วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2563

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 1276 อย่างนั้นเราจะฝึกฝนในทิศทางนี้

 

ตอนที่  1276  อย่างนั้นเราจะฝึกฝนในทิศทางนี้

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

เย่ว์หยางเห็นร่างที่เดียวดายนั่งอยู่บนยอดเขาในหุบเขาแห่งชีวิตเพื่อลืมความเศร้าความกังวล  หลังจากสูญเสียเป้าหมายไปนางตกอยู่ในความสับสน  ในเวลานี้นางไม่ได้เป็นนักสู้อันดับหนึ่งของหอทงเทียนอีกต่อไป  แต่เป็นสตรีที่เปราะบางที่ไม่สามารถหาคนพูดคุยได้   จื้อจุนผู้เดียวดาย นางอยู่ในจุดที่ยิ่งสูงยิ่งหนาวไกลจากสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ชีวิตไร้จุดหมาย

ไม่มีน้องสาวผู้วิ่งล้อมหน้าล้อมหลังนาง ไม่มีน้องชายที่สามารถสนับสนุนและสืบทอดความเชื่อของท่านแม่กับท่านป้า

มีแต่นางตามลำพัง

การฝึกฝนไม่มีทิศทางที่ถูกต้องอีกต่อไป

คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ยกระดับถึงขีดสุดแล้วไม่มีความก้าวหน้าอีกต่อไป

นางตกอยู่ในความหวาดหวั่นและเปลี่ยวเหงา  ไม่มีใครบอกนางว่าจะต้องทำอะไรในอนาคตต่อไป  แม้นางรู้มาบ้างว่ามีระดับเทพซึ่งอยู่สูงขึ้นไป และไกลยิ่งกว่านั้น... แต่นางควรจะทำอย่างไร

เป็นไปได้จริงๆ หรือที่สตรีจะเป็นสุดยอดนักสู้ผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลก?

ด้วยความสงสัยและสูญเสียเป้าหมายในอนาคต  นางจึงไปผู้นิทราเป็นครั้งที่สอง

“ข้ารู้ว่าเจ้าจะกลับมาอีก  แต่ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกลับมาเร็วนัก!  ทักษะแฝงเร้นของเจ้า ความก้าวหน้าของเจ้า น่าอัศจรรย์ที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมา แม้แต่จักรพรรดิอวี้ในปีนั้น  แม้แต่นางพญาอสรพิษผู้เก่งกาจที่สุดในตำนานก็ยังไม่ก้าวหน้ารวดเร็วเหมือนเจ้า... เจ้ามีสมาธิดีและปฏิภาณดีกว่าคนอื่นๆ”  ดูเหมือนผู้นิทราจะรู้ว่านางจะมาเหมือนกัน นางตื่นเต้นมากที่จื้อจุนสุดยอดนักสู้คนใหม่ติดอยู่ในความท้อแท้  “สถานะปัจจุบันของเจ้าถือว่าก้าวหน้าจริงๆ ตราบใดที่เจ้าสามารถบรรลุผ่านไปได้  เจ้าจะพบว่ามีระดับใหม่ที่สูงกว่ารอเจ้าอยู่”

“มีอะไรที่ข้าจะต้องทำต่อไป?”  นางไม่รู้ว่าจะผ่านสภาวะปัจจุบันได้อย่างไร

“บางทีเจ้าอาจรู้แล้วว่าคัมภีร์ระดับศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คัมภีร์อัญเชิญที่มีสภาวะสูงสุด ต่อให้มีระดับสูงส่งอย่างแท้จริงก็ตาม  แต่เหนือกว่านี้ยังมีคัมภีร์เทพ”  ผู้นิทราให้คำแนะนำ

“คัมภีร์เทพเลือกเจ้าของ ข้าไม่สามารถบังคับได้!  นางรู้จักคัมภีร์เทพ  แต่ความจริงก็คือสมบัติชั้นเทพจะเลือกเจ้านาย ไม่มีใครสามารถบังคับเรียกร้องคัมภีร์เทพได้

“ก่อนอื่นเรามาพูดถึงสภาวะของการฝึกฝนกัน รอสักเดี๋ยวข้าจะบอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องคัมภีร์เทพ”  ผู้นิทรายกหัวข้อขึ้นพบและหยุดหัวเราะ  “ตอนนี้เจ้ามีเจตจำนงราชันย์ แม้ว่าเจ้าจะยังไปไม่ถึงระดับเทพ แต่เจ้าสามารถเรียกได้ว่าเป็นกึ่งเทพได้”

“กึ่งเทพ?” นางไม่เข้าใจว่ามีความเกี่ยวพันกันอย่างไร

“กล่าวกันว่ามีพวกกึ่งเทพมากมายในแดนสวรรค์หรือแดนสวรรค์บน  พวกเขามีพลังและความแข็งแกร่งที่น่าเกรงขามในระดับหนึ่ง  แต่พวกเขายังห่างไกลจากการเป็นเทพแท้และเทพจอมราชันย์ผู้แข็งแกร่งที่สุด  แน่นอนว่าถึงแม้จะเป็นระดับเทพก็ตาม  แต่ช่องว่างระหว่างนักสู้ระดับเทพเองก็ไม่เท่ากันและยังห่างกันมากโดยเฉพาะเทพแท้ที่แข็งแกร่งที่สุด และเทพแท้ที่อ่อนแอที่สุดห่างกันระดับภูเขากับเม็ดทราย น้ำทะเลกับเม็ดข้าวฟ่าง  ดังนั้นจึงมีคำถามว่าทำไมจึงมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างพวกเขา  ทำไมเทพบางตนเป็นเทพผู้อ่อนแอ  แต่บางตนอาจกลายเป็นเทพผู้แข็งแกร่งที่สุด  เวลาการฝึกฝนและความตั้งใจฝึกอาจให้ผลตรงข้าม  แต่ส่วนใหญ่เทพขยันเกินไปอาจกลายเป็นเทพที่พลังอ่อนด้อยที่สุด  ทำไมถึงเป็นเช่นนี้? ในที่สุดการได้รู้ว่าเจ้าเป็นนักสู้ชั้นเทพที่อ่อนที่สุดแล้วทำไมไม่พยายามให้หนักเพื่อลดช่องว่างระหว่างพลังกับเทพที่แข็งแกร่งที่สุด?” คำถามเป็นชุดของผู้นิทราทำให้นางสับสน

นางไม่อาจตอบได้

เพราะเหนืออื่นใดนี่เป็นเรื่องของเทพ

ไม่มีความเข้าใจ ไม่มีความก้าวหน้า นางไม่อาจพูดได้

แต่นางรู้ว่าต้องมีเหตุผล เป็นไปไม่ได้ที่คนพากเพียรอย่างหนักที่สุดจะกลายเป็นผู้อ่อนด้อยที่สุด

เสียงของผู้นิทรานั้นนุ่มนวลเหมือนมารดาผู้ปราณีของนาง เหมือนอาจารย์ป้าผู้ใจดี แต่กลับประทับลึกอยู่ในใจของนางโดยไม่รู้ตัว

“เหตุผลง่ายๆ เพราะหลังจากเลื่อนเป็นระดับเทพแล้ว เป็นเรื่องยากที่จะกลับมาฝึกอีกครั้ง และเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ก้าวหน้าครั้งใหญ่ได้อีกต่อไป  แม้ว่าจะมีการฝึกปรือสะสมเป็นเวลานาน เพื่อให้มีความก้าวหน้าเหนือคนอื่นสักเล็กน้อยเป็นไปไม่ได้ที่จะเติมเต็มช่องว่างผ่านการฝึกฝนระดับเทพ นี่เป็นเรื่องจริง”  ผู้นิทราบอกความจริงให้นางทราบถึงความจริงที่นักรบธรรมดาไม่มีโอกาสได้รู้

“ทำไมถึงได้ยากขึ้น หลังจากก้าวหน้าไปถึงระดับเทพแล้ว?”  นางสับสนมาก ระดับยิ่งสูงการฝึกฝนก็ควรดีขึ้นไม่ใช่หรือ?

“ตอนเป็นคนนั้นฝึกฝนได้ง่ายที่สุด” ผู้นิทรายิ้ม  “มีแต่ร่างมนุษย์จึงจะฝึกฝนได้ง่ายที่สุด”

“แต่ชีวิตของมนุษย์อ่อนแอที่สุดไม่ใช่หรือ?”  นางถามด้วยความประหลาดใจ

“ใช่แล้ว, ร่างมนุษย์นั้นอ่อนแอที่สุด  ไม่เพียงแต่อ่อนแอที่สุดเท่านั้น แต่ยังเปราะบางเหน็ดเหนื่อยและเจ็บป่วยได้ง่ายที่สุดอีกด้วย มนุษย์ลำบากตั้งแต่เกิดยันตาย ชีวิตเกิดมาพร้อมกับเงาทะมึนที่ครอบคลุมมนุษย์ทุกคน ร่างกายที่อ่อนแอถูกควบคุมโดยกฎบางอย่างที่มิอาจป้องกันได้ เช่นพอหิวก็ต้องการอาหาร หากกระหายก็ต้องดื่มน้ำ  นอกจากเรื่องเหล่านี้แล้วยังต้องพบกับความเจ็บปวดทรมานจากการใช้ร่างกายทำงานต่างๆ  พอง่วงนอนก็ต้องการนอนหลับ ถ้ามีความต้องการสูงก็ต้องได้รับการระบาย สภาวะอารมณ์มนุษย์บางครั้งก็ตื่นเต้น บางครั้งก็หดหู่ ไม่ว่าจะเป็นการหัวเราะ ร้องไห้ ฯลฯ โดดเดี่ยว อ้างว้าง ล้วนเป็นกระบวนการของชีวิต  ในช่วงชีวิตที่สั้นและคาดเดาไม่ได้ของพวกเขา  พวกเขาเติบโตด้วยความเร็วสูง แก่อย่างรวดเร็วและในที่สุดก็ตายด้วยโรคเดิมๆ อาจกล่าวได้ว่าหลายชีวิตของมนุษย์พวกเขาไม่สามารถหลีกหนีจากความจำเจที่มองไม่เห็นนี้  ในกระบวนการนี้มีความเจ็บปวดมากมายเพียงพอ  มีทั้งความรักความแค้น กตัญญูหักหลังมากมายนับไม่ถ้วน รวมทั้งความเห็นแก่ตัวทุกชนิด แม้แต่ความคิดและนิสัยที่ชั่วร้าย เรื่องเหล่านี้ทั้งหมดคอยรบกวนความคิดจิตใจของพวกเขา ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสพักหายใจ ต้องดำดิ่งอยู่ในสังคมที่จัดตั้งโดยมนุษย์  เหมือนเปือกตมที่ปกคลุมไปด้วยผู้คนและไม่มีใครสามารถหลบหนีได้!

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นวิธีฝึกฝนที่ง่ายสุดของมนุษย์จะทำได้อย่างไร?”  นางไม่เข้าใจทำไมถึงเป็นเช่นนี้

“นี่อาจเป็นเจตจำนงของมหาเทพยุคโบราณ หรือนี่อาจเป็นโอกาสที่หาได้ยากอย่างยิ่ง!  ผู้นิทราอธิบาย

“ใช่แล้ว, เจ้าไม่สังเกตเห็นบ้างหรือ? อสูรทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นอสูรพิทักษ์หรืออสูรธรรมดาต้องการเติบโตก้าวหน้าไปเป็นอสูรเทพและวิวัฒนาการไปเป็นร่างมนุษย์  อีกตัวอย่างหนึ่งเผ่าพันธุ์จากบันไดสวรรค์ของเรา มีนักสู้ผู้แข็งแกร่งบางคนสามารถกำจัดร่างกายพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์และปรากฏตัวในรูปแบบที่สูงขึ้น  เหตุใดพวกเขาจึงไม่ทำเช่นนั้นแทนที่จะดำเนินชีวิตในแบบเดียวกับมนุษย์?  หากพวกเขาต้องการพวกเขาสามารถอยู่ได้เป็นพันปีหรือหลายพันปี ใช้ชีวิตที่มีอายุยืนยาวขึ้น และพวกเขาไม่จำเป็นต้องเจ็บปวดเหมือนมนุษย์ ไม่ต้องพักผ่อนกินดื่มทุกวัน.... ทำไมพวกเขาเลือกใช้ชีวิตด้วยวิธีนี้?  ทำไมไม่ส่งต่อความคิดนี้ไปยังลูกหลานในอนาคต?  บางคนมีความคิดริเริ่มแต่งงานกับคนต่างเผ่าพันธุ์สร้างลูกหลานในรูปแบบของมนุษย์  ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?” คำถามต่อเนื่องเป็นชุดของผู้นิทราทำให้นางงงงวยอีกครั้ง

ถูกแล้ว!

ทำไมถึงเป็นเช่นนี้?

การเป็นคนนั้นทำให้พบกับความเจ็บปวดทรมาน ทำไมพวกเขาจึงต้องเป็นคนด้วย?

แม้ว่าจะกลายเป็นมนุษย์  ทำไมถึงต้องเลือกชะตากรรมแบบคนธรรมดาแทนที่จะมีชีวิตอิสระเสรี?

“การเป็นมนุษย์นั้น ลำบากมาก!  ผู้นิทรายืนยันเช่นนี้ก่อน  “สิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ตามยากมากที่จะกลายเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะอยู่ในหอทงเทียน แดนสวรรค์ แดนสวรรค์บน ชีวิตในที่นั้นทำได้ยากมาก กระบวนการเปลี่ยนไปเป็นมนุษย์ยาวนาน  สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ไม่สามารถเปลี่ยนไปได้ตลอดชีวิต ตัวอย่างเช่นอสูรศึกบางตัวมีพลังมากพอเขย่าภูเขากวนน้ำทะเลแต่ไม่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือยอดฝีมือของกลุ่มชาติพันธุ์บางกลุ่มสามารถใช้พลังทำลายปฐพีได้ทันทีที่คิด แต่กลับเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ไม่ได้ เมื่อมองผ่านจากกรณีต่างๆ เหล่านี้ เราต้องยอมรับความจริงว่าการเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ยากที่สุด ดีที่สุด  แม้ว่าตัวมนุษย์จะเจ็บปวดทรมานที่สุด แต่แท้จริงแล้วคือสิ่งมีชีวิตที่ดีที่สุด”

“ดูเหมือนว่าเป็นความจริงที่ขัดแย้งกันอยู่บ้าง”  นางรู้สึกว่ายังมีความสับสนอยู่

“ใช่แล้ว!  ชีวิตก็ขัดแย้งกันเช่นนั้น ผู้แข็งแกร่งที่สุดใช่ว่าจะดีที่สุด  ผู้ดีที่สุดก็ใช่ว่าจะแข็งแกร่งที่สุด   เหตุผลที่ว่าทำไมมนุษย์ถึงดีที่สุดเพราะมนุษย์สามารถตื่นรู้แจ้งและพัฒนาตนเองผ่านการฝึกฝนได้ กระบวนการดังกล่าวไม่มีในสิ่งมีชีวิตอย่างอื่น!  ก็อย่างที่เจ้าเห็นนักรบมนุษย์ชาวทวีปมังกรทะยานหลายคนเหมือนกับมด อาจไม่มีใครพัฒนาถึงระดับปราณก่อกำเนิด อย่าว่าแต่ปราณราชันย์เลย... อย่างไรก็ตามไม่มีใครรับประกันได้ว่าในหมู่พวกเขาจะมีทารกหรือคนหนุ่มสาวที่เติบโตอย่างรวดเร็วกลายเป็นจักรพรรดิอวี้รุ่นใหม่หรือนางพญาผู้พิชิตรุ่นใหม่ได้!  นี่แหละคือคนที่เต็มไปด้วยประสบการณ์ต่างๆ มีทั้งเจ็บปวดและสิ้นหวัง หากมีใครบางคนเข้าใจและเดินออกมาจากสิ่งเหล่านั้น เขาจะประสบความสำเร็จผ่านกระบวนการเปลี่ยนแปลงทันที และพยายามต่อเนื่องไม่หยุดนิ่งเพื่อแยกออกจากตัวตนไปสู่ความเป็นชีวิตสูงสุดเกินจินตนาการได้!  ผู้นิทราให้คำตอบ

“ทำไมมนุษย์ถึงทำแบบนี้ได้?”  นางเข้าใจส่วนใหญ่ แต่ยังมีส่วนที่สับสนอยู่บ้าง

“เพราะในสภาวะที่ขมขื่นเจ็บช้ำที่สุด ความรู้แจ้งจะเกิดขึ้นได้ และเป็นความรู้ที่ดีที่สุด แข็งแกร่งที่สุด....”  ผู้นิทราพูดไขปมในใจนาง ในไม่ช้านางรู้สึกว่าความไม่แน่นอนและปมในใจถูกไขหายไป

“ความขื่นขมที่สุดคืออะไร?”  นางพึมพำ เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น การฝึกฝนของนางเป็นไปอย่างเจ็บปวด จึงทำให้ได้ผลดียิ่งกว่าคนอื่นๆ หรือ?

“ถูกแล้ว!  ย้อนคำถามกลับไปก่อนหน้านั้น ทำไมตอนนี้การฝึกฝนของเจ้าถึงมีความก้าวหน้าช้า และยากลำบาก?  เพราะเจ้ากลายเป็นสุดยอดนักสู้ระดับสูง ก็เป็นเหมือนกับนักสู้ระดับเทพหลายคน จึงไม่มีเรื่องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานอะไรมากนัก!  ตอนนี้เจ้ามีกระทั่งพลังเจตจำนงราชันย์  แม้จะมีความเดียวดายเปลี่ยวเหงา  ต่อให้เผชิญกับความเจ็บปวด เจ้าก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนสภาวะจิตใจของเจ้าได้   เจ้าสามารถยืนหยัดต่อไปได้  ต่อให้เจ้าไม่ได้กินไม่ได้ดื่มหนึ่งวันเต็ม เจ้าก็จะไม่หิวเพราะพลังของเจ้า หากเจ้าไม่ดื่มน้ำ ร่างของเจ้าก็ยังชุ่มชื่นเปล่งปลั่ง ผิวพรรณไม่แห้ง  แม้ยามหลับเจ้าจะไม่รู้สึกเหนื่อยล้าสะลึมสะลือ เจ้าใกล้เคียงกับระดับกึ่งเทพ แทบไม่พบเจอกับความยากลำบาก แทบจะไม่พบกับความเจ็บปวด เจ้าไม่เข้าใจถึงความทุกข์และการตื่นรู้ ดังนั้นการฝึกฝนของเจ้าจึงไม่มีอะไรที่ก้าวหน้า  ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงระดับกึ่งเทพ  ถ้าเจ้าต้องการยกตนเองขึ้นสู่ระดับเทพที่สูงกว่าได้ เวลานั้นเจ้าต้องการสิ่งใดก็ทำได้  ในช่วงเวลาหนึ่งหากเจ้าต้องการดื่มกินสนุก ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ไม่มีความเจ็บปวดเลย  ทุกคนมีความสุข ในสถานะเทพแบบนี้ เจ้าแทบไม่สามารถทนรับกับความยากลำบากได้และรู้สึกเหนื่อยหน่ายได้ แม้ว่าเจ้าจะฝึกฝนก็ตาม”  ผู้นิทราอธิบายอย่างชัดเจนถึงความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับเทพและความเปลี่ยนแปลงในการฝึกฝน

คนที่มีความทุกข์มาก สามารถเรียนรู้ฝึกฝน สามารถตื่นรู้และรู้แจ้งทำให้ความก้าวหน้าของพวกเขาเป็นไปอย่างรวดเร็ว

นักสู้ระดับเทพไม่มีความทุกข์ มีแต่ความสุขเพลิดเพลินเป็นส่วนใหญ่

ไม่มีความทุกข์ ไม่มีการเลื่อนระดับ ไม่มีความรู้แจ้ง ก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าเข้าสู่ระดับใหม่ได้  ดังนั้นจึงอยู่ในระดับเดียวกันเสมอ

“อย่างนั้นทำไมนักสู้ระดับเทพ บางคนอ่อนด้อย บางคนแข็งแกร่งเล่า?”  นางมีปัญหาใหม่ ถ้าพวกเขาฝึกฝนกันทั้งหมด ทุกคนควรมีระดับพลังเท่ากันด้วยไม่ใช่หรือ? ทุกคนควรจะเหมือนกัน แต่มีความห่างชั้นกันมากมายได้อย่างไร?

“วิธีการฝึกฝนนั้นแตกต่างกัน ความทุกข์ทรมานที่พวกเขาประสบนั้นแตกต่างกัน และสภาวะของสติสัมปชัญญะก็แตกต่างกันไปตามธรรมชาติ”  ผู้นิทรายิ้ม  “นี่คือสิ่งที่ข้าต้องการจะบอกเจ้า  เจ้าฝึกฝนมาเป็นร้อยปีและแข็งแกร่งกว่าคนอื่นที่ฝึกมาหลายพันปี ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?  เป็นเพราะเจ้าฝึกฝนอย่างหนักและให้ความสำคัญมากกว่าคนอื่นหรือไม่?  แน่นอนว่าความสามารถของเจ้าก็สำคัญเช่นกัน  แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าต้องทุ่มออกไป จึงจะได้รับผลตอบแทนกลับมา”

“การเลื่อนพลังเป็นเทพราชันย์ เทพผู้แข็งแกร่งที่สุด ข้าจะทำได้อย่างไร?”  ในที่สุดนางก็มีเป้าหมายใหม่ เทพจอมราชันย์เทพที่แข็งแกร่งที่สุดในตำนาน

“ยอมเสียสละ!  ผู้เฒ่านิทราให้คำตอบ

“อะไรนะ?”  นางไม่เข้าใจ

“ข้าหมายถึงยอมเสียสละสถานะปัจจุบันของเจ้ารวมทั้งพลังทุกอย่างที่ได้จากการรู้แจ้งกลับไปสู่สภาวะเป็นมนุษย์จากสภาวะระดับกึ่งเทพและเริ่มฝึกอีกครั้ง”  เมื่อผู้เฒ่านิทราบอก จะให้นางยอมสละทุกอย่างที่เพียรพยายามหนักจนถึงตอนนี้หรือ?  นางต้องการทำอย่างนี้จริงๆ หรือ  หากนางไม่มีทางฝึกฝนได้อีกครั้ง นางจะสามารถรักษาสถานภาพปัจจุบันของนางได้หรือไม่?  และนางจะรู้ได้อย่างไรว่าจะดีขึ้นและเร็วขึ้นมากกว่านี้?

นางลังเลอยู่เป็นเวลานาน

ความปรารถนาสูงสุดในการเป็นนักรบชั้นเทพและเทพราชันย์ที่แข็งแกร่งที่สุดและความมุ่งมั่นของนางที่จะทำตามพันธสัญญาที่ได้ให้ไว้กับมารดาและป้า ทำให้นางทิ้งความสงสัย

ทำให้ดีที่สุด จึงจะไปจุดสุดยอดที่สุดได้!

กึ่งเทพ?

กึ่งเทพไม่มีอะไร ไม่ใช่นักสู้ระดับเทพที่ดี!

ต้องทำให้ได้เป็นสิ่งมีชีวิตระดับสูงสุดไม่มีอะไรเทียบกับเทพจอมราชันย์ได้

นางกำหมัดแน่น ดวงตาทิพย์เป็นประกายสดใสชัดเจนมากยิ่งกว่าดวงดาวในท้องฟ้า ... สูดหายใจลึก นางเสริมความทะเยอทะยานของนางด้วยเจตจำนงราชันย์และความตั้งใจในการฝึกฝน ขณะนั้นเอง แม้ว่ามองผิวเผินเหมือนเป็นเสียงกระซิบแผ่วเบาแต่ก็มีพลังที่จะพลิกแผ่นดินพลิกสมุทรในขณะนี่ชะตากรรมของนางเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและนางเริ่มดำเนินการตามเส้นทางเป็นเทพจอมราชันย์ที่ไม่มีใครเคยทำได้!

“ข้าต้องการเริ่มใหม่!  นางตัดสินใจด้วยตัวเองอย่างดีที่สุด ขณะที่ยังเป็นจื้อจุนผู้แข็งแกร่งที่สุด

“กลับไปฝึกใหม่เพื่อละสถานะเดิม แต่ไม่ได้หมายความว่าจะกำจัดทุกอย่างที่เจ้ารู้แจ้ง แต่เพียงผนึกความรู้เหล่านั้นไว้ชั่วคราวและเก็บไว้ในพื้นที่อื่น  เพื่อให้เป็นตัวแทนขอบเขตความเข้าใจและการฝึกฝน  เมื่อเจ้าทำให้สำเร็จลุล่วงได้เมื่อใด เมื่อนั้นจะเป็นวันที่เจ้าเป็นเทพจอมราชันย์ เจ้าสามารถรับความรู้เหล่านั้นไปได้ และผสานเข้ากันอย่างสมบูรณ์เพื่อสร้างโลกของเจ้าเอง  เมื่อถึงวันนั้น เจ้าจะเข้าใจได้ว่าตัวเจ้าได้บรรลุขอบเขตสภาวะนั้นและถึงเวลานั้นเจ้าจะได้เป็นเทพจอมราชันย์ที่แท้จริง...  การฝึกฝนไม่ใช่วันหรือสองวันก็ประสบความสำเร็จ  การฝึกฝนไม่ได้ทำเพียงครั้งเดียวหรือสองครั้ง  กระบวนการเจ็บปวดทุกข์ทรมานนั้นต้องอยู่ในอารมณ์อันยาวนาน มีทั้งการแบ่งเบา จำกัด เจ้าจะต้องทนจนกว่าจะพบกับความสำเร็จ!  คำพูดของผู้นิทราปลอบโยนนางทำให้นางมั่นใจว่าได้รับคำอธิบายทำให้เข้าใจว่าภูมิปัญญา อำนาจและพลังเรียนรู้จะไม่มีวันสูญหายตลอดไป

“ต่อไป ข้าควรทำอย่างไร?”  นางรู้สึกว่าประตูสู่การฝึกฝนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนค่อยๆ เปิดแง้มต่อหน้านาง

“ก่อนอื่นเปลี่ยนคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ให้เป็นคัมภีร์บรอนซ์ และผนึกทุกอย่างที่เจ้ามีรวมถึงพลังทั้งหมดของเจ้าทั้งหมด  ผนึกไว้ในอสูรพิทักษ์ของเจ้า ปล่อยให้นางเป็นกึ่งเทพแทนเจ้าและร่างของเจ้าจะกลับไปอยู่ในสภาพมนุษย์ที่เริ่มฝึกฝนอีกครั้ง ยิ่งเจ้ากลับไปกระบวนการเริ่มต้นเท่าไหร่ การฝึกจะยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้น  ยิ่งการฝึกยากลำบากเท่าไหร่ เจ้าก็ยิ่งได้รับผลดีมากขึ้น”  ผู้นิทราบอกวิธีที่ทำให้นางแทบไม่เชื่อหูของนางเอง ในขณะเดียวกันนางใช้วิธีลับทำการฟื้นฟูโดยคนภายนอกไม่รู้

“ถ้าการฟื้นฟูล้มเหลวเล่า?”  ทันใดนั้นนางมีความกังวล

“มีแต่คนที่หลุดพ้นจากโชคชะตาแล้วเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จ  นี่คือการปลดเปลื้องขั้นสูงสุด  ถ้าคนผู้หนึ่งตลอดชีวิอยู่ภายใต้การควบคุมของโชคชะตา อย่างนั้นคนที่เลื่อนไปเป็นเทพราชันย์ จะควบคุมชะตาตนเองได้ นี่คือความสำเร็จที่แท้จริง... การทำลายโดยสร้างไม่ได้ นั่นเป็นแค่เทพเทียม  ถ้าทำลายแล้วสร้างได้ นั่นคือเทพแท้  แต่ไม่ใช่เทพจอมราชันย์ เฉพาะเทพที่ดำรงคงอยู่ชั่วนิรันดร์ที่ก้าวข้ามชะตาได้ นั่นเทพจอมราชันย์ที่แท้!   เส้นทางนี้ไม่อนุญาตให้ล้มเหลว จะต้องประสบความสำเร็จในที่สุด มิฉะนั้นต่อให้ประสบความสำเร็จเป็นเทพแท้ แต่ยังนับว่าล้มเหลว!  นี่คือความยากลำบากที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เจ็บปวดที่สุด  เทพแท้ยังจะต้องตายสักวัน มีแต่เทพจอมราชันย์เท่านั้นจึงจะเป็นอมตะ จริงไหม?  หากไม่ประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด ทุกคนที่ระดับพลังต่ำกว่าเทพจอมราชันย์จะเป็นผู้แพ้รวมถึงเจ้าหรือผู้ที่คิดว่านักสู้ระดับเทพเหนือกว่าห่างไกล  คนผู้หนึ่งเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ยากที่สุดลำบากที่สุดภายใต้การแทรกแซงของความปรารถนา ความรักที่หลากหลาย  หากเจ้ายังต้องการที่จะฝึกฝนและกลายเป็นเทพจอมราชันย์ และได้เพียรพยายามอย่างหนักเพื่อการนี้ นั่นคือการรวมตัวสิ่งที่มีค่ามากที่สุดนั่นเจตจำนงสุดท้ายของมหาเทพโบราณ มหาเทพโบราณทั้งที่รู้จักและที่ไม่รู้จัก พวกเขาทั้งหมดหวังว่าคนรุ่นต่อไปในอนาคตสามารถหลบหนีพ้นชะตากรรมของพวกเขาได้หลุดพ้นจากความขมขื่นเข้าสู่ความอมตะนิรันดร์...สิ่งที่เราต้องทำคือทำตามความประสงค์นี้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเราถึงมีคัมภีร์อัญเชิญ!  ผู้เฒ่านิทราแทบจะบอกความลับฟ้า

“ด้วยวิธีอย่างนี้น่ะหรือ?”  นางตกใจ ไม่เพียงแต่นางเท่านั้น แต่แม้แต่เย่ว์หยางผู้มีความรู้สึกถึงกระบวนการชีวิตของนางก็รู้สึกตกใจ

นี่คือความจริงที่คาดไม่ถึง

การเป็นเจ้าของคัมภีร์อัญเชิญ เป้าหมายที่แท้จริงไม่ใช่กลายเป็นนักสู้ผู้แข็งแกร่งที่กลั่นแกล้งคนอ่อนแอเพื่อสนองตอบความต้องการที่หลากหลายของมนุษย์  แต่เพื่อหลบหนีจากโชคชะตาและค้นหาตัวตนที่แท้จริงชั่วนิรันดร์

ในพริบตานั้นไม่เพียงแต่นางที่ได้ยินความลับของปีนั้นเท่านั้น แต่ยังมีเย่ว์หยางก็ได้ตระหนักรู้ เขารู้สึกว่าหัวใจเขาขยายทันที

โลกกำลังเล็กลง

ในใจของเขาเกิดปัญญาผุดรู้ ความร้อนแผ่ไปทั้งกายและใจ

ในที่สุดเขาก็เข้าใจและตระหนักรู้ถึงความหมายแห่งชีวิต

เป้าหมายสูงสุดของการฝึกฝนก็คือตัวตนแท้จริงนิรันดร

ไม่ใช่ว่าตัวตนจะหายไปในวิถีแห่งชีวิต  แต่ตัวตนนิรันดรมีระดับสูงถึงระดับเทพจอมราชันย์...  ในโลกที่เป็นอมตะอย่างสมบูรณ์ ไม่มีการเกิดและการตาย ไม่มีโชคร้ายอีกต่อไป  แม้ว่าจะไม่สามารถจินตนาการได้  แต่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดำรงคงอยู่สมบูรณ์แบบในโลกที่เป็นนิรันดร เขาปรารถนาที่จะเป็นอยู่ได้ต่อไป  ..... เย่ว์หยางแค่อยากตะโกนดังๆ เขารู้สึกว่าทั้งชีวิตของเขาและโลกวิญญาณทั้งโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป

เขามีแรงกระตุ้นใจร้อนอยากเริ่มฝึกทันที

อย่าลังเล หรือหยุดยั้งกลางครัน

เทพจอมราชันย์ผู้อมตะ

มีชะตาร่วมกับทุกคนที่ไม่เหมือนใคร...  ด้วยวิธีนี้เท่านั้น เขาไม่ต้องกังวลกับการโจมตีของศัตรูที่แข็งแกร่งหรือปล่อยวางความเป็นความตาย

“ข้าไม่รู้ว่าจะต้องทำซ้ำกี่ครั้ง บางทีใครบางคนอาจทำเพียงครั้งเดียวก็ผ่าน บางคนอาจใช้เวลาเป็นร้อยครั้งหรือมากกว่านั้นเพื่อเริ่มฝึกใหม่  แต่ข้ารู้ความลับในการบรรลุขั้นสุดท้ายของการเป็นเทพราชันย์ แม้ว่าจะไม่มีคัมภีร์เทพยอมรับเป็นเจ้านาย แต่ก็ยังมีคัมภีร์เทพเป็นของตนเอง!  แน่นอนในระหว่างทางเพราะมีการทำลายและการรบกวนมีมากเกินไป ผู้อาวุโสที่ปกป้องเราจะให้ความช่วยเหลือแก่เราแน่นอน  สักวันหนึ่งคัมภีร์เทพอาจยอมรับเจ้านายใหม่ ช่วยเรา ทำให้เรารู้ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่  การฝึกฝนนั้นเต็มไปด้วยสิ่งแปลกปลอม เราต้องฝึกฝนอย่างหนักในสิ่งที่ไม่รู้จัก  แม้ว่าจะไม่มีคัมภีร์เทพ เราก็ต้องเปลี่ยนคัมภีร์อัญเชิญของเราให้เป็นคัมภีร์เทพนิรันดร นี่คือสิ่งที่ข้าอยากจะพูด!  ผู้นิทราชี้ให้เห็นความสำเร็จที่เหลือเชื่อ

“คัมภีร์อัญเชิญทุกเล่มสามารถกลายเป็นคัมภีร์เทพได้หรือ?”  นางถาม

“บางคนฝึกจากล่างขึ้นไปเบื้องบน บางคนฝึกจากบนลงล่าง และบางคนฝึกด้วยกันจากบนลงล่างทุกคนมีความสามารถที่แตกต่างกันและวิธีการฝึกที่แตกต่างกัน  บางคนไม่สามารถทำสัญญากับคัมภีร์ได้  เพราะสภาพของพวกเขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอหรือหลังจากปล่อยตัวประมาทเลินเล่อและทำลายตนเอง  บางคนที่ทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญได้แล้วก็ไม่สามารถฝึกฝนได้  เพราะพวกเขาไม่สามารถอดทนต่อความยากลำบากและไม่สามารถละทิ้งความสามารถที่ฝึกฝนได้มา  พวกเขาปล่อยให้พลังของพวกเขาสูญสิ้นไปเอง และไม่รู้ไม่เชื่อในการมีอยู่ของเทพ ไม่เชื่อว่ามีเทพจอมราชันย์  อย่าคิดเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ของคนอื่น  ข้าอยากจะบอกว่าอย่างน้อย คนจะต้องเข้าใจถึงเจตจำนงราชันย์ จึงมีสิทธิ์เลื่อนไปเป็นระดับเทพ ฝึกฝนทุ่มเทให้หนักขึ้นด้วยความสามารถและภูมิปัญญาที่ยิ่งใหญ่ ต้องมีคุณสมบัติและปรารถนาจะไปให้ถึงระดับเทพราชันย์! อย่าคิดถึงคนอื่น เจ้าจะคิดเพียงเท่านั้นหรือ  แม้ว่าเจ้าจะพากเพียรอย่างหนักและมีพรสวรรค์ แต่เจ้าอาจจะทำไม่สำเร็จ  จงมีสมาธิรอจนกระทั่งวันหนึ่งเจ้าพิสูจน์ตัวเองได้ เมื่อเจ้ามองย้อนกลับไป เจ้าจะรู้ว่าเจ้าต้องใช้หยาดเหงื่อและความพยายามไปมากมายเพียงไหน ก่อนที่เจ้าจะประสบความสำเร็จนิรันดร...”

“ข้าจะต้องทำให้สำเร็จ”  เมื่อนางพูดอำลาผู้นิทรา นางได้สร้างความมั่นใจในหัวใจเกินกว่าปณิธานราชันย์ของนาง

“สุดท้ายสิ่งที่ข้าต้องการจะบอกก็คือ..”  จู่ๆ ผู้นิทราเรียกนาง

“หือ?” นางประหลาดใจมาก

“บางทีในอนาคตของเจ้า เจ้าจะไม่โดดเดี่ยวเหมือนตอนนี้...  เพราะในเผาสร้อยบุปผา มีเด็กสาวผู้มีทักษะแฝงเร้นเหมือนกับเจ้า  เมื่อเทียบกับการรับรู้ของเจ้า เด็กสาวนั่นอาจจะดีกว่า นางคิดหาวิธีลับที่โดดเด่น หากนางทำได้ประสบความสำเร็จ ไม่เพียงแต่บันไดสวรรค์เท่านั้น แต่หอทงเทียนทั้งหมดจะรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง  เด็กหญิงนั้นมีภูมิปัญญาที่เชื่อมโยงกับข้าแต่ข้าไม่สามารถเข้าใจได้!  บางทีสักวันหนึ่งเจ้าอาจพบว่าข้างหลังเจ้าไม่เพียงแต่มีน้องสาววิ่งตามหัวเราะร่าเสียงเหมือนระฆังเงินเท่านั้น แต่อาจมีเด็กชายที่สามารถแบกโลกได้ทั้งโลกวิ่งตาม...  บางทีนี่คือความฝันของข้า  บางทีนั่นอาจเป็นการตระหนักรู้ถึงอนาคตที่ไม่สิ้นสุดก็ได้!

“เหรอ?”  ทันใดนั้นใบหน้ามีแววประหลาดใจผ่องใสอย่างไม่เคยปรากฏมีมาก่อน ประกายเนตรทิพย์ของนางเปล่งประกายงดงาม แทบจะไม่ถูกแสงสว่างยามเช้ากลบบัง  “อย่างนั้นเราจะร่วมทำงานกันในทิศทางนี้!

*********

13 ความคิดเห็น:

Krisda กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ น้องสาวกับน้องชาย

CHANTANA กล่าวว่า...

เริ่มโหดแล้ว

Akirabas กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ

oBABYVOXo กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ น้องสาวที่เชื่อมกับผู้เฒ่านี่ใครน้อ

CHANTANA กล่าวว่า...

ผมว่านะจะเป็นสามีนะ55555

Lazykuma กล่าวว่า...

อีกคนคือแม่เฮียเน่สินะ!!?

BlackFire กล่าวว่า...

แม่พี่เย่ไงจะใครละ

BearyVith กล่าวว่า...

ปมคลายๆ เรื่อยๆ สนุกมากๆ เลยครับ

Popcorn กล่าวว่า...

สู้!!!!!!!!!!!!!

SatunG_NonG กล่าวว่า...

รึผู้นิรันดร์ คือ จักรพรรดินีเทียนหลัว

Apirak Panyakam กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Unknown กล่าวว่า...

ปม พันตอนเริ่มคลายเรื่อยๆ

ïиƒïиï†ч гє†гч กล่าวว่า...

แม่แกเทพ สุดจัด จริงๅ

แสดงความคิดเห็น