วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2563

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 1242 เทพก็คาดไม่ได้

 

ตอนที่  1242  เทพก็คาดไม่ได้

ค่ายซางอู่ หอทงเทียนชั้นหนึ่ง

 

 “ดี, กลับมาได้ดี ดีจริงๆ!  จุนอู๋โหย่วมีความในใจจะพูดเป็นพันคำ แต่เขาพูดไม่ออก  แต่สิ่งที่ทำให้เขาภูมิใจที่สุดไม่ใช่แค่ผู้เยาว์ซึ่งเป็นความหวังของหอทงเทียนอยู่ข้างหน้า  จากราชอาณาจักรที่เขาปกครอง เด็กสาวที่ถือดาบเทพพยัคราชก็คือธิดาสุดที่รักของเขาเอง!

ผู้เยาว์รุ่นหลังมีทั้งเด็ก มีทั้งสตรีผู้แข็งแกร่ง ผู้เป็นสามีทำตามคำขอแบบไหน?

เขาไม่ได้เดินออกมาข้างหน้า

ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะยืนพูด  ขณะนั้นเองเขาต้องการเพ่งมองไปที่บุรุษหนุ่มคนหนึ่ง บุรุษที่คนทั้งหอทงเทียนทุกคนรอคอย เขาคือเย่ว์ไตตัน หรือคุณชายสามตระกูลเย่ว์

ไม่มีใครส่งเสียง ทุกคนยืนนิ่งทำความเคารพหนักแน่นเหมือนภูเขา

กำลังรอการตรวจสอบจากบุรุษหนุ่มผู้นี้

เมื่อเขาเดินเข้ามาหา

ไม่ว่าจะเป็นทหารผ่านศึกมีประสบการณ์ต่อสู้มาเป็นเวลานาน หรือเป็นอัศวินมังกรเด็กใหม่ พวกเขาก็ยังอดตื่นเต้นดีใจไม่ได้

ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ไม่วางตัวเป็นประมุขตระกูลหรือเป็นปู่  เขาเป็นเหมือนทหารผ่านศึกที่รอรับคำสั่งผู้บัญชาการคนใหม่  ดวงตาของเขาจับนิ่งที่เด็กหนุ่มผู้นี้และรู้สึกภาคภูมิใจและเติมเต็มหัวใจของเขาอย่างไม่เคยปรากฏมีมาก่อน  ในเวลานั้นเขาเคยมองดูบิดาของบุรุษหนุ่มผู้นี้  แต่โชคไม่ดีบิดาของเขาไม่เคยกลับมาอีกเลย  วันนี้เขาได้รับเกียรติอีกครั้งและมากกว่าปีนั้นเป็นพันเท่า  นี่ไม่ใช่การต่อสู้ทางเผ่าพันธุ์ระหว่างมนุษย์และเผ่าปีศาจอีกต่อไป  บุรุษตัวเล็กที่ยืนอยู่ต่อหน้าชาวโลก  เขายืนอยู่ระดับสูงสุดของผู้บัญชาการหอทงเทียนทั้งหมดเพื่อต่อสู้กับการรุกรานของแดนสวรรค์  มีเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์อันยาวนานนี้  แต่ความจริงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับเกียรตินี้

คนเหล่านั้นเป็นสุดยอดนักสู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในรอบหมื่นปีที่ผ่านมา

ตัวอย่างเช่น นางพญาผู้พิชิตเฟ่ยเหวินหลี

หรือจักรพรรดิอวี้ จ้านฟง

วันนี้เด็กน้อยที่รับสืบทอดความแข็งแกร่งและรับมรดกตกทอดจากคนรุ่นก่อนของเขา  หนุ่มน้อยที่ไม่เคยนึกภาพตัวเองออกว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะ เป็นยอดคนที่ในระยะแรกถูกคนดูหมิ่นดูแคลนว่าเป็นเศษสวะ บัดนี้เขายืนอยู่ใจกลางหอทงเทียนเป็นผู้นำเหมือนจักรพรรดิอวี้หรือนางพญาผู้พิชิตในยุคไกลโพ้น  สำหรับแดนสวรรค์ที่ทรงพลังและอยู่ห่างไกลออกไป นี่คือการต่อต้านที่ทรงพลังที่สุด!

เขาพูดด้วยเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาทันที!

 “หอทงเทียนของเราไม่เคยขาดแคลนนักรบ ไม่เคยขาดแคลนจิตวิญญาณนักสู้” เย่ว์หยางหยุดก่อนมองดูผู้ชมโดยรอบ จากนั้นในท่ามกลางความเงียบของค่ายซางอู่  จากนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนประกาศเจตนารมณ์ของเขาสู่ชาวโลก  “บรรพบุรุษของพวกเรานับไม่ถ้วนได้ล่วงลับไปแล้วในแม่น้ำสายประวัติศาสตร์อันยาวนาน แต่พวกท่านได้ทิ้งแนวทางที่ดีที่สุดไว้ ทัศนคติที่แกร่งกร้าว  หอทงเทียนเราจะไม่ยอมแพ้ เราอาจล้มลง เราอาจถูกฆ่าตาย  แต่เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะเอาชนะเราได้ตลอดไป!  หอทงเทียนเราจะไม่ยอมแพ้!  นักรบของหอทงเทียนเราก็จะไม่ยอมแพ้  ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นนักรบจากแดนสวรรค์หรือกองกำลังจากตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์  พวกเขาจะต้องละทิ้งความคิดที่จะเอาชนะเรา!  ลุกขึ้นเถิดสหายข้า, ทั้งที่ข้ารู้จักและไม่รู้จัก เรามาปกป้องมาตุภูมิของเราเหมือนอย่างที่บรรพบุรุษของเรานับไม่ถ้วนได้ทำมาในอดีต  จงใช้เลือดและความกราดเกรี้ยวบอกศัตรูด้วยการต่อสู้และเข่นฆ่า บอกให้พวกเขารับรู้ว่าหอทงเทียนไม่ใช่พวกขี้ขลาด!

 “เฮ......”

ค่ายซางอู่มีเสียงโห่ร้องของนักรบที่มีจิตใจห้าวหาญดังสนั่นหวั่นไหว

ทุกคนชูกำปั้นขวาโบกอยู่ในอากาศอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาโห่ร้องเหมือนสุนัขป่าหิวโหย ทุกคนรวมทั้งจักรพรรดิชาวมนุษย์อย่างจุนอู๋โหย่ว ราชาเอลฟ์ทองผู้สง่างามบางคนก็ตะโกนราวภูเขาไฟระเบิดระบายความโกรธที่อัดอั้นพร้อมกับความปรารถนาเข้าต่อสู้

พวกเขาเป็นเหมือนไฟ

ไฟที่ถูกจุดด้วยคำพูดของเย่ว์หยาง และเผาไหม้ทันที

 “หอทงเทียนจะไม่มีวันยอมแพ้!  หอทงเทียนเราไม่ใช่พวกขี้ขลาด!” ผู้เฒ่าเย่ว์ไห่ชูแขนข้างที่เหลือของเขาและนักรบด้านหลังของเขาทหารผ่านศึกอีกนับไม่ถ้วน  ส่งเสียงโห่ร้องคำรามแสดงความมุ่งมั่น  ในขณะนั้นเองเขารู้สึกเหมือนกลับไปสู่สนามรบที่ซึ่งเขาออกศึกเป็นครั้งแรกในอดีต ในสภาพแวดล้อมที่สิ้นหวัง  อารมณ์ความกลัวถูกขจัดออกไป เหลืออยู่แต่ความคลั่งไคล้กระหายเลือดในการต่อสู้

 “เราจะสู้ ไม่มีวันยอมแพ้!  แม้แต่พวกปราชญ์บัณฑิตสูงอายุก็ยังมีอารมณ์ร่วมเปล่งเสียงดังที่สุดในชีวิตออกมา

บางทีอาจเป็นความปรารถนาที่พวกเขามีตลอดในช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่ในโลก

อย่างไรก็ตามแม้ว่าพวกเขาจะแก่เกินและอ่อนแอเกินกว่าจะมีชีวิตรอดได้

แต่พวกเขาไม่เคยสูญเสียจิตใจนักสู้ให้กับความกลัว

ทุกคนรู้ว่าเมื่อมีส่วนร่วมในสงครามเช่นนี้ ผลที่ออกมาน่าจะเป็นประการเดียวคือตายในการรบ แต่เป็นการตายเพื่อเกียรติยศ กลายเป็นหนึ่งในบรรพบุรุษนับไม่ถ้วนที่ทิ้งชื่อไว้ในสายน้ำแห่งประวัติศาสตร์อันเลือนราง  แต่ใครเล่าจะมีชีวิตอยู่และตายได้อย่างนี้?  พวกเขามีชีวิตอยู่มานานพอแล้วจากหลากหลายตระกูลหลากหลายสำนัก พวกเขาสนุกพอใจไปกับความเจริญรุ่งเรืองของโลกที่พวกเขากำลังค้นหาและเสียใจที่ในชีวิตของพวกเขาไม่ได้รับสิ่งนี้  ตอนนี้พวกเขาจะได้เป็นวีรบุรุษที่ต่อสู้จนตายในสนามรบเพื่อปกป้องดินแดนมาตุภูมิของพวกเขา จะได้เป็นเหมือนหนึ่งในบรรพบุรุษนับไม่ถ้วนที่ได้ทำมาก่อนหน้านั้น  บางทีคนส่วนใหญ่อาจไม่มีชื่อในสายธารประวัติศาสตร์อันยาวนาน เป็นเพียงเม็ดทรายที่ไม่มีใครทำเครื่องหมายไว้  แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นความเจริญรุ่งเรืองที่สุดในชีวิตของพวกเขา

 “อาคันตุกะผู้มีเกียรติที่มาถึงที่นี่ มีทั้งเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ปราชญ์บัณฑิตผู้ทรงภูมิความรู้สูงส่งนักรบผู้กล้าที่ได้รับการยกย่องจากโลกเป็นจำนวนมาก นักยุทธศาสตร์ประจำกองทัพที่น่าชื่นชม เอลฟ์ผู้รักสันติภาพ เผ่าพันธุ์ปีศาจที่ชอบสู้รบ ทั้งที่เคยเป็นสหายทั้งที่เคยเป็นศัตรูในอดีต ล้วนให้การสนับสนุนข้า  การรุกรานของเผ่าเก้าแสงในก่อนหน้านั้น ทำให้เราเรียนรู้จะทำงานร่วมกัน เรียนรู้ที่จะรวมตัวกันและร่วมมือกัน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การสู้รบนับไม่ถ้วน  แต่พวกท่านก็มายังที่นี้ ยอมเชื่อข้าอย่างไม่มีเงื่อนไข แม้แต่ยังยอมทุ่มชีวิตเพื่อข้า  เพื่อความไว้วางใจและความรับผิดชอบที่ทุกท่านมอบให้ข้า  ครั้งหนึ่งข้าเคยขี้เกียจที่สุด เห็นแก่ตัวมากที่สุด และกลัวเรื่องต่างๆ มากที่สุด  ข้าเย่ว์หยางแห่งตระกูลเย่ว์  จักรพรรดิอวี้รุ่นใหม่แห่งหอทงเทียน ศิษย์คนแรกที่สืบทอดตำแหน่งของนางพญาผู้พิชิตเฟ่ยเหวินหลีขอนำทุกท่านเผชิญหน้าเอาชนะผู้รุกรานจากแดนสวรรค์ให้ได้!  เราจะไม่เพียงต่อต้านศัตรูเท่านั้น  แต่เราต้องเป็นเหมือนบรรพบุรุษของเรา บุกเข้าแดนสวรรค์กอบกู้เกียรติยศของหอทงเทียนเมื่อหลายพันปีก่อนคืนกลับมา  เพื่อให้ลูกหลานของเราได้เชิดหน้ายืดอกเป็นนักรบที่มีชื่อเสียงกว้างไกล  เป็นนักรบที่มีเกียรติภูมิ ไม่ใช่หนอนที่น่าสมเพชและตกต่ำเป็นทาสพวกแดนสวรรค์  แทนที่จะได้รับการยกย่องจากคนในแดนสวรรค์ แต่กลับไม่ได้รับ เพราะพวกเขาเข้าแดนสวรรค์ไม่ได้”

 “เราเริ่มต้นมาตั้งแต่ยุคบรรพบุรุษที่ห่างไกล  เราไม่เคยเป็นทาส ไม่เคยเป็นชนบทบ้านนอกห่างไกล  ในทางกลับกัน ประวัติศาสตร์ของหอทงเทียนได้รับการปกป้องจากบรรพบุรุษของเรา  เราสามารถเชิดอกได้อย่างภูมิใจและสามารถพูดกับคนแดนสวรรค์ได้ว่าพวกเราแข็งแกร่งที่สุด!  ทวีปมังกรทะยานทำให้นักรบจากตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ต้องตัวสั่นกลัว แดนนรกทำให้นักรบจากแดนสวรรค์ต้องตื่นตระหนกเมื่อได้ทราบข่าวพวกเขา   บันไดสวรรค์คือสถานที่ฝึกสร้างนักรบ ที่แม้แต่เทพเจ้าก็ยังฝันถึง... หอทงเทียนคือบ้านที่ดีที่สุด เป็นสถานที่มีเกียรติทรงพลังที่สุด บรรพบุรุษของเราใช้เลือดเนื้อและวิญญาณรักษาปกป้องที่นี่!  ในฐานะผู้เยาว์รุ่นหลังเราจะยอมละทิ้งทุกสิ่งและคุกเข่าต่อศัตรูเหมือนเป็นบริวารและร้องขอชีวิตอย่างนั้นหรือ?  เราไม่ใช่หนอนที่น่าสมเพช  ไม่เคยเป็นมาก่อน ตอนนี้ก็ไม่เป็น และอนาคตก็จะไม่เป็นเช่นกัน!

 “ศัตรูสามารถสู้  เราก็ต้องสู้ได้จนถึงที่สุด!  ต้องสู้ เราต้องตอบโต้แดนสวรรค์เหมือนกับที่นางพญาผู้พิชิตทำไว้ ต้องตอบโต้แดนสวรรค์ ตอบโต้ตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ที่หุบเขากวงหมิง  เราจะต้องเป็นเหมือนจักรพรรดิอวี้รุ่นใหม่ เป็นเหมือนนางพญาผู้พิชิตรุ่นใหม่ เราจะทำให้ศัตรูสั่นกลัวเหมือนอย่างที่บรรพบุรุษของเราได้เคยทำมาแล้ว!

เฮ.......

เสียงโห่ร้องตั้งใจต่อสู้ของผู้อยู่ในเหตุการณ์ดังขึ้นอีกครั้ง

ทุกคนรู้สึกเหมือนเสียงตะโกนของตนเองถูกคลื่นเสียงโห่ร้องกึกก้องท่วมทับ เสียงนั้นเหมือนผสานเป็นอันเดียวกันราวกับภูเขาที่มั่นคงไม่หวั่นไหว

ทุกคนมองดูเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงกลางเปล่งรัศมีเรืองรองดุจเทพเจ้า!

ตราบใดที่เขายังอยู่ที่นั่น

ตราบนั้นทุกคนมีความหวังในหัวใจ

ตราบใดที่มีเขาอยู่ในหอทงเทียน เป็นเสมือนยักษ์ใหญ่ที่มีสมองและกระดูกสันหลัง มีขาที่สามารถก้าวไปข้างหน้า มีหมัดสองข้างที่สามารถเอาชนะศัตรู  ตราบเท่าที่เขาอยู่ที่นั่น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  หกพันปีที่ผ่านมาจักรพรรดิอวี้พ่ายแพ้การรุกรานของกองทัพแดนสวรรค์  หมื่นปีที่แล้ว นางพญาผู้พิชิตพาทุกคนออกจากหอทงเทียนเพื่อประกาศสงครามกับแดนสวรรค์  วันนี้บุรุษหนุ่มผู้นี้ทำในลักษณะเดียวกันเช่นเดียวกันกับผู้แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของหอทงเทียน  เขานำพาทุกคนสู่ชัยชนะ  เข้าสู่ยุคใหม่ และสร้างยุคใหม่!

ไกลออกไปประมาณหนึ่งพันไมล์

บัณฑิตวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งพักอย่างสบายอารมณ์วางหมากบนโต๊ะหินอย่างนุ่มนวล

เขามองดูดวงตะวันขึ้นทางตะวันออก ภาพและแสงที่สาดส่องลอดหมู่เมฆฉายลงมายังพื้นปฐพี เขาอดเงียบอยู่เป็นเวลานานไม่ได้

บัดนี้ไม่ใช่เวลาเช้าอีกต่อไป

จากนั้นชั้นเมฆหนาเปลี่ยนแปลงไปตลอดวัน  นั่นเป็นวันมีเมฆมาก

น่าเสียดายที่รัศมีอาทิตย์นั้นแรงกล้าเกินไปและรุ่งโรจน์เกินกว่าจะปิดบังได้  ตราบใดที่มีช่องว่างเล็กๆ แสงจะฉายออกมาจากท้องฟ้าจรดพื้นดินเป็นสีทอง  การเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์ต่างๆ ในท้องฟ้าสะท้อนความจริงที่ว่า กำลังคนไม่สามารถย้อนกลับหรือเปลี่ยนแปลงได้เลย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งประสงค์ของเทพเจ้าไม่มีใครบังคับได้

บัณฑิตวัยกลางคนถอนหายใจเบา  “เทพเจ้าเอย เทพเจ้า หอทงเทียนใกล้จะพินาศล่มจมอยู่แล้ว  แม้แต่ข้าก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะมีคุณชายสามตระกูลเย่ว์เกิดขึ้นมาในโลก  ที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่าคือเขาเติบโตอย่างรวดเร็วมาก!  หรือว่าหอทงเทียนมีจิตวิญญาณที่แรงกล้ามากมาย? มิฉะนั้นข้าจะพลาดความเคลื่อนไหวนี้ไปได้อย่างไรกัน?  ทำไม? นี่คืออะไร?  ทำไมถึงมีคุณชายสามตระกูลเย่ว์เกิดขึ้นมาในโลกได้?  ชะตากรรมจริงๆ ของเขาควรจะกลายเป็นหุ่นเชิดไม่ใช่หรือ?  วันนี้เป็นไปได้อย่างไรที่เขาเติบโตจนมีสภาพเป็นแบบนี้?  จ้าวปีศาจโบราณก็ไม่ได้เคลื่อนไหวผิดพลาด ทำไมข้าถึงยังพลาดอีก?  ใครแทรกแซงแผนการของข้า?  ใครปล่อยให้เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้น...”

โลกตกอยู่ในความเงียบสงบ

ไม่มีใครตอบคำถามของเขาได้

รวมทั้งเขาผู้มีภูมิปัญญาเป็นอันดับหนึ่งในตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่มีข้อยกเว้น

 

8 ความคิดเห็น:

Apirak Panyakam กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

CHANTANA กล่าวว่า...

ความมันกำลังจะเกิดบันเทิงแล้วงานนี้

zen zen กล่าวว่า...

ไอ่คนนี้เป็นใครอะตัวละครใหม่หรอม

Danupong กล่าวว่า...

เจ้าตำหนักตงฟาง

Pcha กล่าวว่า...

ขอบคุนคับ

ZeNiTh>>> กล่าวว่า...

เจ้าตำหนักใหญ่ตงฟาง

โอ้ววววร่าโอ้ววววร่าโอ้ววววร่าโอ้ววววร่าโอ้ววววร่าโอ้ววววร่า กล่าวว่า...

อ้าวเองเป็นคนเสี้ยมจ้าวปีศาจโบราณเหรอนี่

oBABYVOXo กล่าวว่า...

ตงฟาง เจ้าตำหนักละมั้ง

แสดงความคิดเห็น