีลวดลายอยู่บนพื้น”
อาซิ่นก้มหน้ามองดู เป็นไปตามคาด แสงสีทองไม่ได้ราดอยู่บนพื้นอย่างสม่ำเสมอแต่กลายเป็นรูปแบบที่ซับซ้อนอยู่บนพื้น อาซิ่นมีท่าทีประหลาดใจ รูปแบบลวดลายบนพื้นให้ความคุ้นเคยต่อเขา
เหมือนกับว่าเขาเคยเห็นมาก่อน ความคุ้นเคยแปลกประหลาดนี้ผุดขึ้นมาในใจ แต่เมื่อเขาพิจารณาอย่างระมัดระวัง เขากลับจำไม่ได้
เขาข่มความประหลาดใจและความสงสัยในใจของเขา
และในขณะนั้น เสียงของถังเทียนดังขึ้น
“อาจจะเจ็บปวดชั่วขณะ
แต่พวกเจ้าจะต้องทน”
อาซิ่นรู้สึกได้ทันทีว่าถังเทียนแตกต่างไปจากปกติ นั่นยังคงเป็นเสียงของถังเทียน แต่กลับกลายเป็นสภาพเฉยชา พวกเขามีปฏิสัมพันธ์ต่อถังเทียนมานานแล้ว และมีความเข้าใจพื้นฐานร่วมกับเขา
และถังเทียนปกติจะค่อนข้างกระตือรือร้นมีชีวิตชีวา
อาซิ่นและเสี่ยวม่านมองหน้ากันเอง
และสังเกตเห็นความสงสัยและความประหลาดใจในสายตากันและกันได้
จากนั้นทั้งสองคุยกันเรื่องความแข็งแกร่งของถังเทียนเมื่อครั้งก่อน และพวกเขาคาดว่า ต่อให้พวกเขาร่วมมือกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ทั้งสองมีสติปัญญา
พฤติกรรมที่แตกต่างออกไปของถังเทียนหมายความว่าสถานการณ์ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นและภาระของถังเทียนจะหนักหน่วงมากขึ้น
นอกจากนี้ทั้งสองยังเคยเห็นการฝึนฝนประจำวันของถังเทียนแล้ว
พลังที่เขามีทำให้พวกเขาชื่นชมและนับถือเขา พวกเขาไม่เคยได้ยินถังเทียนบ่นว่าเหนื่อย และในใจพวกสเขา ถังเทียนคู่ควรแก่การเป็นผู้นำ
แต่เมื่อผู้นำบอกพวกเขาว่าอาจจะเจ็บปวดและขอให้เขาทนไว้
สีหน้าพวกเขาจะไม่เปลี่ยนไปได้ยังไง?
อาซิ่นกลืนน้ำลาย เขาต้องการถามว่าเจ็บปวดเพียงไหน
เสี่ยวม่านเป็นที่เถรตรงมากกว่า
นางคว้าดาบยักษ์ของนางและกำไว้แน่น
ความเร็วของผนังลมมากขึ้นทุกที
เป็นเหมือนกับวังวนขนาดยักษ์ที่สร้างแรงดูดขนาดมหาศาล
ดึงเอาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่อยู่รอบๆ เข้ามา ลายน้ำที่อยู่ด้านล่างใต้เท้าเขาระเบิดแสงออกมา และพวกเขารู้สึกเหมือนกับอยู่ในวังวนพลังสีทอง
โกอวี้ที่อยู่ด้านข้างๆ
และเงียบมาตลอดเวลาเงยหน้าทันที
หน้าของนางตกใจเหมือนกับว่ามองเห็นบางอย่างที่น่ากลัว
ในที่สุดอาซิ่นก็จำได้
และรู้จักรูปแบบลวดลายที่เขาคุ้นเคย
ในอดีต
ยังมีห้องพลังงานอยู่ในค่าย
เขาไม่เข้าใจว่าห้องพลังงานใช้งานเพื่อประโยชน์อะไร แต่เขารู้แล้วว่าสถานการณ์แปลกประหลาด เขาตะโกนทันที
“เฮ้ เฮ้ เฮ้
ข้าเป็นนายทหารคนหนึ่งนะ
เป็นนายทหารข้าเป็นนายทหารที่คอยให้คำแนะนำ พวกทหารผู้น้อยอย่าเพิ่งแซง...”
เขาร้องออกมาดังๆ แต่เสียงของเขาถูกเสียงโดยรอบกลบ
เพลิงศักดิ์สิทธิ์ถูกดึงเข้ามาในห่วงทองที่ถูกการ์ดวิญญาณชั้นทองสร้างขึ้น และกลายเป็นมีชีวิตชีวาทันใด ระดับการเต้นของเพลิงศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้น ในพื้นที่นี้
มีบางอย่างที่ดึงดูดพวกมัน
การ์ดวิญญาณทุกใบเปล่งรัศมีของขุนพลวิญญาณตนหนึ่ง
ขุนพลวิญญาณและเพลิงศักดิ์สิทธิ์เป็นผลผลิตที่ผสานกันแบบไม่เหมือนใคร ดังนั้นทั้งสองจึงเข้ากันได้ดีมาก
นั่นคือเหตุผลที่ประมุขผู้อาวุโสฝากความหวังของเขาไว้กับขุนพลวิญญาณ
ขณะที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์ผสานเข้ากับขุนพลวิญญาณโดยไม่มีการต่อต้าน
ขุนพลวิญญาณจากวิหารสามารถดูดซับเพลิงศักดิ์สิทธิ์ได้มากๆ
อย่างง่ายดาย
ขณะที่พวกเขามีความเข้ากันได้มากกว่า
และสามารถดูดซับได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไร ขุนพลวิญญาณจากวิหารทั้งหมดสร้างจากอัศวินกวงหมิง ซึ่งใช้เวลาเป็นสิบๆ
ปีฝึกกับเพลิงศักดิ์สิทธิ์
ดังนั้นเพลิงศักดิ์สิทธิ์จึงเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา หลังจากพวกเขาเปลี่ยนแปลงเป็นขุนพลวิญญาณ
ความสามารถนี้ก็ยังคงอยู่
แต่อาซิ่นและพวกแตกต่างออกไป สิ่งที่มีประโยชน์ต่ออาซิ่นและพวกเขาก็คือพลังงานกลวง
เนื่องจากมีกฎธรรมชาติเทียมอยู่ในเพลิงศักดิ์สิทธิ์ มันจึงเป็นพิษต่อพวกเขา ถ้าพวกเขายังฝืนดูดซับเพลิงศักดิ์สิทธิ์เข้าไป พวกเขาจะกลายเป็นขุนพลวิญญาณให้วิหาร
แต่ถังเทียนพบวิธีแล้ว
6 ความคิดเห็น:
ขโมยๆ กันง่ายๆเลย เฮียถัง ฮ่า
ขอบคุณครับ
12 ต่อ 100 รึ
ขอบคุณมากครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณมากค่ะ
แสดงความคิดเห็น