วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 952 เจ้าไม่ฉวยโอกาสหรือ?


ตอนที่  952  เจ้าไม่ฉวยโอกาสหรือ?
ขณะที่เรือเหาะมุ่งหน้าสู่บึงหยุดลม เย่ว์หยางออกมาจากห้อง
 
เขามองดูรอบๆ ห้องโถงเห็นแต่เพียงเทพีเสรีภาพ
นักสู้ปราณฟ้าที่ติดตามมาด้วยไม่ได้ฝึกฝนหนักเหมือนมารสัมฤทธิ์ฟ้า  แต่ไปรวมตัวอยู่ข้างหน้าห้องโถงต้อนรับ เสียงเพลงขับกล่อมดังขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือหัวเราะ  เย่ว์หยางได้ยินแล้วรู้สึกเวียนหัว นี่หรือจะไปถอนคำสาป? ดูราวกับว่าจะไปงานแต่งงานเสียมากกว่า!
 “เจ้าดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง” เทพีเสรีภาพกำลังนั่งสมาธิ หลังจากเย่ว์หยางออกมา นางหันกลับมามองเย่ว์หยางและอุทานด้วยความประหลาดใจ
 “แตกต่างตรงไหน?”  เย่ว์หยางรู้สึกสนุก  ในสายตา (ใน) ของนางเห็นอะไรกัน?
 “แน่นอนว่ามองผิวเผินย่อมไมเห็น แม้แต่ความรู้สึกในใจของเจ้าก็คลุมเครือมาก  คาดว่าเจ้าเกิดมาพร้อมกับทักษะแฝงเร้นประเภทอำพรางปกปิดตัวตนที่น่าทึ่งมาก แต่วิญญาณของเจ้าเจิดจรัสไม่สามารถปิดบังได้ ข้าเคยเห็นนักสู้ผู้แข็งแกร่งบางคนมีพลังใกล้เคียงเทพมาก  แต่รัศมีวิญญาณของพวกเขาเมื่อเทียบกับเจ้าเหมือนกับหิ่งห้อยประชันแสงจันทรา  ดูเหมือนว่าเจ้าได้พบมรรคาที่ถูกต้องในการเข้าถึงพลังระดับเทพ” คำพูดของเทพีเสรีภาพทำให้เย่ว์หยางลอบประหลาดใจ สามารถมองผ่านทักษะแฝงเร้นพรางตัวของเขาและสังเกตความเป็นจริงได้ในกระบวนการพัฒนาการทั้งหมดของเขาได้ มีเพียงไม่กี่คน
 “นั่นต้องขอบคุณท่านที่จุดประกายความคิดให้ข้า”  เย่ว์หยางน้อมตัวเล็กน้อยแสดงการคารวะเทพีเสรีภาพอย่างจริงใจ
 “นั่นไม่ใช่การจุดประกายความคิดจากข้า นั่นคือกระบวนการพัฒนาของเจ้าแบบหนึ่งหลังจากที่สั่งสมความรู้มาระยะหนึ่ง ความรู้แจ้งก็ปะทุออกมาอย่างไม่สิ้นสุด นั่นเป็นเรื่องจำเป็น แต่ไม่ใช่เพราะลักษณะ หรือการพูดของข้า”  เทพีเสรีภาพยิ้ม
 “ไม่ว่ายังไงก็ตาม ประกายความคิดนี้ได้มาเพราะคำพูดของท่าน”  เย่ว์หยางเห็นว่าเทพีเสรีภาพไม่เต็มใจจะรับความดีความชอบ เขาอดถามไม่ได้ “ขอคุยเรื่องท่านได้ไหม?”
 “ข้าน่ะหรือ?” ดูเหมือนเทพีเสรีภาพรู้สึกสับสนเล็กน้อยกับหัวข้อนี้
 “ท่านไม่เคยคิดถึงตนเองเลยหรือ?” เย่ว์หยางสงสัย
 “ข้ามักจะคิดถึงสิ่งที่ข้าจะต้องทำในอนาคตอยู่บ่อยครั้ง ทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร ข้ามักจะตรวจสอบความหมายของชีวิตและพยายามทำความเข้าใจในขอบเขตระดับสูง  ตัวอย่างเช่นตอนนี้ข้าก็ยังไตร่ตรองถึงประเด็นนี้อยู่”  เทพีเสรีภาพพยักหน้าให้เย่ว์หยาง นี่เป็นครั้งแรกที่นางพูดคุยเรื่องตนเองกับคนแปลกหน้า
 “แล้วตอนนี้ ท่านกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่?”  เย่ว์หยางถามอีกครั้ง
 “ข้ากำลังคิดว่าจะทำให้ดีที่สุดได้อย่างไร ยึดติดกับความเชื่อดั้งเดิม หรือเป็นเหมือนเจ้าเข้าสู่ระดับที่สูงขึ้น มองดูสรรพสัตว์ผู้คนที่เหมือนกับมดวิ่งพล่านอย่างเงียบสงบ โดยไม่มีการแทรกแซงแต่อย่างใด” เทพีเสรีภาพตอบ
 “อย่างนี้ถือว่าเย็นชา และเฉยเมยไม่ใช่หรือ?” เย่ว์หยางยิ้ม
 “สำหรับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับต่ำที่มีความเห็นแก่ตัวและหยาบกร้าน นั่นไม่ได้ช่วยให้พวกเขาพ้นจากความตายได้เลย ความตายเป็นเรื่องโหดเหี้ยม อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ในขอบเขตดินแดนที่สูงกว่าและห่างไกลออกไปก็ยากจะมองเห็นปัญหา นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนเห็นแก่ตัวจะเข้าใจได้  เช่นเดียวกับที่คนทั่วไปจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกมด ให้อาหารและปกป้องพวกมัน  แต่มดแมลงก็ยังเป็นมดแมลง และพวกมันไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง  หากมดแมลงเหล่านั้นกำลังทุกข์ทรมานจึงต้องให้อาหารและคอยปกป้องพวกมัน  ก็เพียงแค่ปล่อยให้ความเจ็บปวดของพวกมันดำเนินต่อไป สุดท้ายก็ไม่ได้ทำให้พวกมันมีความสุขและมีอิสระอย่างแท้จริง....ชีวิตมีความสำคัญน้อยมากสำหรับโลก การดำรงอยู่ของสรรพชีวิตเป็นการแสดงความประสงค์ของโลก  ชีวิตหนึ่งอาจส่งผลมีอิทธิพลต่อชีวิตอื่น บางทีนี่อาจเป็นการแสดงเจตจำนงของโลกก็ได้ บางทีอาจชักนำให้เดินผิดทาง เป็นไปไม่ได้ที่จะหลุดพ้นออกมาจากความต้องการของโลก และไม่มีผู้รู้ความจริง  สิ่งที่เจ้าทำอาจจะผิดก็ได้ และยิ่งทำมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแย่มากเท่านั้น นี่เป็นปัญหาที่ข้าพยายามคิด และพบว่ายิ่งเจ้าทรงพลังมากยิ่งขึ้น ก็จะยิ่งเพิกเฉยต่อชีวิตที่อยู่ในระดับต่ำกว่า  ทำไมเทพเจ้าโบราณถึงไม่บรรเทาทุกข์ให้กับชีวิตที่ต่ำต้อย?  ทำไมมหาเทพโบราณถึงไม่ให้พลังแก่ชีวิตที่อ่อนแอ  หากมหาเทพโบราณทำเช่นนั้น เขาย่อมทำได้  ตราบเท่าที่พวกเขาตรากฎก็ย่อมทำได้  แต่ไม่มีพวกเขาคนใดที่ทำเช่นนั้น...”  คำพูดของเทพีเสรีภาพทำให้เด็กหนุ่มจากโลกอื่นตกใจอีกครั้ง
 “เมื่อเป็นอย่างนี้ ทำไมท่านต้องทำให้คนอื่นโดยไม่มีเงื่อนไขเล่า?” เย่ว์หยางต้องการค้นหาคำตอบจากปัญหา
 “เพราะข้าไม่ใช่เทพเจ้าโบราณ ข้าไม่ได้ยืนอยู่ในจุดสูงและห่างไกลเพื่อมองดูปัญหา เมื่อข้ารู้สึกว่าคนรอบตัวข้าเจ็บปวด ข้าอดจะสงสารไม่ได้  ข้าไม่มีความยินดี ใจของข้ารู้สึกเศร้าและเจ็บปวดไปกับคนอื่น เป็นเรื่องโชคร้ายที่เห็นคนรอบตัวต้องทนทุกข์ทรมานและข้าช่วยไม่ได้ แต่เมื่อเห็นพวกเขากระตือรือร้นจะช่วยเหลือ...บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าตนเองทำบางอย่างผิด  แต่ไม่มีทางอื่น  ข้าทำตามแรงบันดาลใจ บางอย่างก็ผิด” เทพีเสรีภาพอธิบาย
 “รู้ได้ยังไงว่าท่านทำผิด? บางทีท่านไม่มีความตั้งใจที่จะเคลื่อนไหวแบบนั้น  แต่ท่านมีความกรุณาที่คนอื่นไม่มี เต็มใจจะช่วยเหลือผู้ตกยากทนทุกข์ ขณะที่ท่านเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต  ข้าไม่รู้จะพูดยังไง บางทีการกระทำเช่นนี้ก็เป็นการแสดงเจตจำนงโลกอย่างหนึ่ง โลกต้องการสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง  ไม่มีแบ่งแยก ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือคนใจดีอย่างท่าน”  เย่ว์หยางพูดพรรณนาอยู่นาน และตอบส่วนที่ตนมั่นใจ
 “ข้าน่ะหรือ?  ได้ยินเจ้าปลอบโยนข้าอย่างนี้แล้ว รู้สึกอุ่นใจอย่างไม่มีเคยมีมาก่อน”   เทพีเสรีภาพยิ้ม ใบหน้านางมีประกายราศีเพราะเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ
 “ท่านเคยคิดถึงเรื่องความตายบ้างไหม?”  เย่ว์หยางลังเลเล็กน้อยและถามในที่สุด
 “ปัญหาเรื่องนี้ บางครั้งข้าก็คิด แม้ว่าตราบใดที่พลังเทพยังไม่เหือดแห้งไป  ข้าจะยังไม่ตาย  แต่เจ้าก็รู้เรื่องนั้น สักวันชีวิตของข้าจะต้องเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด
 “ข้าไม่กลัวตาย  ความจริงข้าอยากมีชีวิตมากกว่าตาย  ความตายยากจะทำให้ข้าคลายใจ” เทพีเสรีภาพย้อนถาม  “แล้วเจ้าคิดเรื่องความตายบ้างไหม?”
 “ไม่, ข้ากลัวตาย ก็เลยพยายามไม่คิด และตราบเท่าที่ข้าอยู่ได้ทั้งวัน  ข้าก็จะมีชีวิตต่อไป ฮ่าฮ่า” เย่ว์หยางหัวเราะ
 “เจ้าช่างมีอารมณ์ขันจริงนะ ทั้งที่คำพูดของเจ้าไม่เป็นความจริงฮ่าฮ่า”  เทพีเสรีภาพดูเหมือนจะมองความคิดของเย่ว์หยางออก
 “อะแฮ่ม, ข้าเป็นปุถุชน ย่อมต้องกลัวตายเป็นธรรมดา...”  เย่ว์หยางเขินเล็กน้อย ทำให้คนที่เห็นอดรู้สึกขันไม่ได้ เปลี่ยนเป็นคนอื่นเย่ว์หยางอาจให้คำตอบตรงกันข้ามราวกับฟ้าและเหว แต่กับเทพีเสรีภาพผู้มีหัวใจเปิดกว้างอยู่เสมอ เขามิอาจตัดใจพูดเหลวไหล
 “บางทีตอนเริ่มแรกของชีวิต เจ้าอาจจะกลัวตาย นั่นเป็นเรื่องปกติของสรรพชีวิต  แต่วันนี้เจ้าไม่ต้องเป็นอย่างนั้น เจ้ามีปณิธานและพลังเทพ เจ้าคงไม่คิดเรื่องอย่างนี้มานานแล้ว ถึงข้ามองไม่เห็นความจริงในตัวเจ้าได้ แต่ข้ารู้สึกได้เลือนราง เจ้าอยู่เหนือโลกทั้งมวล ในอนาคตเจ้าอาจจะสร้างโลกของเจ้าเองก็ยังได้....อย่างเจ้าจะกลัวตายได้อย่างไร? เจ้าเพียงแต่สงสารเห็นใจชีวิตของข้า เพราะการปรากฏตัวของข้าไปสัมผัสหัวใจที่ปกปิดของเจ้า จริงไหม? แม้โดยผิวเผินเจ้าจะปฏิเสธจะยอมรับก็ตาม  แต่ข้ารู้สึกมีความสุขใจมาก  ที่สำคัญคือมีบางคนที่ยังห่วงใยข้า!  เทพีเสรีภาพลอยตัวขึ้นและยกมือเล็กน้อยให้เย่ว์หยาง
 “ท่านต้องการดำเนินชีวิตต่อไปอย่างนี้หรือ?” เย่ว์หยางตัดสินใจถามคำถามสุดท้าย
 “ข้าไม่ทราบ!  แต่คนอย่างข้าถ้าไม่ทำอย่างนี้ แล้วจะทำอะไรได้?  เจ้ามีเป้าหมายที่เด่นชัด  แต่ข้าขอบอกโดยไม่กลัวเจ้าหัวเราะเยาะ  ข้าเองก็ไม่มีเป้าหมายในชีวิต  ถ้าข้าไม่ทำอะไรเลยข้าจะรู้สึกสับสน”  นี่เป็นครั้งแรกที่เทพีเสรีภาพแสดงอากัปกิริยาเหมือนกุลธิดาในตระกูล ไม่ใช่ในฐานะของเทพีเสรีภาพ เป็นอาการของหญิงสาวที่รู้สึกสับสน
 “ข้าเข้าใจ” เย่ว์หยางยังคงมีใบหน้าที่ยิ้ม  สีหน้าอารมณ์สับสนอย่างนี้ทำให้นางดูน่ารักจริงๆ  เขาพยายามข่มความรู้สึกอยากเข้าไปหยิกแก้มนาง เขาโบกมือให้นางแล้วเดินไปที่ห้องโถง
 “เป็นคนที่แปลกจริงๆ... แม้จะดูน่าอึดอัดใจ แต่ก็เป็นคนน่าเชื่อถือ”
เทพีเสรีภาพลูบแก้มซ้ายของนาง
ลักษณะท่าทางของนางราวกับว่าถูกเย่ว์หยางยื่นมือเข้ามาหยิกแก้มแล้ว
เย่ว์หยางไปที่ห้องด้านหน้ามองดูรอบๆ เพื่อหาตัวหมิงลี่ฮ่าว  เขาพบว่าเจ้าผู้นี้นอนหลับเป็นตายอยู่ในห้อง อดฉุนเฉียวไม่ได้ เขาเตะที่ประตู
หมิงลี่ฮ่าวลืมตามองดูเย่ว์หยาง ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี  นี่เขาไปยั่วโมโหเจ้าเด็กนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เย่ว์หยางถลึงตามองเขาจนเขารู้สึกเหมือนเป็นคนผิด “ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ข้าเชื่อว่าไม่มีอะไรเกี่ยวกับข้า  ข้าแค่กำลังหลับ!
เย่ว์หยางแค่นเสียงเย็นชา  “สาวงามจูกวงก็คือสาวใช้ที่หลบหนีมาจากตระกูลของเจ้า ไม่จำเป็นต้องบอก แต่ท่าทางของเจ้ามันฟ้อง ต่อให้เป็นคนตาบอดก็รู้  ตอนนี้ข้าอยากจะรู้ เจ้ามีความสัมพันธ์ใดกับนาง?  อย่าบอกข้านะว่านางเป็นแค่สาวใช้ธรรมดา นางมีลูกปัดอธิษฐานของวิเศษระดับกึ่งเทพอยู่กับตัว  อย่ามาใช้คำพูดหลอกเด็กกับข้าว่าเป็นสัมพันธ์เจ้านายกับสาวใช้ธรรมดา  นี่เจ้ามาไกลเป็นหมื่นๆ ลี้เพื่ออะไรกัน? นอกจากนี้เจ้าเห็นนางแล้วทำไมไม่เข้าไปจับนางโดยตรง แต่เจ้ากลับซ่อนตัวทำไม?”
หมิงลี่ฮ่าวเถียง  “ข้าจะมาหาคัมภีร์เทพบ้างไม่ได้หรือยังไง?  ไม่ใช่แค่มาจับสาวใช้?”
เย่ว์หยางชูนิ้วกลางให้เขาสองนิ้ว  “เจ้านึกว่าคนที่มีสติปัญญาปกติจะยอมเชื่อคำแก้ตัวของเจ้าหรือ? อย่าว่าแต่สมองของข้า มากกว่าของเจ้าถึงสองเท่า  รู้ไว้ด้วย!
หมิงลี่ฮ่าวโมโหกับคำอวดอ้าง  สมองเจ้ามากกว่าข้าสองเท่าหรือ?
เจ้าเป็นคนฉลาดแน่นอน แต่ก็ไม่มีใครโง่เช่นกัน เด็กน้อยเจ้าจะกวนโมโหข้าจนคลั่งใจตายอย่างนั้นหรือ?
เขาพยายามถลึงตามองตอบโต้  แต่เย่ว์หยางทิ้งประโยคเด็ด “ถ้าเจ้าไม่ตอบคำถามแต่โดยดี เราคุณชายจะพาพวกพ้องกลับหอทงเทียน แล้วทำลืมไปซะว่ามีเรื่องสำคัญที่ยังไม่ได้ทำ ปล่อยให้เจ้าจัดการเรื่องยุ่งเหยิงนี้เอาเอง”
หมิงลี่ฮ่าวจะยอมรับเขาได้อย่างไร? เจอหน้ากับเจ้าเด็กหน้าด้าน เขาต้องยอมรับว่าเป็นคราวเคราะห์  “ลืมไปแล้วหรือยังไง ข้าบอกไปแล้วว่าความจริงสาวงามจูกวงเป็นหญิงรับใช้คนสำคัญที่รับใช้ใกล้น้องสาวของข้า ในช่วงทำสงครามกับจักรพรรดิอวี้ นางรับหน้าที่กลับไปขอกำลังเสริม แต่กำลังเสริมก็ไม่มา  จักรพรรดิอวี้นักรบผู้แข็งแกร่งปรากฏตัวเข้าโจมตีอย่างไม่คาดฝัน ในการรบครั้งต่อมาเขาใช้ของวิเศษสามอย่างกักขังเราไว้ในวิหารจักรพรรดิอวี้  เจ้าบอกข้าที จะให้ข้าจับจูกวงผู้อาจจะสมคบคิดกับตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่?”
เย่ว์หยางปรบมือ  “ดี แก้ตัวได้ดี  ข้าจะไปคาดเดาได้ยังไง ข้าเพียงสงสัยว่าสาวงามจูกวงเป็นคนรักน้อยของเจ้าหรืออะไรทำนองนั้น  เจ้าส่งสาวใช้ที่ไม่น่าไว้วางใจกลับมาขอกำลังเสริมหรือ?  นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างบุพการีกับลูกหลาน ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชู้และหญิงนอกใจแข็งแกร่งที่สุด  เจ้าไม่ต้องพูดเล่นลิ้นต่อไปแล้ว  ข้าไม่ใช่คนตาบอด ไม่ใช่คนโง่ จูกวงเป็นคนรักของเจ้า  และข้าก็ไม่สนใจเรื่องนั้น แต่ลูกปัดอธิษฐาน ของวิเศษระดับกึ่งเทพที่ประดับหน้าผากนาง  ข้าขอ, จะเอาไว้เป็นสินสอดทองหมั้นตอนข้าไปสู่ขอแต่งงานกับหมิงเยี่ยกวง!
 “ทำไมเจ้าไม่ฉกเอาเองเล่า?”  หมิงลี่ฮ่าวโมโหจัดจนแทบกระอักโลหิต  เขาไม่เคยเห็นคนอย่างนี้มาก่อนในชีวิต  เจ้าเด็กนี่หน้าด้านขนาดนี้  รอดพ้นจากการถูกสวรรค์ลงโทษมาได้ยังไง?
…………

9 ความคิดเห็น:

WingF กล่าวว่า...

555 เรียบร้อย ไถของแล้ว กลับบ้านได้

Boybravo กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Minamoto กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

ulomzx กล่าวว่า...

ยังๆๆแค่เอ่ยปากขอ..ยังไม่ได้ของเลยอ่ะ

krisda กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

manit กล่าวว่า...

ใจจ้า

Ragnarok•Dai กล่าวว่า...

พี่เยว่คนนี้เขาสุดจริงๆ555+

akekapoj-tee กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ

แสดงความคิดเห็น