ตอนที่ 923 รับน้องใหม่และประเพณีดีงาม
หลังจากกำจัดตำแหน่งเจ้าเมืองจินหยางที่เจ็บปวดออกไปได้
และสมัครเป็นหน่วยคุ้มกันภัยชั่วคราว
ฟงจีรีบเข้ามาปฏิบัติหน้าที่อย่างรวดเร็ว
ก่อนอื่นเขาทำแผนที่เส้นทางเดินเรือ
แล้วส่งให้เปากู่เสนอให้เย่ว์หยาง
จากนั้นเขารีบกลับไปที่จวนเจ้าเมืองอย่างรวดเร็ว
และดึงเจ้ากิ้งก่าขายาวที่กำลังหิวโหยผอมโซจนเหลือแต่หนังติดกระดูกออกมา เจ้ากิ้งก่าขายาวนี้มีความภักดีที่ไม่เลว นอกจากนี้มีหลายครั้งที่ฟงจีได้อาหารมา
แม้ตัวเองแทบจะไม่พอกิน เขายังแบ่งอาหารให้มันกิน
มิฉะนั้นความหิวโหนยาวนานถึงสองสามเดือน ต่อให้เป็นอสูรอารมณ์ดีก็หนีได้เหมือนกัน
“เจ้าคิดจะใช้เจ้าอสูรตัวนี้ช่วยนำทางหรือ?” เจ้ากบอ้วนจั๊ดด์มองดูพลางหลั่งเหงื่อเยียบเย็นเมื่อคิดว่าเจ้าผู้นี้เป็นเจ้าเมืองที่ยากไร้ปานนั้นเชียวหรือ?
“มันเป็นอสูรบินชนิดไหน?”
เปากู่ยังคงรู้สึกว่าฟงจีอดีตเจ้าเมืองไร้ประโยชน์!
“อ่า..มันไม่ใช่อสูรบิน
แต่ข้ากล้าพูดได้เลยว่าตราบใดที่ท่านให้อาหารมันกินอิ่มท้อง
มันวิ่งได้เร็วกว่าบินเสียอีก!” คำพูดของฟงจีทำให้จงกวนหัวเราะจนน้ำตาไหล เป็นเจ้าเมืองที่โชคร้ายจริงๆ ในที่สุดเจ้ากบอ้วนจั๊ดด์พูดไม่ออก
เขาโบกมือให้คนจัดเตรียมอาหารให้ฟงจีและกิ้งก่าขายาว
เพราะฟงจีได้อาหารช้ากว่าเล็กน้อย
เขาไม่สนใจว่าคนรอบข้างจะมองยังไง เขากินเนื้อดิบร่วมกับกิ้งก่าขายาว
จั๊ดด์กับเปากู่หันหน้าไปทางอื่นไม่ต้องการมอง
ต่อให้เป็นปีศาจหิวโหยก็ยังไม่เป็นอย่างนี้...
เมื่อเห็นเนื้อดิบ ความจริงพ่อค้าเมืองจินหยาง ซาทงและโอโบ้ลอบทำน้ำลายหก
โชคดีที่เขาเจียมสถานะตนเองและควบคุมตนเองได้ดีกว่า บวกกับเขาไม่สามารถแสดงความหยิ่งยโสต่อหน้าคนชั้นสูงได้
พวกเขาต้องอดทนอย่างหนัก
ในที่สุด
รอจนเนื้อย่างวางอยู่บนโต๊ะอย่างยากลำบาก จากนั้นรอให้เปากู่เอ่ยปากเชิญ
ทุกคนจึงรีบวิ่งเข้าประตูมาทันที
ทุกคนใช้มือฉีกเนื้อไม่มีเวลาใช้อุปกรณ์นั่งโต๊ะ และไม่จำเป็นต้องปรุงใดๆ
ทั้งสิ้น แค่ฉีกอาหารและจับยัดเข้าปาก
ซาทง
โอโบ้และคนอื่นๆ ยังดูน่าเกลียดมากกว่าฟงจี ที่กินไปกลอกตาไป
หากไม่ใช่เพราะเขามีพลังระดับเตรียมปราณฟ้า คาดว่าฟงจีคงตายไปนานแล้ว
เจ้ากบอ้วนจั๊ดด์ไม่ใช่คนจนที่ไม่เคยเห็นคนอดอยากหิวโหย
ในป้อมสายฟ้ายุคก่อนที่คุณชายสามจะเข้ายึดเหมือง พวกทาสอดอยากตายเป็นร้อยไม่ใช่เรื่องแปลก
อย่างไรก็ตามในแดนสวรรค์ในตำนาน
แดนสวรรค์ที่มีนักสู้เตร็ดเตร่ไปมาทุกที่เหมือนสุนัขจรจัด แดนสวรรค์ที่ชาวหอทงเทียนหวังว่าจะได้ไป คาดไม่ถึงเลยว่าจะมีผู้หิวโหยอดอยากอย่างนี้ทำให้ผู้คนพูดไม่ออกจริงๆ
เจ้ากบจั๊ดด์กล้าพูดได้ว่าถ้าคนชั้นสูงในหอทงเทียนรู้ความจริงเรื่องนี้
คาดว่าต่อให้เอาช้างมาฉุดลาก พวกเขาก็คงไม่มาที่แดนสวรรค์
หลังกินอาหารมื้อใหญ่แล้ว
ฟงจีและอสูรกิ้งก่าขายาวพุงป่องราวกับสตรีมีครรภ์
อย่าว่าแต่เดินทางเลย
แค่พุงไม่แตกตายก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว!
“เราจะให้อสูรบินกับเจ้าตัวหนึ่ง!”
เปากู่ไม่ต้องการรอให้เจ้าผู้นี้พัก
เขารู้ดีว่าเวลาสำคัญต่อเย่ว์หยางเพียงไหน
“ไม่ ไม่ต้อง”
ฟงจีหยุดแคะฟันเนื่องจากเขาอิ่มแล้ว
เขาโบกมือปฏิเสธ
“ตอนนี้ไม่มีปัญหากับการเดินทาง ตราบใดที่ข้ากับมันอิ่มท้อง มันวิ่งได้เร็วกว่าอสูรบินเสียอีก!”
“เหลวไหล”
จงกวนพูดเบาๆ
“ให้มังกรบินเขาตัวหนึ่งและออกเดินทาง”
เจ้ากบจั๊ดด์ไม่อนุญาตให้ขัดคำสั่ง
แม้ว่าเย่ว์หยางจะไม่ถาม
แต่เจ้ากบอ้วนก็ไม่ยอมให้คนทำให้เขาต้องเสียเวลามีค่าไป
ต่อให้อสูรนี้วิ่งได้เร็ว แต่ก็เป็นการวิ่งบนพื้น
บนพื้นเป็นถนนขรุขระ
จะบินไปในท้องฟ้าได้ยังไง?
ถ้าเผชิญพบเจอภูเขาสูง
จากนั้นใช้เวลาวิ่งบนพื้นดิน จะต้องใช้เวลาเท่าไหร่กว่าจะไปถึงจุดหมาย
มีอสูรบินแต่ไม่ขี่
กลับไปใช้กิ้งก่าสี่ขา ไม่สิ เจ้ากิ้งก่านี้วิ่งด้วยสองขา...
วิ่งด้วยสองขาจะไวกว่าอสูรบินบนฟ้าหรือ?
ฟงจีเมื่อได้ยินแล้ว
เขามีสีหน้าอึดอัดใจทันที
พ่อบ้านซาทงผู้รู้ของเขายืนอธิบายอย่างกล้าหาญ “เจ้าเมืองฟงจี เอ๊ย! ผู้คุ้มกันฟงจี เขาเป็นโรคกลัวความสูง ถ้าเขาตกอยู่ในอันตรายแห่งชีวิต
เขาจะหลีกเลี่ยงการบิน
ไม่อย่างนั้นเขาไม่กล้าบินในระดับสูง
ทุกคนล้มตึงกับพื้น
นักรบระดับเตรียมปราณฟ้าไม่ยอมบิน
ช่างเถอะ
ว่าแต่มีคนกลัวความสูงด้วยหรือ?
ช่างทำให้พูดไม่ออกเลยจริงๆ
“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้านายจ้างงานเจ้าเป็นพิเศษ ข้าจะลากเจ้าไปฝังทั้งเป็น” จงกวนไม่เคยเห็นคนแบบนี้มาก่อนในชีวิต
ถ้าเป็นเพราะเหตุผลที่ร่างกายมีลักษณะพิเศษ
อย่างเช่นมนุษย์เพลิงไม่กล้าลงน้ำ และมนุษย์น้ำไม่กล้าไปยังภูมิภาคร้อน
นี่เป็นเรื่องพอเข้าใจได้
แต่เผ่ามนุษย์แมว
ไม่กล้าบิน นี่มันเรื่องอะไรกัน?
โชคดีที่เขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่บินได้อย่างมนุษย์เหยี่ยว
หรือมนุษย์เพลิง
มิฉะนั้นเจ้าเด็กนี่คงถูกจับโยนลงขยะไปตั้งแต่เกิดแล้ว
หลังจากได้ยินเรื่องนี้
เย่ว์หยางอดหัวเราะไม่ได้
แดนสวรรค์เป็นสถานที่น่าทึ่งจริงๆ
นักสู้ระดับเตรียมปราณฟ้ากลับบินไม่เป็น
ก็หมายความว่านักสู้ปราณก่อกำเนิดของหอทงเทียนบินไม่ได้
และกลัวความสูงจนเหงื่อตก! แน่นอนว่าในหอทงเทียน
เพราะพลังของนักรบไม่ได้มีมาตั้งแต่เกิด แต่ได้มาจากการฝึกปรือ ดังนั้นนักสู้ปราณก่อกำเนิดจึงบินได้แน่นอน...
นักสู้ปราณก่อกำเนิดของหอทงเทียนจะไม่มีการพูดเรื่องการกลัวความสูง
ไม่อย่างนั้นจะโดนดูถูก!
นอกจากนี้หลังจากเป็นนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับหก จะใช้ชีวิตอยู่ในอากาศก็ยังได้โดยไม่มีความต่างจากอยู่บนพื้นดิน
“จงกวนกับคนอื่นๆ
จงอยู่ช่วยเปากู่และจั๊ดด์ทำงานในเมืองจินหยางให้ดี จงให้ความสนใจที่แร่ดอกไฟฟ้า” เย่ว์หยางตัดสินใจไม่โดยสารเรือเหาะสำราญชั่วคราว แต่จะติดตามฟงจีเดินทางไปในภูมิภาคสวนสวรรค์
บางทีอาจได้ข้อมูลวัตถุประสงค์ที่บุรุษผมงูนัดพบที่นี่
จุ้ยมาวอี้และเย่ว์หวี่เข้าไปในโลกคัมภีร์ของเย่ว์หยาง
สาวมังกรแดนสวรรค์และเรือเหาะสำราญอยู่รอที่เมืองจินหยางชั่วเวลาหนึ่ง
ขณะที่เจ้ากบจั๊ดด์คงวุ่นวายกับงาน
เย่ว์หยางและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนปรากฏตัวในชุดเกราะแพลตตินัมที่ออกแบบเหมือนกัน
พวกเขาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าฟงจี พอพวกเขาเห็นชุดของคนทั้งสองแทบจะเหมือนกัน ซาทงและโอโบ้ตกตะลึง แม้แต่ฟงจีผู้มีสายตาไม่เลวก็ยังคาดไม่ถึง “โปรดอภัยที่ข้าเสียมารยาท
ท่านใดคือนายท่านไตตัน?”
เจ้ากบจั๊ดด์โกรธทันที “ข้าสงสัยว่าเจ้าตาบอดหรือเปล่า
นายท่านไตตันอยู่ข้างๆ องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน
แม้แต่องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก็เป็นผู้กล้าหาญที่สุดในโลก
เจ้ารู้เรื่องการสำรวจเส้นทางได้ยังไง?
แมงป่องยังแข็งแกร่งมากกว่าเจ้าเสียอีก”
ความจริงเรื่องนี้ไม่สมควรตำหนิฟงจี
เพราะเขาไม่รู้จักสถานะของบุรุษและสตรีคู่นี้
ในสนามพลังของเย่ว์หยางไม่มีใครสามารถมองเห็นความจริง องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนเป็นชุดได้เป็นร้อยและชุดของเย่ว์หยางเหมือนกัน
นั่นเป็นภาพลวงตา เว้นแต่จะไขปริศนาลึกลับของประตูเป็นตายได้
หรือมีพลังระดับเทพปราณราชันย์ มิฉะนั้นใครจะมองเห็นได้?
เจ้ากบจั๊ดด์ก็มองเห็นภายใต้การควบคุมของเย่ว์หยาง ฟงจีและพวกมองเห็นแตกต่าง แม้แต่ฟงจีและซาทงก็มองเห็นไม่เหมือนกัน
ฟงจีถูกจั๊ดด์ตำหนิเขารู้สึกอายทันที
แต่เขาคิดว่าดูเหมือนนายใหญ่ไตตันและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนพลังจะอ่อนแอเล็กน้อย
เขาคิดว่าพวกเขามีพลังระดับเดียวกับราชา
เพราะผู้คุ้มกันมีพลังปราณฟ้าระดับสาม
เขาจะมีพลังปราณฟ้าระดับสี่ได้อย่างไร?
เขาไม่คิดเหมือนสิ่งที่เห็น
ดูเหมือนว่าเขาอยากใช้พลังอย่างนี้ช่วยให้ผ่านบึงหยุดลมไปให้ได้ แต่นั่นเป็นภารกิจที่เป็นไปได้ยากที่จะบรรลุ
แน่นอนว่านายใหญ่ไตตันและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนอาจจะปิดบังซ่อนเร้นพลังเอาไว้
พวกเขายืนอยู่ด้วยกันให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาด ดูเหมือนจะทรงพลังและดูเหมือนจะอ่อนแอมาก
ยากจะตัดสินได้
ฟงจีตัดสินใจรับรู้ด้วยตนเอง
มิฉะนั้นเมื่อเข้าในบึงหยุดแล้วแล้วค่อยเสียใจ
ก็สายเกินการณ์แล้ว
ถอนตัวจากบึงหยุดลมตอนนี้ดีกว่า
และก็เหมือนกับนายใหญ่ไตตันและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน ถ้าเขาโชคร้ายนำทาง
เขาเกรงว่าไม่เพียงแต่ตัวเขาเอง แต่ยังลามไปถึงเมืองจินหยาง พลเมืองชาวจินหยางอาจถูกกำจัดและกลบฝังก็ได้...
ฟงจีคิดดูแล้ว เขายกมือทำความเคารพเย่ว์หยางและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนอย่างกล้าหาญ
“ในเมื่อนายท่านและองค์หญิงมอบหมายภารกิจให้ข้านำทาง
ข้าก็ต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของท่าน
ก่อนจะเข้าไปในบึงหยุดลม
ข้าหวังว่านายท่านและองค์หญิงช่วยแสดงฝีมือบ้างสักเล็กน้อย มิฉะนั้นเมื่อหลงอยู่ในบึงหยุดลม
จะไม่มีใครสามารถช่วยได้
และมีโอกาสจบชีวิ.....”
“เจ้าต้องการทดสอบฝีมือนายท่านหรือ?” จงกวนรู้สึกทันทีว่าเจ้าผู้นี้บ้าไปแล้ว
ถ้าไม่บ้าเขาจะโยนตำแหน่งเจ้าเมืองทิ้งและมาเป็นผู้คุ้มกันได้อย่างไร? เขาจะทำอะไรได้?
“ก็แค่หาที่ตาย!” เฮยถูและไป๋หม่าโกรธจัด ขณะที่ฮัวปันกับเฟยหวงสบถด่าไปแล้ว
คุณชายสามมีศักดิ์ฐานะระดับไหน เขาสงสัยได้ยังไง
ทำตัวเป็นสายลับและไม่ซื่อตรงในที่สุด แต่ก็ยังสงสัยพลังของคุณชายสามอีกหรือ? ถ้าคุณชายสามแข็งแกร่งไม่พอ
เขาจะยอมทิ้งหน่วยคุ้มกันทั้งหมด
ตนเองกับองค์หญิงเข้าไปในบึงหยุดลมด้วยตนเองหรือ? เมื่อเขาตัดสินใจเช่นนี้
ก็หมายความว่าเขาพูดว่ามีความมั่นใจพอ และเจ้าฟงจีนี้กลับไม่เชื่อมั่น
เจ้าผู้นี้โง่ยากเกินเยียวยาจริงๆ!
เย่ว์หยางโบกมือให้ฮัวปันและเฟยหวงถอยไป
เขาตั้งท่าส่งสัญญาณ “มา ดูข้าตั้งท่าหมัด
ดูซิว่าเจ้าสามารถประเมินพลังของข้าได้ไหม!” ฟงจีรู้ว่ายากจะทำเช่นนั้น แต่ไม่ว่าจะแย่ยังไงก็ตาม
แต่ก็ยังดีกว่าตายในบึงหยุดลม เขาขบกรามเร่งเร้าพลัง
และแน่นอนว่าเขาไม่กล้าเร่งเร้าพลังจนถึงที่สุด เขางำพลังไว้สามส่วน
เพื่อไม่ให้เป็นการทำลายศักดิ์ศรีอีกฝ่าย
เขาไม่รู้ว่านายใหญ่ไตตันมีศักดิ์ศรีขนาดไหน
หลังจากได้รับการกระตุ้นเตือนจากเย่ว์หยาง เขาปล่อยหมัดใส่เย่ว์หยางทันที
หมัดไปครึ่งทาง
ทันใดนั้นก็เปลี่ยนวิถีไปที่องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนไม่ได้ให้ความสนใจเขามากนัก
แต่ตอนนี้นางสังเกตเห็นท่าทางของเจ้าแมวขโมย บางครั้งการสังเกตไม่ใช่เรื่องดี แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีไม่ใช่เรื่องแย่อย่างแน่นอน
นางเหยียดหัวแม่มือรับหมัดที่ใช้พลังเจ็ดส่วนของฟงจีอย่างสบายๆ
ตอนแรกนางคิดว่าพลังของนางแทบเป็นระดับเดียวกับฟงจี
และนางตกใจนิ่งอยู่กับที่ ขณะที่ซาทงและโอโบ้ถึงอ้าปากค้างโดยตรง
ใช้นิ้วเดียวสามารถหยุดการลอบโจมตีของฟงจีได้ พลังขององค์หญิงสูงส่งถึงเพียงไหนกันแน่? แต่นางดูเหมือนไม่ใช่นักสู้ปราณฟ้าเลย เกิดอะไรขึ้น?
ฟงจีตอนแรกเก็บงำพลังไว้สามส่วน
เขาคำนับองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนขออภัยอย่างจริงใจ
“องค์หญิง! ฟงจีแค่ต้องการทดสอบและปฏิกิริยาตอบโต้ของท่าน ที่บึงหยุดลมมีอันตรายอยู่ทุกเมื่อ.....” พูดยังไม่ทันจบประโยค
เขากระโจนเข้าหาเย่ว์หยาง
ครั้งนี้เขาไม่เก็บรั้งพลังไว้และใช้พลังโจมตีใส่เย่ว์หยางถึงสิบส่วน
ในบึงหยุดลมมีอสูรปีศาจปราณฟ้าที่น่าทึ่งและทรงพลังอยู่มากมาย ถ้าเขาไม่สามารถรับการลอบโจมตีนี้ได้ อย่างนั้นก็ไม่สมควรไปบึงหยุดลม
เย่ว์หยางยังคงชี้นิ้วเดียว
การกระทำนี้ดูเหมือนช้า
ช้าพอให้ทุกคนเห็นชัดเจน
ฟงจีผู้ปล่อยหมัดช้า
นิ้วก็เหยียดช้าอย่างน่าทึ่ง และข้ามผ่านหมัดที่มีความเร็วดุจสายฟ้าของฟงจี
ไม่ได้หยุดเหมือนองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยน แต่เป็นการตอบโต้กลับโดยตรง
นิ้วจี้ที่หน้าผากฟงจีแผ่วเบา
วินาทีต่อมาฟงจีปลิวออกไปหมื่นเมตรเหมือนกับกระสุนปืนใหญ่หักโค่นต้นไม้ไปหลายสิบต้น
จากนั้นปะทะจมเข้าไปในภูเขา
โอโบ้ซาทงและคนอื่นกลัวจนเข่าอ่อนตัวสั่น
พวกเขาอยากจะคุกเข่าต่อหน้าท่านนักสู้ผู้แข็งแกร่งนี้เพื่อขอขมาโทษทันที
แต่กลัวว่าจะเป็นการยั่วยุฝ่ายตรงข้ามให้โกรธ เขาไม่รู้จะตอบสนองอย่างไร
ไม่ทราบว่าต้องใช้เวลานานเท่าใด
ฟงจีคลานออกมาจากหลุมลึกเหมือนกับสุนัขใกล้ตาย
เขาปัดฝุ่นดินออกจากตัว
ฟงจีคำนับขณะที่พยายามข่มความตื่นเต้นที่ปะทุออกมา
เขาตะโกน “แม้จะเจ็บตัว
แต่การทดสอบนี้ทำให้ข้าสบายใจ ด้วยพลังของท่านและองค์หญิง และมีข้าร่วมทาง
ข้ามีความมั่นใจอย่างน้อย 60% ว่าจะเข้าไปในบึงหยุดลมได้ หากพบคนที่มีจมูกสุนัข นัยน์ตาแมวทำงานร่วมกัน
อย่างนั้นโอกาสแห่งความสำเร็จจะเพิ่มสูงถึง 80% ต่อให้ล้มเหลว ข้าคิดว่าสามารถรอดออกมาได้อย่างปลอดภัย
ที่สำคัญท่านกับองค์หญิงเป็นหลักประกันที่ทรงพลังที่สุด! นายใหญ่ไตตัน! ท่านจ้างนายพรานเผ่ามนุษย์สุนัขอีกสักคนได้ไหม? ข้ากล้าพูดได้ว่าค่าจ้างไม่แพง
แค่ให้ได้กินอิ่มท้องและมีกระดูกให้แทะเท่านั้นพอ!”
เย่ว์หยางพยักหน้า “เรื่องค่าจ้างไม่สำคัญ ขอเพียงให้ผ่านบึงหยุดลมไปได้ก็พอ”
ฟงจีเมื่อได้ยินแล้วเขามีความสุข เขาไม่สนใจสารรูปเปื้อนดินโคลน
เขากระโดดขึ้นขี่หลังกิ้งก่าขายาวและโบกมือ “นายท่าน, องค์หญิง! ไปกันเถอะ”
“รอเดี๋ยว!”
จงกวนและพวกอีกสองสามคนล้อมเข้ามาทันที
“เจ้าต้องการทำอะไร? ก็เมื่อครู่นี้นายท่านยอมรับทดสอบข้าแล้ว
ข้าไม่ได้ทำให้นายท่านบาดเจ็บ!”
ฟงจีพบว่าสถานการณ์ไม่ดี
ผู้คุ้มกันเหล่านี้จะตั้งตัวเองตัดสินเขาหรือ?
“สิ่งที่นายใหญ่พูดไม่มีอะไรต้องสงสัย
แน่นอนว่าเราไม่มีเงื่อนไขอยู่แล้ว
อย่างก็ไรก็ตามเจ้าเข้ามาร่วมเป็นหน่วยคุ้มกันเดียวกับเรา ตามปกติเราต้องมีพิธีรับน้องใหม่!” จงกวนยิ้มและตบไหล่ฟงจีอย่างเป็นกันเอง “ในฐานะรุ่นพี่เจ้า ข้าจะต้องดูแลเจ้าในอนาคต”
ฟงจีหัวใจร้อนระอุ เขารีบกระโดดลงมาและคารวะทีละคน “ผู้น้องเมื่อครู่นี้ไม่ได้แสดงคารวะต่อพี่ใหญ่ทั้งหลาย
เพราะกังวลเกินไป
มิทราบว่าจะมีพิธีรับน้องใหม่ยังไง?
ถ้ายังไงรอให้ภารกิจสำเร็จ ข้าค่อยเชิญพี่ใหญ่ดื่มเหล้าบุปผา!”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องการดื่มเหล้าฉลอง ตอนนี้เป็นพิธีรับน้องใหม่ และเป็นพิธีที่มีความสำคัญมาก!
หน่วยคุ้มกันของเรามีประเพณีที่ดีงาม...”
จงกวนต่อยหน้าฟงจีจนทรุดกับพื้น
เฮยถู ไป๋หม่าและคนอื่นๆ
รุมล้อมทุบตีเขาอย่างเมามัน
จนกระทั่งเหนื่อยถึงได้หยุด
ฟงจีอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา
พิธีรับน้องบ้าบออะไรกัน? แม่มันเถอะ
แอบทุบตีน้องใหม่ตอนเผลอ!
จงกวนยื่นมือฉุดให้เขาลุกขึ้นยืนและปัดฝุ่นให้เขาและพูดด้วยความรู้สึกจริงใจ “เพราะเจ้ามีภารกิจ
เจ้าไม่อาจทำให้นายท่านเสียเวลา พิธีต้อนรับงดเว้นชั่วคราวก่อน
รอให้เจ้ากลับมาเราค่อยทำพิธีต้อนรับอีก
ไม่ต้องโอดครวญ ความจริงพิธีรับน้องมันดีอยู่แล้ว
ข้าต้องการให้เด็กรุ่นใหม่ได้สืบทอดประเพณีที่ดีงามนี้ไว้”
ตอนนี้ฟงจีเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น กลับกลายเป็นว่าคนพวกนี้ต้องโดนทุบตีกันก่อนที่จะได้เข้าร่วมงาน
ดังนั้นพอมีคนใหม่เข้าร่วมงาน
พวกเขาจะโดนทุบตีก่อนเป็นเรื่องปกติ
อาศัยประเพณีนี้...แน่นอนว่าการทุบตีนี้ไม่มีความหมายอะไร เขาปาดน้ำตาพยักหน้าให้จงกวนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หัวหน้า! ท่านมั่นใจได้เลย รอให้มีน้องใหม่เข้ามาร่วมก่อน ข้าจะทำการรับน้องใหม่เอง
เขาจะได้เข้าใจว่าเช่นไรเรียกว่าประเพณีที่ดีงาม!” เมื่อพูดจบฟงจีกัดฟันกรอด
และกระตือรือร้นจะได้รับน้องใหม่จะได้ทุบตีระบายอารมณ์โกรธในใจออกไปบ้าง
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว!”
จงกวนต่อยหน้าฟงจีอีกหนึ่งหมัด พอฟงจีล้มลงเขาเตะใส่อีกหนึ่งเท้า “ยินดีต้อนรับน้องใหม่ นี่คือการแสดงความรักจากใจของสมาชิกรุ่นพี่ทุกคน
เจ้าต้องจำไว้ให้ดี!”
“อย่ารับน้องนานเกิน” เขากล่าว
“ให้เวลาอีกสิบนาที!”
เย่ว์หยางไม่เคยคัดค้านประเพณีนี้
ความจริงเขาเป็นคนแรกที่สร้างธรรมเนียมนี้ขึ้นมา
บางครั้งยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น
นั่นเป็นแรงผลักดันให้งานเดินหน้า
หัวใจยิ่งมีความศรัทธาเชื่อมั่นเท่าใด
ก็ยิ่งมีความคาดหวังมากขึ้นตามเท่านั้น
การรอคอยยิ่งทำให้มีความอดกลั้น
แม้ว่าจะไม่ได้ทั้งหมด
แต่โลกก็เป็นเช่นนี้จริงๆ...!-!
6 ความคิดเห็น:
ไอ่หยางพาเป็นหมดเลย😆😆😆
มันอัดอั้น มันต้องการที่ระบาย พี่ฮุยยังกรามค้าง ย่อยไม่เสร็จสินะ หาหมาตัวอื่นก็ได้
ขอบคุณครับ
โห...เหมือนมหาลัยของเราเลยนะ
มันต้องรุ่นน้องอัดรุ่นพี่ไม่ใช่รึ เพราะปกติเอ็งกับเจ้าลิงอัดเจ้าอ้วนไห่ตลอดเลย
เจ้าอ้วนนั่นมันลูกพี่!!!!!!
แสดงความคิดเห็น