วันอาทิตย์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 956 เกาะกลาง ทะเลสันติและตุลาการ


ตอนที่  956  เกาะกลาง ทะเลสันติและตุลาการ
เกาะกลาง บึงหยุดลม
 
เกาะกลาง ไม่ใช่เกาะธรรมดา แต่มีขนาดใหญ่โตกว้างขวาง คาดว่ามีขนาดใหญ่โตมากกว่าเมืองลู่หลิวถึงร้อยเท่า
บนเกาะไม่มีไม้ดอก ไม้ต้นงอกงามให้เห็นแม้จะมองจนสุดหูสุดตาก็ตาม ในพื้นที่มีรอยฉีกขาดให้เห็น  นี่คือความพินาศยุ่งเหยิงสับสน  ในอดีตควรจะมีอารยธรรมที่เจริญก้าวหน้าไม่น้อย ซากปรักหักพังที่มีกำแพงล้อมหลายแห่งยังมีร่องรอยอารยธรรมให้เห็นอยู่บ้าง อารยธรรมที่สาบสูญล่มสลายไปนี้ดูเหมือนว่าจะก้าวหน้าสูงส่งมากมาย  อย่างน้อยก็ในแง่ของการสร้างวงเวทอักขระรูนที่ใช้ควบคุมพลังงาน ดูเหนือกว่าอาณาจักรล่างๆ ในปัจจุบัน
หลังจากมีกลุ่มอาคันตุกะเข้ามาเยี่ยมชม เมื่อพวกเขาแหงนหน้ามองดูเหนือใจกลางเกาะจะมีทะเลแห่งหนึ่ง
เป็นทะเลที่ขัดกับความรู้สึกทั่วไป ทะเลเล็กและเงียบสงบ
นักสู้ปราณฟ้าทั่วไป เมื่อได้เห็นทะเลนี้อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
อย่างไรก็ตามคณะองครักษ์ที่ปลอมตัวคุ้มกันเย่ว์หยางลอบสะท้านใจ... ทะเลนี้สงบเยือกเย็นมากเกินไป พวกเขาไม่เลยพบกับความเยือกเย็นสงบแบบนี้มาก่อน  แต่เย่ว์หยางไม่รู้สึกแปลก
สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งคล้ายคลึงกับทะเลนี้
นั่นคือกุ่ยหยินไฟ
เพียงแต่ทำลายสมดุลพลังงานเพียงเล็กน้อย มันอาจปล่อยพลังยิ่งกว่ากุ่ยหยินไฟถึงพันเท่า
กุ่ยหยินไฟที่คล้ายกับทะเลนี้แทบจะคล้ายกันมาก เพียงแต่คุณสมบัติธาตุพลังงานแตกต่างกัน กุ่ยหยินที่เขาพบก่อนนั้นเป็นธาตุไฟ  ส่วนกุ่ยหยินนี้เป็นธาตุน้ำ พลังทั้งหมดนี้เป็นของใคร? ในใจของเย่ว์หยางปรากฏคำถามนี้ขึ้น  ถ้าสามารถได้รับวิธีการควบคุมเจ้าสิ่งนี้ได้ จากนั้นการดูดซับพลังกุ่ยหยินไฟจะทำได้ง่าย ในอนาคตเมื่อเข้าแดนล่มสลายแห่งทวยเทพก็จะมีหลักประกันเพิ่มเติม  แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ทะเลที่สงบอย่างแปลกประหลาดข้างหน้าเท่านั้น แต่ทั่วทั้งเกาะเย่ว์หยางคิดว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่คุ้มแก่การขุดลึกตรวจสอบ
อารยธรรมโบราณที่มีความก้าวหน้าชั้นสูงนี้ จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูให้เหมือนเดิม  เพื่อตัวเขาเอง
ทั้งยังจะเกิดประโยชน์อย่างมาก
 “ทะเลแห่งนี้เรียกว่าทะเลสันติ  ทะเลบนนี้ไม่สามารถเอาเรือมาแล่นได้ ไม้ไม่อาจลอยน้ำได้ แม้แต่ขนนกก็ยังจมลงได้”  หมิงลี่ฮ่าวยืนอยู่ด้านข้างและอธิบายให้เขาฟังเบาๆ
 “พลังหยุดลมบวกกับพลังน้ำอ่อนหยุ่น ที่นี่คือกับดักมรณะชัดๆ”  เย่ว์หยางลอบระมัดระวัง สมรภูมิต่อสู้ที่ศัตรูเลือกนั้นยอดเยี่ยมเกินไป
 “เจ้าพูดถูก เหนือทะเลสันติ มีแต่เพียงต้องใช้ความสามารถพิเศษหรือใช้พลังสมบัติวิเศษช่วยสนับสนุน มิฉะนั้นนักสู้ปราณฟ้าที่มีพลังต่ำกว่าระดับสามที่ติดตามมาจะพลาดท่าจมน้ำตายได้”  หมิงลี่ฮ่าวเปลี่ยนวิธีส่งข้อมูลเปิดเผยเฉพาะคนที่รู้จักและเย่ว์หยาง  “ต่อไปพวกเจ้าต้องระมัดระวัง ข้ามีลางสังหรณ์ไม่ดี อย่างน้อยมีคนหนึ่งที่แข็งแกร่งระดับเดียวกับข้ามาถึงแล้ว ระดับพลังที่รองลงมาจากพวกเขามีหลายคนที่มีพลังใกล้เคียง... สถานการณ์ที่ดีที่สุดของเราก็คือคนพวกนี้เป็นศัตรู ถ้าไม่ใช่ ศัตรูเป็นกลุ่มเดียวกัน การโจมตีครั้งนี้จะต้องประสบความสูญเสียอย่างหนักแน่นอน!
 “ศัตรูวางกำลังลอบทำร้าย ต่อให้หนี แต่จะหนีได้ง่ายดายนักหรือ?” เย่ว์หยางแค่นเสียงเย็นชา
เขาเห็นด้วยกับสิ่งที่หมิงลี่ฮ่าวพูด
ลากศัตรูกลับมา
ต่อสู้เสี่ยงเป็นตาย นั่นไม่ใช่เรื่องฉลาดเลย
อย่างไรก็ตามหลังจากศัตรูลอบวางแผนลอบฆ่าเป็นระลอก ทำให้กระตุ้นโทสะเย่ว์หยาง
เกี่ยวกับคนดื้อด้านดึงดัน เย่ว์หยางไม่ยอมหลบอยู่แล้ว  เพราะเขาเชื่อลึกๆ ว่าคนที่กระดูกแข็งที่สุดจะได้หัวเราะในท้ายที่สุด
การล่าถอย มองในแง่ดีก็คือการเปลี่ยนแปลงทางกลยุทธ์  แต่ถ้ามองในแง่ร้ายก็คือหนี  แม้ว่าบางครั้งจำเป็นต้องมีการยักย้ายทางยุทธวิธี แต่ก็เป็นนักยุทธวิธีเท่านั้นยังไม่สามารถยืนยันการทดสอบที่แท้จริง นักรบที่สามารถฝึกฝนก้าวหน้าในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดจะมีความแข็งแกร่งก้าวหน้า!  มีคำกล่าวว่า ลมเหนือสร้างนักรบไวกิ้ง กล่าวได้ว่านี่เป็นความจริงที่คล้ายกัน
หากไม่มีสภาพแวดล้อมที่รุนแรงโหดร้าย ไม่เคยพยายามท้าทายความยากลำบากถึงขีดจำกัดครั้งแล้วครั้งเล่า  นักรบจะเติบโตก้าวหน้าอย่างจำกัด
เหตุผลที่เย่ว์หยางสามารถประสบผลสำเร็จเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
เหตุผลหลักที่สุดก็คือ เขาท้าทายขีดจำกัดของตนเอง
วันนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มศัตรูที่ทรงพลังซ่อนเร้นตนเองอยู่ในความมืด ถ้าเขาเลือกที่จะล่าถอยทางยุทธวิธี แล้วการเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งในอนาคตเล่า จะเป็นยังไง? จำเป็นต้องหลบหนีอีกครั้งหรือไม่?
มองอย่างผิวเผิน เย่ว์หยางไม่พูด แต่เขาตั้งใจแน่วแน่ ในเมื่อศัตรูเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นศัตรูทรงพลังหรืออ่อนแอ พวกเขาทุกคนจะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีทางถอย ไม่มีทางหลีกเลี่ยง แต่เป็นการยืนหยัดสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกับศัตรู  เหยียบย่ำศัตรูทรงพลังให้ราบคาบ แม้พบกับศัตรูที่ทรงพลังมากขึ้นก็ยังคงเหมือนเดิม คือย่ำให้ราบ!
นี่คือเย่ว์หยาง!
เย่ว์หยางเป็นเช่นนี้!
ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างเขากับหมิงลี่ฮ่าวก็คือ เขามีจิตใจที่มุ่งมั่นต่อสู้ที่มากกว่า
ไม่ว่าศัตรูของเขาจะเป็นใคร ไม่ว่าศัตรูจะแข็งแกร่งขนาดไหน ไม่ว่าศัตรูจะอยู่ยงคงกระพันเพียงไหนก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะล้มลงทีละคนและกลายเป็นหินรองเท้าให้เย่ว์หยางกลายเป็นพลังงานให้เย่ว์หยางยกระดับพลัง... “แล้วแต่เจ้าเถอะ ข้าบอกเจ้าอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น ในศัตรูที่ทรงพลังหลายคนนั้นมีพลังมากระดับเดียวกับข้าเล่าฮ่าวที่กำลังฟื้นฟูพลัง อย่างมากข้าแค่ช่วยเจ้าสู้ได้แค่คนเดียว นอกนั้นเจ้าคงต้องช่วยข้ารวบรวมศพ ที่จริงแล้วเจ้าก็เข้าใจว่าคนระดับพลังอย่างข้านี้ดีพอ  ข้าไม่สามารถแบกภาระสู้ทีเดียวสองคนได้”  หมิงลี่ฮ่าวมีพลังปราณราชันย์ระดับแปด ถ้าศัตรูหลายคนมีพลังระดับเดียวกับเขามีหลายคน เย่ว์หยางย่อมปวดหัวแน่นอน  สิ่งที่สร้างปัญหาให้เย่ว์หยางมากที่สุดก็คือ  พลังในพื้นที่บึงหยุดลมนั้นปั่นป่วนวุ่นวายคาดเดาไม่ได้   ต่อให้เขาตั้งใจกลับไปหอทงเทียนเพื่อขอความช่วยเหลือ ก็คงไม่สามารถเทเลพอร์ตกลับไปยังสถานที่เดิมได้
ทะเลสันติแห่งเกาะกลางนี้ยิ่งยากจะทำเช่นนั้นได้
มีขีดจำกัดแห่งความสมดุลของพลังอยู่ คิดจะออกไป เป็นเรื่องที่ยาก
จะใช้เข็มทิศสามพิภพเทเลพอร์ตกลับไปยังหอทงเทียนอีกครั้งยากยิ่งกว่าหาเข็มในกองฟางเสียอีก
นอกจากนี้ ถ้ากลับไปยังหอทงเทียน กว่าจะผ่านบันไดสวรรค์หลายแสนขั้นไปพบกับจักรพรรดินีราตรีและจื้อจุนทั้งคู่ เวลาก็คงไม่เพียงพอ
ในสนามรบมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นไปไม่ได้ที่จะเอากำลังเสริมมาถึงได้ภายในสิบวันครึ่งเดือน...เย่ว์หยางคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนว่าเขาต้องเผชิญกับศัตรูที่ทรงพลังตามลำพัง  ยิ่งกว่านั้นยังไม่ใช่คนเดียว
หมิงลี่ฮ่าวตบไหล่ของเย่ว์หยางเบาๆ และพูดหยอกล้อ “ถ้าเราสู้ชนะได้ในครั้งนี้คัมภีร์เทพเป็นของเจ้า ข้าเล่าฮ่าวยอมเสียเปรียบขอร่างเทพเท่านั้น” เมื่อเย่ว์หยางได้ยินเช่นนั้นไม่ทราบว่าเขาลุกขึ้นมาได้อย่างไร?  ด้วยสติปัญญาแค่นี้ยังกล้าอวดอ้างตัวเองอีกหรือ? เขาชูนิ้วกลางทั้งสองข้างให้หมิงลี่ฮ่าวและตอบเขา  “เลิกขี้เหนียวได้แล้ว!
ราชาจื่อฟงกระแอม
เทวีเสรีภาพในตอนนี้ปลอมตัวในรูปลักษณ์หนึ่ง ราชาว่านเจียวถูกปลอมในอีกรูปลักษณ์หนึ่ง ยืนอยู่กับราชาชิงหลางและราชาโหลวลั่วอยู่ข้างหลังราชาจื่อฟง ในรูปลักษณ์พรางตัว
เพราะความสามารถของจักรพรรดิใต้พิภพร่วมผสาน มองดูผิวเผินนางจะเหมือนกับราชาว่านเจียว
ถ้ามองผิวเผินจะไม่มีทางมองออก
มารสัมฤทธิ์ฟ้าและจักรพรรดิมังกรก็ตื่นตัวเช่นกัน พวกเขาพูดคุยกันเรื่องแผนการรับมือกับเย่ว์หยางและหมิงลี่ฮ่าวทันทีที่พวกเขารู้สึกถึงพลังศัตรูได้ชัดเจนที่สุด  พวกเขารู้ได้ชัดมากกว่าราชาจื่อฟง  ในตอนแรกเย่ว์หยางไม่คิดว่ามารสัมฤทธิ์ฟ้ากับพวกจะต้องเข้าสู่สงครามครั้งนี้  เพราะการต่อสู้ครั้งนี้อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ไม่ว่าใครได้รับบาดเจ็บอาจจะต้องส่งตัวกลับไปยังหอทงเทียน
อย่างไรก็ตามมารสัมฤทธิ์ฟ้าและจักรพรรดิมังกรและพวกยืนยันจะเดินทางไปด้วยกันและร่วมต่อสู้จนถึงที่สุด
นอกจากเพิ่มพูนประสบการณ์แล้ว พวกเขาตั้งใจลอบคุ้มกันเย่ว์หยาง  ที่สำคัญคือเจ้าเด็กเย่ว์หยางคือเสาหลักในการยกระดับหอทงเทียน
ไปด้วยกันนับว่าดี แต่เจ้าเด็กนี่ไม่อาจผิดพลาดได้แม้แต่น้อย... บางทีในการต่อสู้อาจไม่ช่วยเขาได้เท่าใดนัก  แต่ในยามคับขันควรจะมีใครที่ยืนหยัดเสียสละตนเองเพื่อเขาสักหนึ่งวินาที จากนั้นเข็มทิศสามพิภพของเขาจะใช้พลังได้ง่าย
ทะเลสันติ
บนผิวน้ำที่น่ากลัวอย่างแปลกประหลาดนี้ มีตัวประหลาดยืนลอยตัวสงบนิ่งอยู่
คนผู้นี้มีร่างสูงมาก แขนขาเรียวยาว ผมยาวหวีเป็นมุมโค้งคล้ายเขาควาย ปลายผมยาวมัดไว้ด้วยปลอกกลมขนปุยดำสลับขาว ขณะเดียวกันเขาสวมหน้ากากดำครึ่งหนึ่งขาวครึ่งหนึ่งซ้ายขวา สองด้านขัดแย้งดูแปลกประหลาด
เขาสวมผ้าคลุมสีเลือดนก เท้าสวมรองเท้าหุ้มส้นปลายแหลม
สิ่งที่ทำให้นักสู้ปราณฟ้าที่กำลังมองดูเห็นแล้วถึงกับหรี่ตามองก็คือ คนผู้นี้ถือเคียวปีศาจขนาดยักษ์
เคียวนั่นเมื่อเทียบกับร่างของเจ้าของมีขนาดใหญ่มากกว่าถึงสามเท่า สีดำสนิทยิ่งกว่าเคียวปีศาจ
เคียวปีศาจนี้ไม่เคลื่อนไหวก็แล้วไป แต่ถ้าเคลื่อนไหว มีอานุภาพผ่าฟ้าผ่ามิติได้
 “สมบัติระดับเตรียมเทพ”  มารสัมฤทธิ์ฟ้าพูดอย่างเยือกเย็น  ศัตรูของเขาพลังแข็งแกร่งมากจนเขาต้องเอ่ยปากพูดเพื่อคลายความกดดันในใจ
 “คนผู้นี้ยกให้พวกท่าน” เย่ว์หยางลอบส่งสัญญาณให้มารสัมฤทธิ์ฟ้า  แน่นอนว่าเขารู้ระดับพลังปัจจุบันของมารสัมฤทธิ์ฟ้า การสู้ประลองกับศัตรูที่ทรงพลังนี้เป็นเรื่องที่ไม่เต็มใจ  เย่ว์หยางพูดอย่างนี้เพื่อให้พวกเขาทุ่มเทกำลังเกินขีดจำกัด  มารสัมฤทธิ์ฟ้าเข้าใจความตั้งใจของเย่ว์หยาง เขากำหมัดพยักหน้าและพูดช้าๆ  “ดี!
อย่างน้อยมีพลังปราณฟ้าระดับหก บางทีอาจถึงระดับเจ็ด ทั้งเผชิญกับอาวุธระดับเตรียมเทพอีกด้วย..”  หมิงลี่ฮ่าวลอบคุยกับเย่ว์หยาง ศัตรูพลังขนาดนั้น มารสัมฤทธิ์ฟ้าออกไปสู้ อาจจะตายได้ง่ายๆ
 “เขาทำได้!  เย่ว์หยางไม่เปลี่ยนใจ
 “....” แม้ว่าหมิงลี่ฮ่าวจะพูดเบา แต่มารสัมฤทธิ์ฟ้าก็ได้ยิน
ร่างของเขาสั่นเล็กน้อย หลังจากเย่ว์หยางตอบกลับมาว่าเขาสามารถทำได้ ความต้องการสู้ทำให้เขาตื่นเต้น
แตกต่างออกมาจนมารสัมฤทธิ์ฟ้าแทบควบคุมไม่ได้  ตัวประหลาดที่ยืนถือเคียวปีศาจอยู่เหนือผิวน้ำทะเลสันติ เห็นได้ชัดว่ามีแสงและเมฆแสง เขาเหลือบมองมาทางราชาจื่อฟงและกลุ่มนักสู้ปราณฟ้า และเอ่ยปากพูดเบาๆ  “นักสู้ระดับราชาหลายคน  ข้าจะเป็นผู้ชี้ขาดในครั้งนี้ ความแค้นเคืองระหว่างพวกเจ้าสามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีการที่ตกลงกันไว้ ข้าจะไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จนกว่าพวกเจ้าจะคลี่คลายบุญคุณความแค้นได้  ตลอดทั้งกระบวนการพวกเจ้าทุกคนสามารถคัดค้านหรือเสนอได้ ตราบเท่าที่ได้ข้อสรุป  ข้าต้องการเสนอวิธีที่ยุติธรรมที่สุด”
ตอนนี้แม้แต่คนตาบอดก็ดูออกว่าผู้ตัดสินนี้มาจากที่ไหน
ตำหนักกลางแดนสวรรค์
นอกจากสถานที่นั้น จะไม่มีการตัดสินใดๆ อีกมีแต่ความหยิ่งยโสไม่แยแสใคร
ยกเว้นตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นั่น โลกจะไม่ต้องมีการตัดสินใดๆ อีก  มีแต่ประกาศความชอบธรรมของตัวเอง!

5 ความคิดเห็น:

zen zen กล่าวว่า...

ผ่ามันไห้ขาดครึ่งไปเลยมารฟ้า

ulomzx กล่าวว่า...

ศึกคร้้งนี้เย่ว์หยางจะได้อะไรเป็นรางวัลหรือ

Minamoto กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

akekapoj-tee กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ

chay กล่าวว่า...

เคียวละมั้ง

แสดงความคิดเห็น