ตอนที่ 952
เจ้าไม่ฉวยโอกาสหรือ?
ขณะที่เรือเหาะมุ่งหน้าสู่บึงหยุดลม
เย่ว์หยางออกมาจากห้อง
เขามองดูรอบๆ
ห้องโถงเห็นแต่เพียงเทพีเสรีภาพ
นักสู้ปราณฟ้าที่ติดตามมาด้วยไม่ได้ฝึกฝนหนักเหมือนมารสัมฤทธิ์ฟ้า แต่ไปรวมตัวอยู่ข้างหน้าห้องโถงต้อนรับ
เสียงเพลงขับกล่อมดังขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือหัวเราะ เย่ว์หยางได้ยินแล้วรู้สึกเวียนหัว
นี่หรือจะไปถอนคำสาป? ดูราวกับว่าจะไปงานแต่งงานเสียมากกว่า!
“เจ้าดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง”
เทพีเสรีภาพกำลังนั่งสมาธิ หลังจากเย่ว์หยางออกมา
นางหันกลับมามองเย่ว์หยางและอุทานด้วยความประหลาดใจ
“แตกต่างตรงไหน?” เย่ว์หยางรู้สึกสนุก ในสายตา (ใน) ของนางเห็นอะไรกัน?
“แน่นอนว่ามองผิวเผินย่อมไมเห็น
แม้แต่ความรู้สึกในใจของเจ้าก็คลุมเครือมาก
คาดว่าเจ้าเกิดมาพร้อมกับทักษะแฝงเร้นประเภทอำพรางปกปิดตัวตนที่น่าทึ่งมาก
แต่วิญญาณของเจ้าเจิดจรัสไม่สามารถปิดบังได้
ข้าเคยเห็นนักสู้ผู้แข็งแกร่งบางคนมีพลังใกล้เคียงเทพมาก
แต่รัศมีวิญญาณของพวกเขาเมื่อเทียบกับเจ้าเหมือนกับหิ่งห้อยประชันแสงจันทรา ดูเหมือนว่าเจ้าได้พบมรรคาที่ถูกต้องในการเข้าถึงพลังระดับเทพ”
คำพูดของเทพีเสรีภาพทำให้เย่ว์หยางลอบประหลาดใจ
สามารถมองผ่านทักษะแฝงเร้นพรางตัวของเขาและสังเกตความเป็นจริงได้ในกระบวนการพัฒนาการทั้งหมดของเขาได้
มีเพียงไม่กี่คน
“นั่นต้องขอบคุณท่านที่จุดประกายความคิดให้ข้า” เย่ว์หยางน้อมตัวเล็กน้อยแสดงการคารวะเทพีเสรีภาพอย่างจริงใจ
“นั่นไม่ใช่การจุดประกายความคิดจากข้า
นั่นคือกระบวนการพัฒนาของเจ้าแบบหนึ่งหลังจากที่สั่งสมความรู้มาระยะหนึ่ง
ความรู้แจ้งก็ปะทุออกมาอย่างไม่สิ้นสุด นั่นเป็นเรื่องจำเป็น แต่ไม่ใช่เพราะลักษณะ
หรือการพูดของข้า” เทพีเสรีภาพยิ้ม
“ไม่ว่ายังไงก็ตาม
ประกายความคิดนี้ได้มาเพราะคำพูดของท่าน”
เย่ว์หยางเห็นว่าเทพีเสรีภาพไม่เต็มใจจะรับความดีความชอบ เขาอดถามไม่ได้
“ขอคุยเรื่องท่านได้ไหม?”
“ข้าน่ะหรือ?”
ดูเหมือนเทพีเสรีภาพรู้สึกสับสนเล็กน้อยกับหัวข้อนี้
“ท่านไม่เคยคิดถึงตนเองเลยหรือ?”
เย่ว์หยางสงสัย
“ข้ามักจะคิดถึงสิ่งที่ข้าจะต้องทำในอนาคตอยู่บ่อยครั้ง
ทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร
ข้ามักจะตรวจสอบความหมายของชีวิตและพยายามทำความเข้าใจในขอบเขตระดับสูง
ตัวอย่างเช่นตอนนี้ข้าก็ยังไตร่ตรองถึงประเด็นนี้อยู่” เทพีเสรีภาพพยักหน้าให้เย่ว์หยาง
นี่เป็นครั้งแรกที่นางพูดคุยเรื่องตนเองกับคนแปลกหน้า
“แล้วตอนนี้ ท่านกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่?” เย่ว์หยางถามอีกครั้ง
“ข้ากำลังคิดว่าจะทำให้ดีที่สุดได้อย่างไร
ยึดติดกับความเชื่อดั้งเดิม หรือเป็นเหมือนเจ้าเข้าสู่ระดับที่สูงขึ้น
มองดูสรรพสัตว์ผู้คนที่เหมือนกับมดวิ่งพล่านอย่างเงียบสงบ
โดยไม่มีการแทรกแซงแต่อย่างใด” เทพีเสรีภาพตอบ
“อย่างนี้ถือว่าเย็นชา และเฉยเมยไม่ใช่หรือ?”
เย่ว์หยางยิ้ม
“สำหรับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับต่ำที่มีความเห็นแก่ตัวและหยาบกร้าน
นั่นไม่ได้ช่วยให้พวกเขาพ้นจากความตายได้เลย ความตายเป็นเรื่องโหดเหี้ยม
อย่างไรก็ตามเมื่ออยู่ในขอบเขตดินแดนที่สูงกว่าและห่างไกลออกไปก็ยากจะมองเห็นปัญหา
นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนเห็นแก่ตัวจะเข้าใจได้
เช่นเดียวกับที่คนทั่วไปจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกมด
ให้อาหารและปกป้องพวกมัน
แต่มดแมลงก็ยังเป็นมดแมลง และพวกมันไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง หากมดแมลงเหล่านั้นกำลังทุกข์ทรมานจึงต้องให้อาหารและคอยปกป้องพวกมัน ก็เพียงแค่ปล่อยให้ความเจ็บปวดของพวกมันดำเนินต่อไป
สุดท้ายก็ไม่ได้ทำให้พวกมันมีความสุขและมีอิสระอย่างแท้จริง....ชีวิตมีความสำคัญน้อยมากสำหรับโลก
การดำรงอยู่ของสรรพชีวิตเป็นการแสดงความประสงค์ของโลก ชีวิตหนึ่งอาจส่งผลมีอิทธิพลต่อชีวิตอื่น
บางทีนี่อาจเป็นการแสดงเจตจำนงของโลกก็ได้ บางทีอาจชักนำให้เดินผิดทาง
เป็นไปไม่ได้ที่จะหลุดพ้นออกมาจากความต้องการของโลก และไม่มีผู้รู้ความจริง สิ่งที่เจ้าทำอาจจะผิดก็ได้
และยิ่งทำมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแย่มากเท่านั้น นี่เป็นปัญหาที่ข้าพยายามคิด และพบว่ายิ่งเจ้าทรงพลังมากยิ่งขึ้น
ก็จะยิ่งเพิกเฉยต่อชีวิตที่อยู่ในระดับต่ำกว่า
ทำไมเทพเจ้าโบราณถึงไม่บรรเทาทุกข์ให้กับชีวิตที่ต่ำต้อย? ทำไมมหาเทพโบราณถึงไม่ให้พลังแก่ชีวิตที่อ่อนแอ หากมหาเทพโบราณทำเช่นนั้น เขาย่อมทำได้ ตราบเท่าที่พวกเขาตรากฎก็ย่อมทำได้ แต่ไม่มีพวกเขาคนใดที่ทำเช่นนั้น...”
คำพูดของเทพีเสรีภาพทำให้เด็กหนุ่มจากโลกอื่นตกใจอีกครั้ง
“เมื่อเป็นอย่างนี้
ทำไมท่านต้องทำให้คนอื่นโดยไม่มีเงื่อนไขเล่า?”
เย่ว์หยางต้องการค้นหาคำตอบจากปัญหา
“เพราะข้าไม่ใช่เทพเจ้าโบราณ
ข้าไม่ได้ยืนอยู่ในจุดสูงและห่างไกลเพื่อมองดูปัญหา
เมื่อข้ารู้สึกว่าคนรอบตัวข้าเจ็บปวด ข้าอดจะสงสารไม่ได้ ข้าไม่มีความยินดี
ใจของข้ารู้สึกเศร้าและเจ็บปวดไปกับคนอื่น เป็นเรื่องโชคร้ายที่เห็นคนรอบตัวต้องทนทุกข์ทรมานและข้าช่วยไม่ได้
แต่เมื่อเห็นพวกเขากระตือรือร้นจะช่วยเหลือ...บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าตนเองทำบางอย่างผิด แต่ไม่มีทางอื่น ข้าทำตามแรงบันดาลใจ บางอย่างก็ผิด”
เทพีเสรีภาพอธิบาย
“รู้ได้ยังไงว่าท่านทำผิด?
บางทีท่านไม่มีความตั้งใจที่จะเคลื่อนไหวแบบนั้น
แต่ท่านมีความกรุณาที่คนอื่นไม่มี เต็มใจจะช่วยเหลือผู้ตกยากทนทุกข์
ขณะที่ท่านเข้าใจความเป็นจริงของชีวิต
ข้าไม่รู้จะพูดยังไง บางทีการกระทำเช่นนี้ก็เป็นการแสดงเจตจำนงโลกอย่างหนึ่ง
โลกต้องการสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง
ไม่มีแบ่งแยก ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือคนใจดีอย่างท่าน” เย่ว์หยางพูดพรรณนาอยู่นาน
และตอบส่วนที่ตนมั่นใจ
“ข้าน่ะหรือ?
ได้ยินเจ้าปลอบโยนข้าอย่างนี้แล้ว รู้สึกอุ่นใจอย่างไม่มีเคยมีมาก่อน” เทพีเสรีภาพยิ้ม
ใบหน้านางมีประกายราศีเพราะเป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ
“ท่านเคยคิดถึงเรื่องความตายบ้างไหม?” เย่ว์หยางลังเลเล็กน้อยและถามในที่สุด
“ปัญหาเรื่องนี้ บางครั้งข้าก็คิด
แม้ว่าตราบใดที่พลังเทพยังไม่เหือดแห้งไป
ข้าจะยังไม่ตาย
แต่เจ้าก็รู้เรื่องนั้น สักวันชีวิตของข้าจะต้องเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด
“ข้าไม่กลัวตาย ความจริงข้าอยากมีชีวิตมากกว่าตาย ความตายยากจะทำให้ข้าคลายใจ”
เทพีเสรีภาพย้อนถาม “แล้วเจ้าคิดเรื่องความตายบ้างไหม?”
“ไม่, ข้ากลัวตาย ก็เลยพยายามไม่คิด
และตราบเท่าที่ข้าอยู่ได้ทั้งวัน
ข้าก็จะมีชีวิตต่อไป ฮ่าฮ่า” เย่ว์หยางหัวเราะ
“เจ้าช่างมีอารมณ์ขันจริงนะ
ทั้งที่คำพูดของเจ้าไม่เป็นความจริงฮ่าฮ่า”
เทพีเสรีภาพดูเหมือนจะมองความคิดของเย่ว์หยางออก
“อะแฮ่ม, ข้าเป็นปุถุชน ย่อมต้องกลัวตายเป็นธรรมดา...” เย่ว์หยางเขินเล็กน้อย
ทำให้คนที่เห็นอดรู้สึกขันไม่ได้
เปลี่ยนเป็นคนอื่นเย่ว์หยางอาจให้คำตอบตรงกันข้ามราวกับฟ้าและเหว แต่กับเทพีเสรีภาพผู้มีหัวใจเปิดกว้างอยู่เสมอ
เขามิอาจตัดใจพูดเหลวไหล
“บางทีตอนเริ่มแรกของชีวิต เจ้าอาจจะกลัวตาย
นั่นเป็นเรื่องปกติของสรรพชีวิต
แต่วันนี้เจ้าไม่ต้องเป็นอย่างนั้น เจ้ามีปณิธานและพลังเทพ
เจ้าคงไม่คิดเรื่องอย่างนี้มานานแล้ว ถึงข้ามองไม่เห็นความจริงในตัวเจ้าได้
แต่ข้ารู้สึกได้เลือนราง เจ้าอยู่เหนือโลกทั้งมวล
ในอนาคตเจ้าอาจจะสร้างโลกของเจ้าเองก็ยังได้....อย่างเจ้าจะกลัวตายได้อย่างไร?
เจ้าเพียงแต่สงสารเห็นใจชีวิตของข้า เพราะการปรากฏตัวของข้าไปสัมผัสหัวใจที่ปกปิดของเจ้า
จริงไหม? แม้โดยผิวเผินเจ้าจะปฏิเสธจะยอมรับก็ตาม
แต่ข้ารู้สึกมีความสุขใจมาก
ที่สำคัญคือมีบางคนที่ยังห่วงใยข้า!”
เทพีเสรีภาพลอยตัวขึ้นและยกมือเล็กน้อยให้เย่ว์หยาง
“ท่านต้องการดำเนินชีวิตต่อไปอย่างนี้หรือ?”
เย่ว์หยางตัดสินใจถามคำถามสุดท้าย
“ข้าไม่ทราบ! แต่คนอย่างข้าถ้าไม่ทำอย่างนี้
แล้วจะทำอะไรได้?
เจ้ามีเป้าหมายที่เด่นชัด
แต่ข้าขอบอกโดยไม่กลัวเจ้าหัวเราะเยาะ
ข้าเองก็ไม่มีเป้าหมายในชีวิต
ถ้าข้าไม่ทำอะไรเลยข้าจะรู้สึกสับสน”
นี่เป็นครั้งแรกที่เทพีเสรีภาพแสดงอากัปกิริยาเหมือนกุลธิดาในตระกูล
ไม่ใช่ในฐานะของเทพีเสรีภาพ เป็นอาการของหญิงสาวที่รู้สึกสับสน
“ข้าเข้าใจ” เย่ว์หยางยังคงมีใบหน้าที่ยิ้ม
สีหน้าอารมณ์สับสนอย่างนี้ทำให้นางดูน่ารักจริงๆ เขาพยายามข่มความรู้สึกอยากเข้าไปหยิกแก้มนาง
เขาโบกมือให้นางแล้วเดินไปที่ห้องโถง
“เป็นคนที่แปลกจริงๆ... แม้จะดูน่าอึดอัดใจ
แต่ก็เป็นคนน่าเชื่อถือ”
เทพีเสรีภาพลูบแก้มซ้ายของนาง
ลักษณะท่าทางของนางราวกับว่าถูกเย่ว์หยางยื่นมือเข้ามาหยิกแก้มแล้ว
เย่ว์หยางไปที่ห้องด้านหน้ามองดูรอบๆ
เพื่อหาตัวหมิงลี่ฮ่าว
เขาพบว่าเจ้าผู้นี้นอนหลับเป็นตายอยู่ในห้อง อดฉุนเฉียวไม่ได้
เขาเตะที่ประตู
หมิงลี่ฮ่าวลืมตามองดูเย่ว์หยาง
ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
นี่เขาไปยั่วโมโหเจ้าเด็กนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เย่ว์หยางถลึงตามองเขาจนเขารู้สึกเหมือนเป็นคนผิด “ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
ข้าเชื่อว่าไม่มีอะไรเกี่ยวกับข้า
ข้าแค่กำลังหลับ!”
เย่ว์หยางแค่นเสียงเย็นชา
“สาวงามจูกวงก็คือสาวใช้ที่หลบหนีมาจากตระกูลของเจ้า ไม่จำเป็นต้องบอก
แต่ท่าทางของเจ้ามันฟ้อง ต่อให้เป็นคนตาบอดก็รู้
ตอนนี้ข้าอยากจะรู้ เจ้ามีความสัมพันธ์ใดกับนาง? อย่าบอกข้านะว่านางเป็นแค่สาวใช้ธรรมดา
นางมีลูกปัดอธิษฐานของวิเศษระดับกึ่งเทพอยู่กับตัว
อย่ามาใช้คำพูดหลอกเด็กกับข้าว่าเป็นสัมพันธ์เจ้านายกับสาวใช้ธรรมดา นี่เจ้ามาไกลเป็นหมื่นๆ ลี้เพื่ออะไรกัน? นอกจากนี้เจ้าเห็นนางแล้วทำไมไม่เข้าไปจับนางโดยตรง
แต่เจ้ากลับซ่อนตัวทำไม?”
หมิงลี่ฮ่าวเถียง “ข้าจะมาหาคัมภีร์เทพบ้างไม่ได้หรือยังไง? ไม่ใช่แค่มาจับสาวใช้?”
เย่ว์หยางชูนิ้วกลางให้เขาสองนิ้ว
“เจ้านึกว่าคนที่มีสติปัญญาปกติจะยอมเชื่อคำแก้ตัวของเจ้าหรือ?
อย่าว่าแต่สมองของข้า มากกว่าของเจ้าถึงสองเท่า
รู้ไว้ด้วย!”
หมิงลี่ฮ่าวโมโหกับคำอวดอ้าง สมองเจ้ามากกว่าข้าสองเท่าหรือ?
เจ้าเป็นคนฉลาดแน่นอน
แต่ก็ไม่มีใครโง่เช่นกัน เด็กน้อยเจ้าจะกวนโมโหข้าจนคลั่งใจตายอย่างนั้นหรือ?
เขาพยายามถลึงตามองตอบโต้ แต่เย่ว์หยางทิ้งประโยคเด็ด
“ถ้าเจ้าไม่ตอบคำถามแต่โดยดี เราคุณชายจะพาพวกพ้องกลับหอทงเทียน
แล้วทำลืมไปซะว่ามีเรื่องสำคัญที่ยังไม่ได้ทำ ปล่อยให้เจ้าจัดการเรื่องยุ่งเหยิงนี้เอาเอง”
หมิงลี่ฮ่าวจะยอมรับเขาได้อย่างไร?
เจอหน้ากับเจ้าเด็กหน้าด้าน เขาต้องยอมรับว่าเป็นคราวเคราะห์ “ลืมไปแล้วหรือยังไง
ข้าบอกไปแล้วว่าความจริงสาวงามจูกวงเป็นหญิงรับใช้คนสำคัญที่รับใช้ใกล้น้องสาวของข้า
ในช่วงทำสงครามกับจักรพรรดิอวี้ นางรับหน้าที่กลับไปขอกำลังเสริม
แต่กำลังเสริมก็ไม่มา จักรพรรดิอวี้นักรบผู้แข็งแกร่งปรากฏตัวเข้าโจมตีอย่างไม่คาดฝัน
ในการรบครั้งต่อมาเขาใช้ของวิเศษสามอย่างกักขังเราไว้ในวิหารจักรพรรดิอวี้ เจ้าบอกข้าที
จะให้ข้าจับจูกวงผู้อาจจะสมคบคิดกับตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่?”
เย่ว์หยางปรบมือ “ดี แก้ตัวได้ดี ข้าจะไปคาดเดาได้ยังไง ข้าเพียงสงสัยว่าสาวงามจูกวงเป็นคนรักน้อยของเจ้าหรืออะไรทำนองนั้น
เจ้าส่งสาวใช้ที่ไม่น่าไว้วางใจกลับมาขอกำลังเสริมหรือ? นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างบุพการีกับลูกหลาน
ความสัมพันธ์ระหว่างหญิงชู้และหญิงนอกใจแข็งแกร่งที่สุด เจ้าไม่ต้องพูดเล่นลิ้นต่อไปแล้ว ข้าไม่ใช่คนตาบอด ไม่ใช่คนโง่
จูกวงเป็นคนรักของเจ้า และข้าก็ไม่สนใจเรื่องนั้น
แต่ลูกปัดอธิษฐาน ของวิเศษระดับกึ่งเทพที่ประดับหน้าผากนาง ข้าขอ, จะเอาไว้เป็นสินสอดทองหมั้นตอนข้าไปสู่ขอแต่งงานกับหมิงเยี่ยกวง!”
“ทำไมเจ้าไม่ฉกเอาเองเล่า?” หมิงลี่ฮ่าวโมโหจัดจนแทบกระอักโลหิต เขาไม่เคยเห็นคนอย่างนี้มาก่อนในชีวิต เจ้าเด็กนี่หน้าด้านขนาดนี้ รอดพ้นจากการถูกสวรรค์ลงโทษมาได้ยังไง?
…………,
9 ความคิดเห็น:
555 เรียบร้อย ไถของแล้ว กลับบ้านได้
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ยังๆๆแค่เอ่ยปากขอ..ยังไม่ได้ของเลยอ่ะ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ใจจ้า
พี่เยว่คนนี้เขาสุดจริงๆ555+
ขอบคุณมากครับ
แสดงความคิดเห็น