ตอนที่ 930
น้องข้าหรือน้องเจ้ากันแน่
เย่ว์หยางใช้ประโยชน์จากความรู้เก่าของฟงจีโดยผ่านการติดต่อกับหัวหน้าจินฟันทอง
ในที่สุดก็ได้รับบัตรเชิญเข้างานเลี้ยงวันเกิด
ยกเว้นมีสถานะที่น่าเกรงขาม
จินฟันทองผู้ได้รับสินบนพิเศษเป็นผลึกปีศาจชั้นปราณฟ้าจะระมัดระวังวิ่งเต้นเรื่องของเย่ว์หยางเป็นพิเศษ
เขาพยายามทำอย่างดีที่สุดเพื่อดึงชนชั้นสูงอย่างว์หยางให้เข้ามาในแวดวงการสื่อสารของราชาจื่อฟงให้เร็วเท่าที่เป็นไปได้ แน่นอนว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยไม่มีคุณสมบัติจะพบกับราชาจื่อฟงได้
แต่ก่อนอื่นเขาจะต้องดึงให้เข้ามาอยู่ในเส้นทางเดียวกันกับหัวหน้าผู้ดูแลให้ได้
“พรุ่งนี้เช้าหัวหน้าผู้ดูแลจะกลับมายังเมืองลู่หลิว
คาดว่าตอนบ่ายสามารถจัดสรรเวลานัดพบที่เหมาะสมได้
คุณชายไตตันโปรดรออีกสักคืน”
จินฟันทองไม่เพียงแต่แสดงความเคารพเย่ว์หยาง
แต่ยังกระตือรือร้นกับจินหวินตาไฟสหายเก่าของเขา
เขาพยายามดึงสหายไปร่วมกินดื่มด้วยกันกับเขา
“ไม่มีปัญหา!
หอการค้าไตตันของข้ามีความตั้งใจจะร่วมอวยพรวันเกิด และข้าไม่รีบร้อน” เย่ว์หยางยิ้ม
“ในช่วงสองวันที่ผ่านมามีชนชั้นสูงมากมาย ข้ากำลังจะไปที่วังพอดี
ไม่ทราบว่าคุณชายไตตันสนใจจะไปดูที่ทางเพื่อหาข้อมูลไว้ก่อนหรือไม่
เผื่อมีสหายที่คุ้นเคยกันจะได้พบปะสนทนากันที่วังหลวงได้!” เพื่อชดเชยความสามารถที่ขาดหายของเขา
จินฟันทองต้องการชักชวนเย่ว์หยางให้ไปที่วังหลวง
อย่าว่าแต่เย่ว์หยางเลย
แม้แต่ฟงจีและจินหวินที่เพิ่งเข้าร่วมได้ไม่นานก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ก่อนมายังเมืองลู่หลิว
นายใหญ่ไตตันผู้นี้ไม่เคยอยู่ในภูมิภาคสวนสวรรค์มาก่อน เมื่อเข้ามายังเมืองลู่หลิว
เขาจะพบเจอสหายเก่าได้ยังไง
“หลังจากพักอาหารมื้อเที่ยง ถ้าเจ้าไม่มีอะไรทำ ข้าคิดจะเข้าไปในวังหลวง”
เย่ว์หยางไม่สนใจเข้าไปสำรวจภูมิประเทศและสอดส่องหาข้อมูล
ถ้าไม่ใช่เพราะเขายังไม่เข้าใจเหตุผลว่าทำไมภูมิภาคสวนสวรรค์ถึงเป็นเช่นนี้ เขายังจะเดินหน้าต่อได้หรือ?
มองอย่างผิวเผิน
การจัดการจักรพรรดิแดนดินเขตแรกเป็นเรื่องง่ายงั้นหรือ?
นอกจากนี้
แม้ว่าจักรพรรดิแดนดินทั้งสามกำลังสู้กัน
คนธรรมดามีความสำคัญอย่างไร
ทำไมกองทัพนับเป็นสิบล้านคนถึงสู้กันเองจนตายในสมรภูมิ?
การดิ้นรนต่อสู้กันนี้ดูเหมือนเป็นสงคราม แต่หลังจากวิเคราะห์อย่างระมัดระวัง ในระหว่างเย่ว์หยาง
เย่ว์หวี่ องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนและจุ้ยมาวอี้
นั่นเหมือนเป็นการยืมเลือดเนื้อของชีวิตมนุษย์นับไม่ถ้วน... อะไรคือผลประโยชน์ที่จักรพรรดิแดนดินทั้งสามจะได้จากชีวิตและเลือดเนื้อของทหารนับสิบล้าน
บูชายัญด้วยเลือด?
แม้แต่เขาก็ไม่รู้ความจริง
เย่ว์หยางมีเหตุผลเชื่อได้ว่า นักสู้ระดับราชาขึ้นไปควรจะรู้
แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้เหตุผลทำไมการต่อสู้ของจักรพรรดิแดนดินจะต้องเสียสละด้วยเลือดเนื้อผู้คนเป็นจำนวนมากนับไม่ถ้วน
แต่มีสถานการณ์ที่แปลกประหลาดในภูมิภาคสวนสวรรค์ ตัวอย่างเช่นขีดจำกัดความตายของกฎสวรรค์รอบๆ
บึงหยุดลม น่าจะบ่งบอกให้รู้ถึงสถานการณ์บางอย่าง
การมาเมืองลู่หลิวคราวนี้
เย่ว์หยางคงไม่ทำเรื่องง่ายๆ อย่างการทรมาน ฆ่าคนชั่วยึดสมบัติแน่
เขายังต้องการได้ข่าวสารลับของภูมิภาคสวนสวรรค์จากนักสู้ที่แข็งแกร่งอย่างราชาจื่อฟง
อย่างน้อยก็ต้องรีดเอาความจริงเกี่ยวกับบึงหยุดลมและเมืองแม่น้ำขาว (ไป๋เหอ)
หัวหน้าจินเห็นเย่ว์หยางตกลงว่าจะไปด้วย
เขากลับไปเตรียมตัวด้วยความดีใจ
แม้ว่าโดยผิวเผินคุณชายไตตันนี้ไม่ได้มีพลังแข็งแกร่งระดับปราณฟ้า
อย่างไรก็ตามเขาได้รับการปกป้องจากองครักษ์ระดับปราณฟ้า เขาคงจะเป็นผู้มีเกียรติและสูงศักดิ์เป็นที่รู้จัก
การได้รู้จักบุคคลผู้มีเกียรติเช่นนี้เป็นข้อได้เปรียบใหญ่หลวงสำหรับตัวของเขาเอง นอกจากนี้คุณชายไตตันยังอายุเยาว์ วัยมากแต่กลับมีพลังขนาดนั้น
ใครจะรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ยกระดับพลังเติบโตจนเป็นนักสู้ปราณฟ้าในอนาคตเล่า?
“นักโทษที่ถูกจับมานี้ไม่ต้องพากลับไปคุมขังที่หอทงเทียนหรือ?”
เย่ว์หวี่มักจะคิดว่ารถคุมขังนั้นธรรมดาเกินไปสำหรับคุมขังนักสู้ปราณฟ้าเหล่านั้น
แม้ว่าคนร้ายเหล่านี้จะถูกเย่ว์หยางปราบแล้ว
แต่พวกเขาอาจมีฝีมือที่ซ่อนเร้นไว้ก็ได้
เมื่อเย่ว์หยางจากไป
พวกเขาก็สามารถหลบหนีได้
“สบายใจได้
พวกเขาไม่สามารถหนีได้”
เย่ว์หยางใจเย็น
“คนพวกนี้ถูกปิดกั้นการใช้พลังแล้ว และมีจงกวน
เฮยถูและไป๋หม่าคอยเฝ้าทั้งวันทั้งคืน
พวกจงกวนรับประกันด้วยชีวิต
ข้าคิดว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดไม่ใช่เรื่องนักโทษ
เป็นคนฝ่ายหอทงเทียนที่มาทันเวลา หากมีความผิดพลาดเล็กน้อยในระหว่างดำเนินการ
หรือแผนผิดพลาดเล็กน้อย เป็นไปได้ว่า ราชาจื่อฟงหรือคู่ต่อสู้ระดับเดียวกันอาจหนีไปได้ ที่สำคัญที่นี่คือถิ่นของพวกเขา
เรายังไม่พบเจอรายละเอียดแล้วลงมือทันที
เป็นการยากที่จะรับประกันว่าจะไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลง”
องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนรู้สึกว่าพานักสู้จากหอทงเทียนอย่างมารสัมฤทธิ์ฟ้า
มาด้วยยังจะดีกว่า แม้ว่าจะมีอันตรายจากการเปิดเผยความแข็งแกร่งของชาวหอทงเทียน แต่ยังดีกว่าใช้กองกำลังสู้ต้านรับในหอทงเทียน
“สหายจากวังมารเป็นพวกที่พร้อมจะสู้ ถ้าพวกเขาอยู่ที่นี่
พวกเขาจะพักอยู่ในโรงแรมได้อย่างปลอดภัยหรือไม่? จอมปีศาจบารุธและพวกจ้าวปีศาจ
พอมาหยุดพักอยู่ที่นี่ คนอื่นต่อให้ตาบอดก็ดูสถานะออก ถ้าพวกเขามาจริง
แค่นั้นก็พอแล้ว!” จุ้ยมาวอี้รู้สึกไม่ดีกับสิ่งที่จะทำ
“ถ้าอู๋เสียอยู่ที่นี่ก็คงดี” เย่ว์หยางถอนหายใจ
ก่อนหน้านี้
ส่วนใหญ่เสวี่ยอู๋เสียจะกำหนดขั้นตอนของแผนการ ทุกคนช่วยปรับปรุงจนแผนการไม่ยากเกินไป
ตอนนี้
นางอยู่ในห้วงนิทรา ทุกคนถึงได้รู้ว่าภาระที่สาวหิมะแบกรับไว้หนักหน่วงเพียงไหน
ก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าต่อสู้กันมาแล้วกี่ศึก
แทบจะนับไม่ถ้วน ผ่านอันตรายที่ตื่นเต้นแทบจะล้มเหลว มีวิหารเทพจักรพรรดิอวี้
ราชาเฮยอวี้, สนามสู้มรณะ, สู้กับจ้าวปีศาจโบราณ, การรุกรานของจักรพรรดินีฟ้า ฯลฯ
และเหตุการณ์ที่ต้าเซี่ยทั้งที่เป็นศึกใหญ่ศึกเล็ก
ทั้งหมดเย่ว์หยางจะได้เสวี่ยอู๋เสียช่วยให้คำปรึกษาตัดสินใจ และได้ชัยชนะในที่สุด
แม้ว่าทุกคนจะช่วยเสริม
แต่ก็เป็นแค่แต่งเติมปรับโครงสร้างของแผนให้สมบูรณ์
เย่ว์หยางโบกมือให้สัญญาณว่าสตรีทั้งสามไม่ควรจะใส่ใจเรื่องนี้เกินไป
“แผนที่เรียกกันว่าแผนสมบูรณ์แบบไม่มีข้อบกพร่อง
นั่นเป็นไปไม่ได้และไม่มีอยู่จริง
แผนการไม่สามารถติดตามความเปลี่ยนแปลงของเหตุต่างๆ ได้ ตราบเท่าที่เรามีเส้นทางพื้นฐานในการก้าวไปข้างหน้าถึงจะไม่สมบูรณ์แบบนักก็ตาม เมื่อรู้ว่าอู๋เสียไม่อยู่ที่นี่ พวกเจ้าทุกคนก็ต้องช่วยข้าให้ดีที่สุด ไม่ต้องถึงกับเป็นแผนไร้ข้อตำหนิบกพร่อง
สำหรับการจัดการกับราชาจื่อฟงเราไม่จำเป็นต้องบรรลุความแข็งแกร่ง....
แม้ว่าเขาจะหลบหนีได้ เราสามารถไล่ตามได้ อาจจะไม่สำเร็จเต็มร้อย ถ้าทำไม่สำเร็จ นั่นถือว่าเป็นขีดจำกัด”
เมื่อได้ยินเขาพูด
สามสาวลอบหัวเราะกันทุกคน
คิดดูแล้ว
ก็เป็นเช่นนี้จริงๆ
ด้วยพลังของเย่ว์หยาง
ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปกับการเอาชนะราชาจื่อฟง
มีความยากลำบากเพียงเล็กน้อยก็คือกวาดล้างทหารทั้งหมดที่ร่วมงานฉลองวันเกิดรวดเดียวได้ยังไง
ถึงจะไม่เหลือใครไปเตือนจักรพรรดิแดนดินทั้งสาม
แม้ถ้าพวกเขาจะถอยกลับ พวกเขาอาจทำให้จักรพรรดิแดนดินตื่นตัว
และทำให้พวกเขารู้ถึงความคงอยู่ของเย่ว์หยาง
พวกเขาจะระมัดระวังยอดฝีมือใหญ่ที่ปรากฏขึ้นมา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะไม่สงสัยพวกจากหอทงเทียน..
การไม่ทำให้พวกเขาแตกตื่นเป็นการดำเนินการตามแผนที่สมบูรณ์
แต่ถ้าจักรพรรดิแดนดินตื่นตัว นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ และไม่ส่งผลร้ายแรงต่อสถานการณ์
เหตุผลที่องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนรู้สึกกังวลเพราะยังขาดเสวี่ยอู๋เสียที่ยังไม่ได้สติ นางมักจะวางแผนการที่สมบูรณ์ไร้ที่ติให้กับเขา
“เสี่ยวซาน!
อย่างนั้นเจ้าไปเดินสำรวจก่อน ดูว่าสามารถได้ข้อมูลใดกลับมาบ้าง ถ้าใช้ไม่ได้
อย่างนั้นข้าจะหาวิธีช่วยอย่างอื่น”
เย่ว์หวี่เป็นคนสงบเยือกเย็น นางไม่ค่อยชอบการต่อสู้นัก ครั้งนี้นางอาสาลงมือเอง นั่นเป็นเรื่องที่ยากจะพบเห็น
“ก็ได้!”
เย่ว์หยางรู้ว่านางไม่ต้องการให้เสวี่ยอู๋เสียล้มเหลวในช่วงอยู่ในห้วงนิทรา
ดังนั้นนางจึงกระตือรือร้นมาก
แน่นอนว่านี่ยังเกี่ยวข้องกับพลังที่เพิ่มขึ้นฉับพลันของเย่ว์หวี่
ตอนนี้นางไม่ใช่เย่ว์หวี่ที่อ่อนแออีกต่อไป
นางต้องการปกป้องเย่ว์หยาง
เมื่อเย่ว์หยางต้องการ นางจะยืนหยัดเป็นพลังให้กับเขา!
ขณะเดินอยู่บนถนนในเมืองลู่หลิว
ผู้พำนักอาศัยอยู่ที่นี่แปลกมาก
ต่างจากที่อื่นที่เย่ว์หยางเคยเห็นมาก่อน
คนจนคนรวยแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน
คนร่ำรวยดูดี คนจนขาดแคลนไม่มีอะไร
คนร่ำรวยมีเสื้อผ้าใหม่มีพาหนะ ส่วนคนจนแทบไม่มีอะไรปิดกาย เด็กๆ
ที่กำลังเดินอยู่บนท้องถนนมองหาโอกาสสร้างรายได้ อย่างเช่นขัดรองเท้า อาบน้ำม้าให้เจ้าใหญ่นายโต และทำธุระให้คนรวย... พวกเขาลำบากร่างผอมแห้ง ทำงานหนักจนอย่างคาดไม่ถึงเพื่อเลี้ยงชีวิตให้รอดไปวันๆ
เป็นเรื่องดีที่มีเงินรายได้
และที่น่ากลัวที่สุดก็คือคนรวยเหล่านั้นอารมณ์ไม่ดี ไม่เพียงแต่ไม่ให้รางวัล
แต่กลับเตะพวกเขากระเด็นจนซี่โครงแทบหัก
พวกทหารรับจ้างก็คล้ายกัน
ทหารรับจ้างที่มีผู้สนับสนุนจ้างก็นั่งอย่างสบายใจ
ทหารรับจ้างบางคนดูซึมกระทือเหมือนกับศพเดินได้
เดินตามหลังคนอื่น
ด้วยการใช้ชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อให้ได้อาหารยังแทบไม่มีหวัง ทหารรับจ้างหลายคนเป็นพวกไร้บ้านพเนจร
นอนอยู่ตามถนนโดยตรง นอกจากล่าอสูรที่ระดับต่ำกว่าปราณดินระดับห้าชั้นทองแล้ว พวกเขาบางคนก็ยังขาดแคลนอาวุธ
หากเปรียบเทียบทั้งสองฝั่งถนน
อาคารสูงสง่าต่างๆ ทำให้เมืองลู่หลิวดูเจริญรุ่งเรือง
ที่นี่คือสวรรค์ของคนรวย
แต่เป็นนรกของคนยากจน
เย่ว์หยางถอนหายใจเบาๆ
แม้ว่าหอทงเทียนจะเข้มแข็ง และคนอ่อนแอเป็นเหยื่อของคนแข็งแกร่งก็ตาม แต่ไม่ว่าจะแย่เพียงไหน
ก็ยังไม่ถึงขนาดเมืองลู่หลิว อย่างจุนอู๋โหย่วเป็นจักรพรรดิ แม้ว่าจักรพรรดิบางพระองค์จะไม่ฉลาด
แต่ก็มีการควบคุมเสนาบดีและจัดการวิถีชีวิตของผู้คน
ในทวีปมังกรทะยาน
แม้ว่าจะไม่รวมตัวกันดีพอ ถ้าท่านบากหน้าลี้ภัยอยู่ในตระกูลบางตระกูล ก็ยังพอมีอาหารกิน
เมืองลู่หลิว
มองไปทางไหนก็มีผู้หิวโหยเป็นพันๆ คนในที่นี่นอนอยู่บนถนนจนน่ากลัว
จากเล็กจนโต
เขาเกรงว่าไม่เพียงแต่เมืองลู่หลิวเท่านั้น
แต่เป็นอาณาจักรจื่อฟงทั้งหมด
แม้แต่ทั่วทั้งแดนดินสวนสวรรค์ก็เป็นแบบนี้
“หลบไปให้พ้นทาง เจ้าพวกคนชั้นต่ำ
พวกนักสู้ปราณฟ้าจะเข้าเมืองมาในอีกไม่นาน รีบไปตายที่ไหนก็ไป
อย่ามาอยู่ขวางหูขวางตาของข้า!”
อีกด้านหนึ่งของประตูมีพวกทหารกำลังเดินมาตามทางและขับไล่คนอดอยากยากไร้ที่นอนอยู่บนถนน
ตะเพิดไล่พวกเขาให้เข้าไปตามตรอกเล็กซอยน้อยอย่างรวดเร็ว
เพื่อไม่ให้อาคันตุกะนักสู้ปราณฟ้าต้องมาเห็นภาพที่น่าเกลียดของคนสกปรกเหล่านี้ คนที่ป่วยไข้บางคนเคลื่อนไหวได้ช้าลง
พวกทหารก็ต่อยเตะขับไล่พวกเขาให้พ้นไปจากทาง
“ยินดีต้อนรับ
ยินดีต้อนรับอาคันตุกะชั้นสูงของเมืองลู่หลิว!”
คนกลุ่มหนึ่งบินออกมาจากวังหลวง ส่วนใหญ่จะแต่งตัวสวยงาม
และครึ่งหนึ่งเป็นทหารสวมเกราะอย่างเห็นได้ชัด
พวกเขาตั้งแถวพร้อมกัน
กล่าวทักทายทูตนักสู้ปราณฟ้าอย่างร่าเริง
พวกทูตเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกส่งมาจากราชาระดับเดียวกับราชาจื่อฟง
และมีไม่กี่คนที่เป็นอาคันตุกะชั้นสูงที่ราชาจื่อฟงเชิญมาเอง พวกเขาได้รับการต้อนรับจากอำมาตย์ใหญ่ทั้งสาม
และหนึ่งในสี่แม่ทัพบริวารของราชา
แม่ทัพอายุร้อยปีก็เดินทางมาสมทบด้วย
จินฟันทองแนะนำให้รู้จักกับเย่ว์หยาง
เดิมทีเนื่องจากเดินทางมาถึงตอนดึก แต่เพราะเส้นทางราบเรียบ
ไม่มีอุบัติเหตุตามแนวขอบบึงหยุดลม ดังนั้นเขาเดินทางมาถึงล่วงหน้าเป็นเวลานาน
นักสู้ปราณฟ้าหลายคนมีพลังถึงระดับสาม
จัดตั้งเป็นกลุ่ม
อำมาตย์ใหญ่และแม่ทัพอายุร้อยปีบินเข้ามาในเมืองลู่หลิวพร้อมกับรอยยิ้ม
เดิมทีเย่ว์หยางไม่ได้สนใจคนเหล่านี้ นักสู้ปราณฟ้าสิบกว่าคนเย่ว์หยางไม่เคยพบเห็นมาก่อน อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่บินเข้ามาแนวกลาง
มีคนหนึ่งร่างกายใหญ่โตถึงสิบเมตรทำให้เย่ว์หยางถึงมองตะลึง
ว่าถึงรูปร่างของยักษ์ผู้นี้ไม่สูงที่สุด ไม่ได้เตี้ยที่สุดและไม่มีอะไรดูพิเศษ
เกราะประจำตัวดูธรรมดาไม่มีอะไรเด่นเป็นพิเศษ เมื่อเห็นก็ไม่คู่ควรกับการจดจำ
พลังของเขาไม่เลว เทียบเท่าปราณฟ้าระดับสอง
ส่วนในกลุ่มนี้เขามีพลังปราณฟ้าระดับสาม
“เจ้าหมอนี่เอง!” เย่ว์หยางแค่นเสียง
“มีอะไรหรือ?”
หัวหน้าจินฟันทองกลัวแทบตาย
คุณชายผู้นี้อารมณ์ไม่ดี
ปกติเขาต้องการทุบตีคนและต้องการฆ่าก็ได้
แต่ตอนนี้เขาไม่อาจบุ่มบ่ามเข้าไปตอแยกับกลุ่มนักสู้ปราณฟ้า
นั่นอันตรายมาก
แม้ว่าคุณชายไตตันจะมีชาติตระกูลที่ดี
และแม้ว่าสุดท้ายแล้วคุณชายไตตันจะไม่เป็นอะไร
แต่ชีวิตน้อยๆ ของเขายากจะรักษาได้ เขาพยายามเกลี้ยกล่อมเย่ว์หยางให้กลับ
และเปลี่ยนใจไม่ต่อสู้และปะทะกับฝ่ายตรงข้ามที่นี่
เพราะมีนักสู้ปราณฟ้าที่นี่หลายสิบคน!
เย่ว์หยางเขี่ยเขาออกไป
และชี้ไปที่ยักษ์ที่สูงสิบเมตรและตะโกนเรียก
“พบเจอสหายเก่า เจ้าบ้านั่นจะไม่ทักทายเราคุณชายกันหน่อยหรือ?
น่าขายหน้าจริงๆ”
ยักษ์ใหญ่มองดูเย่ว์หยางตรงๆ
สีหน้าของเขาตะลึงเหลือเชื่อ
คนที่อยู่ข้างเขาเป็นนักสู้ปราณฟ้าระดับสามกระซิบถาม
“เทียนลี่!
นั่นสหายเจ้าหรือ?”
เหมือนกับว่ายักษ์ผู้นั้นพยักหน้าและหัวเราะเดินเข้ามาหาเย่ว์หยางทันที “มีโอกาสได้พบกันในที่ห่างหลายพันไมล์
นึกไม่ถึงว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีก นึกไม่ถึงเลยว่าไม่พบเจอเด็กน้อยเจ้ามานาน
เจ้าเติบโตและมีพลังถึงระดับนี้ได้ เจ้าทำให้ข้าเล่าฮ่าวกลัวแทบตาย! แม้ว่าข้าจะได้ยินว่าเจ้ามา
ข้าคาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมาเอาในตอนนี้.. เฮ้..ชุดของเจ้าดูน่าสนใจ และแหวนระดับศักดิ์สิทธิ์นี่
แหวนพิรุณบุปผา ไปปล้นมาจากไหน?”
นักสู้ปราณฟ้าเหล่านี้พอเห็นพวกเขาเป็นสหายเก่าก็แค่เหลือบตามองด้วยความสงสัยแล้วเดินหน้าต่อ
มีแต่หัวหน้าอำมาตย์ที่นัยน์ตาเป็นประกาย
เขาเรียกจินฟันทองมาถามถึงสถานะของเย่ว์หยาง..
แน่นอนว่านอกจากชื่อของคุณชายไตตันแล้ว เขาไม่มีอะไรโดดเด่น หัวหน้าจินฟันทองรู้จักเพียงเท่านี้
แล้วเขาจะให้ข้อมูลกับเขาได้ยังไง
“เมื่อเจ้าเข้าไปบริการเขา จงหาความจริงให้ได้
เขาเป็นสหายของท่านเทียนลี่หรือไม่? เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดาเหมือนอย่างที่เห็น!”
พ่อบ้านผู้ดูแลสั่งงานหัวหน้าจิน
จินฟันทองพอได้รับความไว้วางใจ
เขาดีใจจนตัวแทบลอย
เย่ว์หยางอยู่กับที่และกระซิบคุยกับบุรุษยักษ์สูงสิบเมตร
เย่ว์หยางพูดพล่ามใส่เขาอย่างไม่เกรงใจ
“ข้าเห็นคนที่นี่มามากมาย แต่ไม่เคยเห็นคนอย่างเจ้าเลย!
เห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ธรรมดาเป็นถึงนักสู้ปราณราชันย์ระดับแปด
แต่กลับแสดงตัวเป็นนักสู้ปราณฟ้าระดับสามงี่เง่า ทั้งยังเข้ามาอยู่ในประเทศเสื่อมโทรมอย่างนี้ เจ้าจะทำอะไรกันแน่หมิงลี่ฮ่าว! เจ้าหลอกคุณชายอย่างข้าสาหัสนัก ชั่วพริบตาข้าเชื่อว่าเจ้ามีพลังปราณฟ้าระดับสามจริงๆ!”
บุรุษยักษ์ผู้นี้คือหมิงลี่ฮ่าวที่เขาเคยพบเจอที่วิหารเทพจักรพรรดิอวี้
แต่ตอนนี้เขาทำตัวธรรมดาไม่มีรัศมีสีทองให้เห็นและแสดงพลังแค่เพียงปราณฟ้าระดับสาม
การอำพรางตัวตนมิใช่เป็นไปไม่ได้
แต่ด้วยพลังปราณราชันย์ระดับแปดแต่แสร้งทำเป็นนักสู้ปราณฟ้าระดับสาม?
เย่ว์หยางรู้สึกว่าเขาจะตาย
หากไม่ได้พล่ามออกมา!
หมิงลี่ฮ่าวกระซิบกำชับ “อย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า นั่นจะไม่ดีสำหรับทุกคน
เจ้าทำตัวเป็นคุณชายผู้ห้าวหาญต่อไป
ส่วนสถานะข้าทหารรับจ้างระดับปราณฟ้า นั่นแหละคือสิ่งที่พวกเราต้องทำ!”
“ให้เวลาอธิบายสิบวินาที
ไม่เช่นนั้นก็จงหันหน้าจากไป และถือว่าเราไม่ใช่สหาย!”
เย่ว์หยางยับยั้งท่าทางเอ็ดตะโรและไม่พูดอะไรต่อ
“ถ้าข้ารู้ตัวเร็วกว่านี้ ข้าคงไม่มาไอ้เมืองลู่หลิวเฮงซวยนี่แน่นอน ก็ได้..พบกับเจ้าแล้วถือว่าข้าซวยจริงๆ แต่ก่อนข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง
ข้าขอถามเจ้าก่อน เด็กน้อย! เจ้าเปิดแดนล่มสลายแห่งทวยเทพและได้พลังเทพมาใช่ไหม? เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง
และข้าหยั่งพลังของเจ้าไม่ออก พลังเจ้าเหนือกว่าข้าหรือเปล่า? เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?
ถ้าอย่างนั้นจักรพรรดิอวี้ในอดีตที่อ้างว่าก้าวหน้าเร็วที่สุดในอดีตที่ผ่านมานั่นหมายความว่ายังไง?” หมิงลี่ฮ่าวสงสัยเกี่ยวกับเย่ว์หยาง
“เราคุณชายก้าวหน้าได้เร็วเป็นเพราะพรสวรรค์กับอัจฉริยภาพ
ไม่มีอะไรเกี่ยวกับแดนล่มสลายแห่งทวยเทพ”
เย่ว์หยางตอบคำถามหมิงลี่ฮ่าวอย่างสรุป “ข้าตอบเจ้าเสร็จแล้ว ตาเจ้าบ้าง
เจ้ามาทำอะไรที่นี่? ว่าแต่จดหมายรักของข้าเขียนส่งไปตั้งมากมาย ทำไมน้องสาวเจ้าไม่ตอบเลยซักฉบับ?”
“ไม่ต้องมาถามข้าเกี่ยวกับธุระของเจ้า!” หมิงลี่ฮ่าวดูเหมือนจะเกรงหมิงเยี่ยกวงน้องสาว เขาปฏิเสธจะพูดต่อไป
“อย่างนั้นเจ้ามาที่นี่ เจ้าจะทำอะไร? อย่าบอกนะว่าเจ้าเจ็บไข่จนทนไม่ไหวก็เลยออกมาเดินเล่นที่นี่” เย่ว์หยางแค่นเสียงไม่พอใจ
“บนถนนหนทาง
ผู้คนพลุกพล่านพูดคุยเรื่องใหญ่ในประเทศนี้
ไปหาร้านอาหารและค่อยนั่งพูดคุยดื่มกินกันเถอะ
ถ้าข้าจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง รับรองเล่ากันสามวันสามคืนก็ยังไม่จบ”
หมิงลี่ฮ่าวมีสีหน้ายุ่งยาก
ถ้าเย่ว์หยางยังมีพลังแบบเมื่อก่อน เขาคงฆ่าไปแล้ว แต่ตอนนี้เย่ว์หยางมีพลังแข็งแกร่งขึ้นมาก
เป็นพลังที่เขาหยั่งไม่ถึง เป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าเขาได้ แทนที่จะเป็นศัตรูของเขา
ควรดึงเขาเข้ามาเป็นพันธมิตรจะดีกว่า
อย่างไรก็ตามถือว่าไม่ใช่เรื่องแย่ที่ได้เจ้าผู้หน้าหนามากเล่ห์เหลี่ยมมาเป็นสหายร่วมแนว
เย่ว์หยางมีความคิดอย่างหนึ่ง ถ้าหมิงลี่ฮ่าวนี้ไม่ใช่พี่ชายของหมิงเยี่ยกวงอย่างนั้นเขาต้องหาทางฆ่าเขา
อย่างไรก็ตาม
หมิงเยี่ยกวงคือสาวน้อยที่เขาต้องการพิชิตความรักนางให้ได้ เจ้าผู้นี้เป็นพี่ชายผู้เข้มงวด พลังไม่เลว สมองดีและทำงานได้พิเศษ
ถ้าได้เขาเป็นร่วมแนวก็คงไม่ถึงกับแย่
หลังจากคิดดูแล้ว
เขาตัดสินใจร่วมมือกัน
อย่างไรก็ตาม
โชคดีที่หมิงลี่ฮ่าวอ่านใจเขาไม่ออก
มิฉะนั้นถ้าเขารู้ความคิดเย่ว์หยาง เขาคงสบถดังๆ แน่นอน “น้องข้า
หรือน้องเจ้ากันแน่? บัดซบ!”
10 ความคิดเห็น:
ขอบคุณครับ
แม้ๆๆ จะเครมน้องสาวเขา
นั้น แค่นี้ยังไม่พอรึ รอบๆตัวเอ็งนี่ถล่มแดนสวรรค์ได้สบายเลยนะยังจะหาเพิ่มอีก
คุณชายสามจะหาเมียเพิ่มอีกหรือนี่
ใจจ้า
ขอบคุณครับ โคตรฮาเร็มจริมๆ นี่สินะมีเมียทุกเขตแดน
ไอ้สาม มึงยังจะหาเมียเพิ่มอีกเหรอ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณมากครับ
เฮ้..ชุดของเจ้าดูน่าสนใจ และแหวนระดับศักดิ์สิทธิ์นี่ แหวนพิรุณบุปผา ไปปล้นมาจากไหน? 555 รู้ดีจริงๆ
แสดงความคิดเห็น