ตอนที่ 2
แผ่นป้ายบรอนซ์
ฟ้ายังไม่สว่าง
แต่ถังเทียนตื่นแล้ว
พอล้างหน้าเสร็จ
ถังเทียนเปิดไฟและนั่งอยู่อยู่โต๊ะคลี่กระดาษออกและเริ่มก้มหน้าก้มตาเขียน
“เชียนฮุ่ย, เธอสบายดีหรือเปล่า? ฉันคิดถึงเธอมาก ทุกอย่างสำหรับฉันเป็นไปด้วยดี ไม่ต้องเป็นห่วง ภาคเรียนใหม่เริ่มต้นขึ้นแล้ว
และฉันยังได้รับตำแหน่งผู้ช่วยอาจารย์เฉินในคาบวิชากระบี่ ไม่มีเธออยู่ที่นี่ ฉันรู้สึกเบื่อมาก ทุกคนดูถูกฉัน
ฉันไม่ชอบพวกเขาเลย เมื่อเร็วๆ
นี้สุขภาพอาจารย์เฉินไม่ค่อยดีนัก
แต่เขาเป็นคนดีและฉันปรารถนาจะให้เขาสุขภาพดีตลอดไป ลุงหวีเป็นยังไงบ้าง? ช่วยทักทายเขาแทนฉันด้วยนะ
ฉันหวังว่าจะได้เห็นน้ำตกดาราอมตะที่ธอเคยบอกไว้
ฉันไม่อาจนึกได้เลยว่าจะน่าตื่นเต้นเพียงไหน ฉันยังคงหมั่นเพียรฝึกซ้อมต่อไป อาจต้องใช้เวลานาน แต่ฉันจะไม่ยอมแพ้แน่...”
หลังจากเขียนข้อความมากมาย
ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องราวในชีวิตประจำวัน
หลังจากพับกระดาษจดหมายอย่างระมัดระวังแล้ว ถังเทียนปิดผนึกซองจดหมาย
จ่าหน้าซองอย่างระมัดระวัง
– เมืองอิงเซียนซิงจั่ว
ถนนสายสิบห้า สถาบันไป่หง
ซ่างกวนเชียนฮุ่ย ห้อง 3/1
เสร็จแล้ว
เขาล้วงแสตมป์เส้นทางอากาศที่ได้เตรียมไว้ก่อนแล้วออกมาและปิดไว้ที่หน้าซอง
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาลุกขึ้นอีกครั้งและเดินไปที่ลานบ้าน
อากาศยามเช้านำความสงบสุขมาสู่หัวใจผู้คน
ถังเทียนกางมือข้างหนึ่งและข้างหนึ่งและยึดค้างไว้จนกระทั่งกล้ามเนื้อเขาสั่น
ก่อนเปลี่ยนตำแหน่งในการฝึกประจำวัน
สิ่งที่เขากำลังฝึกก็ยังคงเป็นวิทยายุทธพื้นฐาน
หลังจากฝึกฝนมาเกือบปี ความรู้หมัดมวยของเขาแทบจะสมบูรณ์แบบ
พื้นฐานหมัดมวยประกอบด้วยการเคลื่อนที่
3 รูปแบบคือ หมัดขว้าง หมัดแย็บ หมัดฮุค
หมัดขว้างต้องใช้พลังมาก ลึกและมีพลังรุนแรง
หมัดแย็บเป็นหมัดที่เบารวดเร็วที่ต้องใช้ให้เข้ากับจังหวะเท้า หมัดฮุคเป็นการผสมผสานระหว่างหมัดขว้างและแย็บ
แต่เน้นไปที่มุมมากขึ้น
ทุกๆ
พื้นฐานดูเหมือนง่าย
แต่เมื่อความเคลื่อนไหวเหล่านั้นถูกใช้โดยถังเทียน กลับมีความสง่างาม
ทั้งนี้หลังจากฝึกซ้อมมาเป็นพันครั้งเพื่อให้ได้ความสมบูรณ์แบบ
ในสภาพที่เอาจริงจัง ถังเทียนฝึกหนัก ไม่มีสักครั้งเลยที่แววเหนื่อยล้าจะปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของเขา
ไม่ช้าเขาก็หลั่งเหงื่อทั่วทั้งตัว
เสื้อผ้าเปียกโชก
หยาดเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วไหลไปตามลำคอเขา
ถ้าดูให้ดี
จะเห็นไอมัวๆ ระเหยออกมาทั่วตัวของเขา
เขาฝึกฝนครั้งแล้วครั้งเล่าในท่าเดิม
บางครั้งก็หยุดชั่วขณะก่อนจะเปลี่ยนท่า แล้วย้อนกลับไปฝึกอีกครา เวลาผ่านไปเชื่องช้า
ขณะที่พระอาทิตย์ลอยสูง
อากาศเย็นเริ่มสลายไป
ถังเทียนดื่มด่ำกับการฝึกมากเกินไป
ทันใดนั้น
สัญญาณปลุกก็ดังขึ้นและถังเทียนหยุดการฝึกของเขาทันที หมดเวลาแล้ว
เฮ้อ..
เสียงหอบหายใจดังอยู่ที่ลานบ้าน ถังเทียนงอตัวยันเข่า
เม็ดเหงื่อเท่าลูกปัดหยดจากคางลงพื้น
เมื่อใดก็ตามที่เขาฝึก
เขาจะคร่ำเคร่งกับการฝึกโดยไม่รู้สึกอะไร ซึ่งทำให้เหงื่อออกมาก
และชั่วครู่ก็หายไปหลังจากที่เขาหยุด
ห้านาทีต่อมา ถังเทียนหายจากอาการงุนงง
เขายืดตัวตรงยกเข่าที่อ่อนแรงเดินไปที่มุมลานฝึกซึ่งมีบ่ออยู่บ่อหนึ่งมีน้ำเต็มเปี่ยม ถังเทียนเดินลุยลงบ่อจนได้ยินเสียงน้ำกระเซ็น
น้ำในบ่อยามเช้าตรู่เย็นเหมือนน้ำแข็ง
หนาวลึกจนถึงกระดูก ทันทีที่ลงบ่อได้
เขาถึงกับสั่น
เขาเม้มปากแน่นเหมือนกับพยายามทนเจ็บปวด
ผ่านไปสองนาทีเขาก็ปรับตัวเข้ากับความเย็นของน้ำในบ่อได้ จากนั้นเขานั่งขัดสมาธิเน้นการฝึกฝนที่ใจ
ได้อยู่ในสถาบันแอนดรูว์มาห้าปีการฝึกพลังสมาธิขั้นพื้นฐานของเขาทำได้สมบูรณ์ พื้นฐานการฝึกจิตนั้นเน้นฝึกที่แก่น และตราบใดที่มีความพากเพียรอย่างเพียงพอ
ก็อาจเข้าใจได้ในเวลา 1-2 ปี จากนั้นจึงถือว่าสำเร็จได้ ถังเทียนมีรากฐานที่ไม่แข็งแกร่ง
แน่นอนว่าเขาใช้เวลาทั่วไปถึงห้าปี
แต่เขาไม่ได้ย่อท้อจนกระทั่งพื้นฐานพลังสมาธิของเขานั้นทำได้สมบูรณ์
ในไม่ช้าเขาเริ่มค้นหาการฝึกฝนพลังสมาธิขั้นที่สอง นั่นมีความจำเป็นต้องไปเข้าศึกษาในสถาบันอื่น
อีกอย่างถังเทียนไม่ต้องการเสียเวลา ดังนั้นเขาจึงมองหาวิธีการรอบๆ ตัว
อาจารย์เฉินสังเกตเห็นสภาพของถังเทียนจึงขอให้เขามาเป็นผู้ช่วยสอน และเขาได้สอนเคล็ดวิชาลมปราณภายในขั้นที่สองเป็นการตอบแทน
จากนั้นเป็นต้นมา
ถังเทียนจึงเริ่มฝึกวิชาลมปราณขั้นที่สอง
เคล็ดลับฝึกปราณเหมาะกับคนที่จะพัฒนาวิทยายุทธในขณะที่มีพลังดั้งเดิมไม่พอ
ผลดีก็คือมีปราณคอยเสริมความแข็งแกร่ง
เคล็ดการฝึกลมปราณนี้ถังเทียนฝึกเองจนช่ำชองอย่างรวดเร็ว
ขณะที่วิชาต่อสู้ระดับต่ำก็ใช้ออกง่ายๆ เน้นไปที่การขยันฝึก ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการที่หลากหลาย
หลังจากความอุ่นและพลังปราณกระจายไปตามส่วนต่างๆ
ของร่างกาย ขับไล่ความเย็นออกไป
ช่วยให้ร่างกายที่เหนื่อยล้าคืนสภาพได้เร็ว
ถังเทียนลืมตาหลังจากผ่านไปชั่วโมงหนึ่ง
ความเมื่อยล้าถูกขับออกไปและเขารู้สึกว่ามีพลังวังชา เขาไม่ได้ลุกออกไปทันที
กลับเอนตัวครึ่งหนึ่งนอนแช่ในน้ำและมองดูฟ้าสีคราม
ตอนนี้เชียนฮุ่ยทำอะไรอยู่
สายตาของเขาอ่อนโยน
แต่กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็วและเขาถอดแผ่นป้ายทองแดงที่คอของเขาออก ป้ายทองแดงนั้นร้อยด้วยด้ายสีแดงหลายเส้น ด้ายเส้นนี้ร้อยโดยมารดาเขา อีกเส้นหนึ่งร้อยโดยเชียนฮุ่ย เมื่อเชียนฮุ่ยอยู่ในเมืองซิงฟง นางจะด้ายแดงร้อยแผ่นทองแดงให้ถังเทียนทุกปี
ขนาดของแผ่นป้ายทองแดงจะคล้ายกับเหรียญกษาปณ์
ในแง่ลักษณะ มันดูเก่า อีกด้านหนึ่งของแผ่นป้ายทองแดงจะมีภาพคำว่า “สิบ”
ส่วนอีกด้านเป็นภาพแม่น้ำที่คดเคี้ยว
แม่น้ำที่ดูเหมือนมีดาวระยิบระยับนับล้านดวง ด้านล่างแม่น้ำมีเส้นตัวเลข มันเป็นสีเทา
แต่สีนั้นจางไปมาก ทำให้ยากจะมองเห็นได้
ถังเทียนสวมแผ่นป้ายทองแดงนี้ตั้งแต่เขายังเด็ก
แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้เขาสังเกตเห็นตัวเลข
นอกจากนี้
เขาสังเกตตัวเลขจะเปลี่ยนไปเมื่อเวลาผ่านไป ตอนที่เขาเริ่มฝึกวิทยายุทธขั้นพื้นฐาน
เขามักจะสงสัยเกี่ยวกับการค้นพบครั้งใหม่บนแผ่นป้ายทองแดงของเขา
แม้จะไม่ค่อยระวัง
แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่
เขาพบรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขบนแผ่นป้ายทองแดงอย่างรวดเร็ว
ทุกครั้งที่เขามีความก้าวหน้าในวิชาต่อสู้ขั้นพื้นฐาน ตัวเลขก็จะกระโดด
จากวันนั้นเป็นต้นมา เขาตระหนักได้ว่า
มารดาที่เขาเคยคิดว่าเป็นคนธรรมดา
ดูเหมือนจะไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป มันเริ่มบอกเขาว่า
เขาไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับความตายของมารดาเขา
และเจ้าบัดซบที่ทอดทิ้งนาง
(หมายถึงสามีของแม่)
ถังเทียนปรารถนาจะรู้ความจริง เขาต้องการจะคลี่คลายความลี้ลับ
แผ่นป้ายทองแดงเป็นเพียงเบาะแสเดียวที่มีอยู่ในมือของเขา
เขาเริ่มต้นฝึกวิชาต่อสู้พื้นฐานเพื่อดูการเปลี่ยนแปลงบนแผ่นป้ายทองแดง เมื่อเขาเชี่ยวชาญวิชากระบี่พื้นฐาน
หมายเลขก็หยุดกระโดด
ดังนั้นถังเทียนเริ่มลองทำสิ่งที่แตกต่าง
เขาพยายามฝึกวิทยายุทธระดับสอง
แต่ตัวเลขก็ไม่ขยับจนกระทั่งเขาเปลี่ยนไปฝึกวิชาหมัดมวยพื้นฐาน
ตัวเลขจึงเริ่มกระโดดอีกครั้ง
เป็นวิชาต่อสู้พื้นฐานที่ทำให้ตัวเลขกระโดด
ปีแล้วปีเล่า
วิชาต่อสู้ก็เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า
จำนวนตัวเลขวิ่งวิ่งจากหลักหมื่นขึ้นไปถึงสองหมื่น....
มันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ระหว่างที่แผ่นป้ายทองแดงไม่มีปฏิกิริยา
สายตาคนรอบข้างที่จับจ้องมองเขาค่อยๆ เปลี่ยนไป
มีแต่แววตาเยาะเย้ยโถมเข้าหาถังเทียน
ถังเทียนก็คงเป็นเหมือนเมื่อห้าปีที่แล้ว
จำนวนเลขยังคงเปลี่ยนต่อไป
99,9400
ถังเทียนเอาป้ายทองแดงกลับมาคล้องคอ
แต่เขาไม่ทันสังเกตเห็นว่าตัวเลขสีเทาเริ่มเรืองแสงเล็กน้อย ถังเทียนโดดออกมาจากบ่อ
เช็ดตัวให้แห้งและนุ่งห่มชุดใหม่ เขาคว้าจดหมายบนโต๊ะที่เตรียมจะส่งให้เชียนฮุ่ยและออกไปจากบ้าน
บ้านของเขาอยู่ไกลจากสถาบันแอนดรูว์
และมีคนไม่กี่คนเดินอยู่บนถนน
มีเพียงที่เดียวที่รับไปรษณีย์อากาศในเมืองซิงฟงและนั่นก็คือที่ทำการไปรษณีย์ที่อยู่ทางทิศใต้ของเมือง
ความเร็วของถังเทียนมิได้ช้าเลย
เขาเชี่ยวชาญวิชาตัวเบามานานแล้ว และสามารถทรงตัวในส่วนบนไว้และซอยขาอย่างรวดเร็ว
เขาก้าวยาวหนึ่งก้าวสลับก้าวสั้นสามก้าวและทำซ้ำอย่างนี้อีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ขณะที่ยังเป็นเวลาเช้าตรู่
ที่ทำการไปรษณีย์ยังไม่เปิดทำงาน
จากนั้นถังเทียนหย่อนจดหมายในตู้ไปรษณีย์ด้านนอกที่ทำการ
อิงเซียนซิงจั้วอยู่ไกลมาก
ต้องใช้เวลาสามเดือนกว่าเชียนฮุ่ยจะได้รับจดหมายของเขา
เขาเงยหน้ามองฟ้าและรู้สึกสงบ
เมื่อถังเทียนมาถึงหน้าสถาบัน มีกลุ่มคนรวมตัวออกันแน่นอยู่ข้างนอกสถาบันจนแม้แต่น้ำยังมิอาจหยดผ่านได้ ถังเทียนขมวดคิ้ว วันนี้เขาต้องดูแลชั้นสอนวิชากระบี่ คงไม่ดีแน่ถ้าเขาไปสาย
อย่างไรก็ตามเขารู้สึกขอบคุณอาจารย์เฉินที่ช่วยเหลือและห่วงใย แน่นอน เมื่อเขาทำงาน
เขาเอาจริงมากและเขาไม่เคยสาย
ถือเป็นเรื่องแตกต่างมากเมื่อเทียบกับตอนเป็นนักเรียนในชั้นเรียน
“ขอโทษนะ!”
เขาแหวกฝูงคนออกไป นักเรียนที่ถูกดันออกไปด้านข้างโวยวาย แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าเป็นถังเทียน พวกเขาถอยกลับทันที
“กู่เซี่ยวหวี่!
ฉันจะปล่อยแกไป ถ้าแกคำนับฉัน!”
เด็กชายท่าทางหยิ่งจัดดูราวกับว่าจะเอาจมูกชี้ฟ้ากำลังยืนอยู่ในกลุ่มเด็กที่แต่งตัวดีใช้ของคุณภาพดีมาก ดูเหมือนว่าเขาจะมาจากตระกูลที่ดี ข้างๆ เขาเป็นเด็กอีก 2-3
คนรูปร่างแข็งแรงมีสีหน้าเยาะเย้ย
ข้างหน้าพวกเขาเป็นเด็กชายตัวผอมนอนตัวงอ
ดูเหมือนเขากำลังเจ็บปวด
“คุกเข่า! เร็วเข้า, ได้เวลาเรียนแล้วนะ!”
“แม่งเอ๊ย, ดูเหมือนเรายังอัดมันไม่พอ!”
…
เด็กกร่าง 2-3 คนทำดุ
ถังเทียนเบื่อหน่ายกับภาพที่เห็น
แม้ว่าเขาจะถูกมองว่าเป็นเด็กเกเรในสถาบันแอนดรูว์ แต่เขาไม่เคยรังแกเด็กและคนอ่อนแอ ที่สำคัญที่สุด คนพวกนี้ขวางทางทำให้การสัญจรติดขัด อีกไม่กี่นาทีก็จะเข้าเรียนแล้ว
“พวกแกเพิ่งมาที่นี่ใหม่หรือ?”
ถังเทียนยืนเด่นจ้องมองด้วยความไม่เป็นมิตร “ไปซะ!”
“อะไรกันนี่แก, ไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน ถึงกล้ายุ่งเรื่องของคนอื่น?” เด็กหัวโจกเยาะเย้ย
ถังเทียนรู้ว่า ถ้าเขายังแกร่วอยู่ในที่นี้ เขาคงจะสายแน่นอน เขาไม่สนใจจะพูดอะไรอื่น
ในชั่ววับเดียวเขาก้าวเท้าฉากออกไปด้านข้างและพุ่งเข้าหาเด็กหัวโจก แววตาหวาดกลัวปรากฏอยู่ในตาของเด็กหัวโจก ถังเทียนคว้าคอเขาบีบไว้แน่น
เหมือนกับจับไก่
เขาจับคอเจ้าเด็กนั่นยกด้วยมือเพียงข้างเดียว
อาการหายใจไม่ออกทำให้เด็กคนนั้นหน้าคล้ำ
“หยุดนะ! แกกล้าดียังไง ถึงได้ทำร้าย...”
“ตายเสียเถอะ แก!”
พวกเด็กผู้ชายรูปร่างแข็งแรงตกใจและรีบวิ่งเข้ามา ถังเทียนมีประสบการณ์ต่อสู้มากมายอยู่แล้ว
เขาเหวี่ยงหมัดต่อยออกไปโดยไม่ต้องมองแล้วจากนั้นก็ไล่ทุบเด็กคนอื่นๆ
ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที เด็กคนอื่นๆ ก็โดนทุบตีหมดสิ้น
“เห็นไหม, ถังเทียนป่าเถื่อนโหดร้ายจริงๆ”
“นั่นธรรมดาอยู่แล้ว
เขาเป็นขาโหดเก่าประจำโรงเรียน! เอ...มันชักแตกต่างขึ้นทุกปีนะ
ถ้าเขาไม่ชำระเรื่องยุ่งยาก พวกเด็กกลุ่มใหม่ๆ
จะไม่มีทางรู้ว่าที่นี่ใครใหญ่สุด!”
“ภาพลักษณ์ของโรงเรียนเรายังนับว่าดี แต่ถ้าจอมเกเรอย่างถังเทียนยังไม่ถูกกำจัด
ก็ยังจะทำให้โรงเรียนหาข้ออ้างกำจัดวิญญาณที่เลวร้าย”
…
ถังเทียนไม่ยอมเหลือบมองกลุ่มเด็กที่นอนอยู่บนพื้น เขารีบวิ่งตรงไปยังสนามฝึกฝนทันที
ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในสนามฝึก ระฆังเตือนก็ดังทันที
เฮ้อ!
ถังเทียนถอนหายใจยาว
เขาลอบชำเลืองมองไปที่นักเรียนวิชากระบี่ขั้นต้น หลังจากมีเรื่องซุบซิบเมื่อวานนี้แล้ว
ชื่อเสียงโด่งดังของถังเทียนก็แพร่กระจายไปเรียบร้อย และนักเรียนทุกคนมองเขาอย่างระมัดระวังขึ้น
เขาแกล้งกระแอมและโบกมือ “เริ่มฝึกกันได้!”
3 ความคิดเห็น:
แอบเทพนี่นา
ว่าแล้วต้องมีเงื่อนงำ. แบบไม่ทำมดา😁😁
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น