วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 417 โล่เทพพิทักษ์และระฆังกวักวิญญาณ



ตอนที่  417  โล่เทพพิทักษ์และระฆังกวักวิญญาณ


เวลานี้เป้าหมายโจมตีหลักของเย่ว์หยางไม่ใช่จักรพรรดิชื่อตี้อีกต่อไป  แต่เป็นสนมชื่อเฟย
สำหรับจักพรรดิชื่อตี้ที่เพิ่งเอาตัวรอดออกมาจากวงเวทผนึกโบราณได้  แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง  แต่ตรวจสอบแล้วว่าเขายังเอาตัวรอดได้ด้วยความเร็วของเขา  ก่อนหน้านี้เมื่อเขายังติดอยู่ในวงเวทผนึกโบราณ  พลังของเขาก็ไม่ได้อ่อนแอกว่าเย่ว์หยางเลย  ตรงกันข้าม  ถ้าเย่ว์หยางไม่มีทักษะที่หลากหลายและอาวุธสมบัติระดับสูง  จักรพรรดิชื่อตี้ก็คงไม่บาดเจ็บหนัก  อาจกล่าวได้ว่า ถ้าไม่มีผนึกเทพของจักรพรรดิอวี้  เย่ว์หยางคงไม่สามารถทำอะไรต่อจักรพรรดิชื่อตี้ได้
 
เย่ว์หยางไม่รู้ว่าการโจมตีของเขาจะมีผลต่อจักรพรรดิชื่อตี้มากน้อยเพียงไหน  ดังนั้นเขาตัดสินใจกำจัดสนมชื่อเฟยก่อน
การกำจัดนางจะก่อให้เกิดผลกระทบมหาศาลต่อจักรพรรดิชื่อตี้
 “บัวแดง”
สนมชื่อเฟยรู้เป็นอย่างดีว่าคนผู้นี้อันตรายที่สุดในชีวิตของนาง  ดังนั้นนางจึงไม่ออมพลังใดๆ ไว้และใช้พลังของนางทั้งหมดสู้กับเย่ว์หยางในครั้งนี้
ชีวิตของนางเองไม่ได้สำคัญสำหรับนางแล้ว  สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสู้ถ่วงเวลาไว้ เพื่อที่ว่าคนรักนางจะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากขึ้น
นางเชื่อลึกๆ ว่าคนรักของนางจะไม่พ่ายแพ้จากผลกระทบ
เพลิงบัวแดงยักษ์หมุนอยู่ในอากาศ  ขณะที่กลีบบัวนับพันยิงเข้าใส่เย่ว์หยาง
วงจักรล้างโลกก็หมุนในทำนองเดียวกัน
พอติดอยู่ภายในเปลวเพลิงที่ลุกโหมกระหน่ำ  วงจักรล้างโลกเปิดช่องอุโมงค์เล็กๆ อย่างน่าอัศจรรย์กั้นกลีบบัวแดงเพลิงทั้งหมดที่มาทางเขาทั้งหมด  เย่ว์หยางเคลื่อนตัวผ่านช่องว่างที่เล็กมากได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว
อุโมงค์ที่วงจักรล้างโลกเปิดนั้นมีแรงกดดันและหมุนวนช่วยให้เขาเคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้รวดเร็ว เป็นเหมือนกับว่ามีคนผลักเขาไปข้างหน้า  หอกเพลิงที่สร้างจากเพลิงอมฤตเล็งเป้าที่กลีบดอกบัวแดงที่อยู่ข้างหน้า  ทุกครั้งที่เพลิงทั้งสองสัมผัสกันก็จะเริ่มมีการกลั่นปรับแต่งเพลิงบัวแดง  แม้ว่ากระบวนการปรับแต่งจะไม่สำเร็จภายในวินาทีเดียว  แต่เพลิงบัวแดงมิได้อยู่ในระดับเดียวกับเพลิงอมฤตแน่นอน
เย่ว์หยางมั่นใจเต็มร้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้
ถ้าจะให้เขายกตัวอย่าง เพลิงระดับสามัญอาจเป็นเพลิงระดับหนึ่ง  เป็นเพลิงที่ด้อยในเรื่องคุณภาพและมีพลังน้อยที่สุด เพลิงผลาญฟ้าและฝนเพลิงดาวตกที่ทรงพลัง อาจจัดเป็นเพลิงระดับทองแดง  เพลิงเหล่านี้ดีกว่าเพลิงระดับสามัญและควบคุมได้ง่ายที่สุดสำหรับนักรบธรรมดา เพลิงนรกและเพลิงของมังกรจัดเป็นเพลิงระดับเงิน  สำหรับเพลิงระดับทอง จะแตกต่างไปตามแต่บุคคล  อย่างเช่นเพลิงนรกที่ควบคุมโดยจ้าวปีศาจบารุธ จะไม่อยู่ในระดับเดียวกับเพลิงนรกที่ควบคุมโดยนักรบธรรมดา  เพลิงภูตผีที่ควบคุมโดยองค์ชายเงาดำ อย่างน้อยเป็นเพลิงระดับทอง  อยู่ในหมวดประเภทเพลิงภูตผี  แม้ว่าอุณหภูมิของมันจะไม่สูงที่สุด แต่มันมีพิษมาก
เพลิงบัวแดงของสนมชื่อเฟยย่อมดีที่สุดในบรรดาเพลิงทั้งหมด แม้แต่เพลิงภูตผีก็ยังมิอาจเทียบได้
นั่นเป็นไฟที่เหนือกว่าไฟธรรมดาอื่นๆ ในโลก  เนื่องจากเป็นไฟปีศาจที่สามารถสร้างเป็นรูปทรงได้
แม้ว่าจะไม่มีการจัดระบบอันดับความแตกต่างระหว่างไฟเหล่านี้ก็จริง  แต่เมื่อยกตัวอย่างดังกล่าวขึ้นเทียบ มันน่าจะอยู่ในระดับแพลตตินัม
แม้แต่ไฟที่สูงกว่าระดับนั้น ก็คือไฟระดับเพชร ได้แก่เพลิงส่งวิญญาณ ที่มีแต่นักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับจื้อจุนเท่านั้นจึงใช้ได้  เป็นไฟรูปแบบเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถทำลายวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด  นี่เป็นเพลิงศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดยอดที่ไม่สามารถได้มาด้วยการฝึกฝน  แต่จะได้มาโดยวิวัฒนาการจากสมบัติระดับเทพ  เย่ว์หยางไม่เคยเห็นมันมาก่อน  แต่เขารู้ว่ามีไฟชนิดนี้มีอยู่ เพราะได้ความรู้จากมารดาสหายผู้น่าสงสาร
สำหรับเพลิงอมฤต เป็นไฟระดับเทพ มีเอกลักษณ์ที่ไม่ซ้ำ ไม่เหมือนใคร
ไม่ได้มีแต่เพียงอำนาจทำลายโลกเท่านั้น  แต่ยังมีทักษะพิเศษในการกลั่นชำระทุกอย่างในโลกได้  และยังมีความสามารถในการให้กำเนิดใหม่ได้
ภายใต้สภาวะปัจจุบัน  เย่ว์หยางไม่สามารถปลดปล่อยศักยภาพของเพลิงอมฤตได้เต็มที่  ถ้าเป็นพี่น้องหงส์เพลิง  เพลิงอมฤตสามารถข่มระดับของเพลิงระดับเทพและระดับที่สูงกว่านั้นได้...
 “ฉ่า....”  หอกเพลิงอมฤตของเย่ว์หยางป้องกันบัวแดงได้  และแทงทะลุทุกอย่าง ทั้งยังพุ่งตรงใส่ลำคอของสนมชื่อเฟย
 “หยุดนะ!
แผ่นจานสีเงินยิงข้ามอากาศเป็นลำแสงสีเงิน
มันมากั้นข้างหน้าสนมชื่อเฟย กั้นพลังโจมตีของหอกเพลิงอมฤตที่กำลังจะทะลวงเข้าลำคอของสนมชื่อเฟย
เพลิงอมฤตที่สามารถทำลายทุกอย่างได้กลับไม่สามารถแทงจานกลมสีเงินที่ดูแปลกประหลาดสลักด้วยอักษรรูนโบราณไว้  มันทำได้แค่ละลายแสงสีเงินเท่านั้น  ราวกับว่าเป็นสิ่งมีชีวิต  จานกลมเงินหมุนด้วยความเร็วสูงทันทีและพุ่งกลับไปอยู่ในมือข้างเดียวที่เหลือของจักรพรรดิชื่อตี้  มันยังคงสั่นอยู่ ราวกับว่าเจ็บปวดจากการทำร้ายของหอกเพลิงอมฤต  แม้ไม่ต้องใช้จักษุญาณทิพย์ตรวจดู  เย่ว์หยางก็สามารถบอกได้ว่าเป็นอาวุธระดับเทพ
แม้ว่าอาจไม่เทียมเท่ากับผนึกเทพของจักรพรรดิอวี้  แต่ก็ใกล้เคียง
ด้วยอาวุธเทพเช่นนี้ การกำจัดจักรพรรดิชื่อตี้อาจจะเป็นเรื่องที่ยากมากก็ได้...
เย่ว์หยางคาดว่าจักรพรรดิชื่อตี้คงไม่ใช่มือเปล่าไม่มีอะไร  เขาย่อมเต็มไปด้วยทักษะทรงพลังแน่นอน  แต่เย่ว์หยางคาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเป็นเจ้าของอาวุธระดับเทพ
โล่เงินเทพพิทักษ์ : อาวุธเทพระดับสี่ดาว  มีความรู้สึก ทำงานด้วยเลือดของเจ้าของ  พลังปกป้องของมันจะเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าเมื่อเจ้าของอยู่บนปากเหวแห่งความตาย  จะไม่เกิดความเสียหายเมื่อปะทะกับอาวุธที่มีพลังอ่อนแอกว่าอาวุธระดับเทพ  ตอนใช้จะมีรูปร่างแตกต่างกันไปภายใต้สภาพแวดล้อมโดยเจาะจง  มันสามารถใช้พลังงานเทพได้อย่างไม่จำกัดภายใต้แสงดาว  ทักษะพิเศษก็คือ กระแสลำแสง
 “แย่จริง”  หลังจากเย่ว์หยางเห็นข้อมูลของแผ่นจานเงินด้วยจักษุญาณทิพย์ เขาสบถอย่างควบคุมตนเองไม่ได้
ถ้าเขาต้องให้ความสนใจจุดอ่อนของโล่เทพพิทักษ์  อาจเป็นได้ว่าจะไม่สามารถเริ่มโจมตีได้เลย  ขณะที่อาวุธระดับเทพมีไว้เพื่อป้องกัน
อย่างไรก็ตาม  แม้เป็นเช่นนั้นมันก็มีอานุภาพมากพอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้  อาวุธเทพประเภทนี้ ถูกใช้ป้องกันอย่างเดียว ยังมีประโยชน์มากกว่าใช้เพื่อจู่โจมเสียอีก
สิ่งที่พอจะปลอบใจเย่ว์หยางได้เล็กน้อยก็คือ เขาสามารถมองเห็นโล่เทพพิทักษ์ด้วยจักษุญาณทิพย์ของเขา  แต่เขาไม่สามารถทำอย่างนั้นกับผนึกเทพจักรพรรดิอวี้ได้  นี่หมายความว่าผนึกเทพจักรพรรดิอวี้มีระดับที่สูงกว่าและทรงพลังมากกว่าโล่เทพพิทักษ์  แน่นอนว่า ผนึกเทพจักรพรรดิอวี้ยังไม่ยอมรับให้เย่ว์หยางเป็นเจ้าของมัน  ดังนั้นเขาจึงแค่ใช้มันหวดทุบคนอื่นเท่านั้น  แต่ยังไม่สามารถใช้งานมันอย่างจริงจังได้  ก็เหมือนกับที่เด็กได้มีดฆ่ามังกรมาเล่มหนึ่ง  แม้ว่าจะเป็นสมบัติที่ทรงพลัง  แต่เด็กก็ไม่สามารถใช้มันได้
 “เราสู้ไปก็ไม่มีความหมาย เจ้าต้อนเราเข้ามุมได้  แต่เจ้ายังฆ่าข้าไม่ได้  แม้จะไม่มีพลังป้องกันของอาวุธเทพก็ตาม  ข้าก็ยังมีฝีมืออื่นอีกหลายอย่างและวิธีไปจากที่นี่  ข้ายอมรับว่าลักษณะของเจ้าสามารถเปลี่ยนมุมมองปกติของข้า  เจ้าเป็นคู่ต่อสู้ผู้มีแผนการที่ดี  ความมุ่งมั่นและความกล้าหาญของเจ้านับว่าไม่เลว  แต่ข้าต้องชี้ให้เห็นว่าเจ้ายังอายุเยาว์เกินไป  ข้าดีกว่าเจ้าในเรื่องประสบการณ์ที่เจ้ายังไม่มี  ประสบการณ์ในการต่อสู้ทุกชนิดและทักษะในการดำเนินกลยุทธ  แม้แต่วิธีใช้อาวุธสมบัติ  ถ้าข้าสามารถเรียกอสูรของข้าออกมาได้  ข้าสามารถทำให้เจ้าต้องวิ่งหนีไปด้วยความกลัวเลยทีเดียว และมันจะไม่ปล่อยให้เจ้าเล่นงานข้าจนอยู่ในสภาพน่าขายหน้าด้วย  พ่อหนุ่ม  ไม่มีประโยชน์ที่เราจะสู้กันต่อไป  เราจะกลับกันเดี๋ยวนี้แล้ว ไว้พบกันใหม่ที่แดนสวรรค์เถอะ..”  จักรพรรดิชื่อตี้โบกมือ ก็ดึงสนมชื่อเฟยกลับเข้ามาในอ้อมแขนของเขาเตรียมตัวจากไป
ภายใต้การปกป้องของโล่เทพพิทักษ์  เขาจะสู้ต่อไปได้ยังไง?
ตอนนี้ที่จักรพรรดิชื่อตี้ก็ออกมาแล้ว  ด้วยความเร็วอย่างเขา  เขาสามารถหนีไปตามที่เขาพอใจก็ได้  ถ้าเขาไม่ต้องการจะสู้ต่อ  สถานการณ์ก็ยุ่งยากบ้างเล็กน้อย
แต่ถ้าพวกเขาไม่สู้กันต่อไป  อย่างนั้นเย่ว์หยางคงจะไม่พอใจกับเรื่องนั้น
พอคิดถึงแล้วทำให้เย่ว์หยางปวดหัว
เอ๋? เดี๋ยวก่อน  ทำไมเขาไม่ใช้โล่เทพพิทักษ์ตั้งแต่ก่อนหน้านั้นเล่า?
เย่ว์หยางเห็นว่าอักษรรูนโบราณสีแดงสลักอยู่บนโล่เทพพิทักษ์  ขณะที่ดาวเงินพลังงานเปล่งแสงระยิบระยับมากยิ่งขึ้น  เขาก็ตระหนักได้ทันที
เพื่อให้โล่นี้ยังทำงานต่อไป  มันอาจต้องสูบเลือดของเจ้าของอย่างต่อเนื่อง หรืออาจเป็นได้ว่าจักรพรรดิชื่อตี้มีพลังงานไม่พอจะสั่งให้โล่เทพพิทักษ์ทำงานได้  เขากำลังเผาผลาญชีวิตสละเลือดเพื่อให้โล่ทำงาน
ตอนนี้ พอเย่ว์หยางคิดเช่นนี้ เขารู้สึกยินดี
ไม่ว่าจะเป็นวิธีอะไรก็ตาม  วิธีที่ดีที่สุดก็คือก่อกวนจักรพรรดิชื่อตี้จนกว่าเขาจะพังทลาย
 “ท่านคิดว่า ท่านทรงพลังด้วยอาวุธเทพของท่านหรือ?  ข้าต้องการจะเอาชนะคนโอ้อวดอย่างท่านยิ่งนัก”  เย่ว์หยางพุ่งเข้าหาอย่างไม่รู้สึกอาย   ขณะที่หอกเพลิงอมฤตปรับเปลี่ยนแปลงรูปเป็นง้าว  เขาระดมการโจมตีทั้งหมดใส่จักรพรรดิชื่อตี้และสนมชื่อเฟย  โล่เทพพิทักษ์จะหมุนอย่างรวดเร็วในอากาศป้องกันพลังโจมตีทั้งหมดของเย่ว์หยาง  แสงเงินเจิดจ้าของโล่เทพพิทักษ์หมองลงทุกครั้งที่ง้าวเพลิงอมฤตฟันใส่  ร่างของจักรพรรดิชื่อตี้เริ่มสั่น ขณะที่เขาไม่สามารถอดทนได้จนถึงที่สุด  ร่างของเขาโอนเอนเล็กน้อย  ดูเหมือนว่าเขากำลังจะล้มลงจากการสูญเสียเลือด
 “เจ้าเด็กชั่วร้าย!  สนมชื่อเฟยจ้องหน้าเย่ว์หยางอย่างโกรธเกรี้ยว กว้างจนเหมือนจะนัยตานางจะพุ่งออกมา
นางใช้พลังของนางทั้งหมดรวบรวมเพลิงบัวแดงพันดอก
ใช้มือทั้งสองของนางควบคุมบัวเหล่านั้นให้พุ่งเข้าหาเย่ว์หยาง
แม้ว่าเพลิงบัวแดงจะไม่สามารถทำอะไรเย่ว์หยางที่มีเพลิงอมฤตคุ้มครอง  นางก็จะไม่เฉยมองดูเจ้าเด็กไร้ยางอายทำหยิ่งเยาะเย้ยแน่  นางสาบานว่าจะสู้กับเขาด้วยพลังของนางทั้งหมด
เผชิญหน้ากับเพลิงบัวแดงที่พุ่งลงมา  เย่ว์หยางไม่กล้าประมาทเช่นกัน
เขาไม่กลัวไฟ  แต่สนมชื่อเฟยผู้อยู่ในสภาพอ่อนแอก็ยังมีพลังนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับเก้า
นางควบคุมเพลิงบัวแดงพันดอกด้วยมือของนาง  ไม่เพียงแต่ไฟมีอุณหภูมิสูงเท่านั้น  แค่พลังของนักสู้ปราณก่อกำเนิดระดับเก้าก็เพียงพอจะฆ่าเขาได้ ถ้าถูกทำร้าย
เย่ว์หยางรีบป้องกันตนเอง เปลี่ยนง้าวเพลิงอมฤตเป็นเกราะเพลิงอมฤตและสวมไว้กับตัว  จากนั้นเขารีบสร้างลำเสาเพลิงอมฤต  จนท่วมเพลิงบัวแดงทั้งหมดที่กำลังพุ่งมาทางเขา  เขามีความภาคภูมิใจเล็กๆ น้อยๆ เพราะเขาผสานทักษะหยางกับพลังของเพลิงบัวแดงทั้งหมดสร้างทักษะเพลิงชนิดใหม่ขึ้น  แม้ว่าจะยังไม่ดีเท่าเพลิงอมฤต  แต่ก็ไม่อ่อนแอกว่าเพลิงภูตผีเป็นแน่
เกี่ยวกับทักษะเพลิงที่เพิ่มขึ้น เขาสามารถควบคุมเพลิงได้ดีขึ้น และเพิ่มพลังรบให้สูงยิ่งขึ้น
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือว่าเขาควบคุมทักษะพลังหยางได้ดีขึ้น  มีประโยชน์มากขึ้นก็อาจจะเป็นตอนเมื่อเขาต้องการผสานทักษะพลังหยินกับหยางเพื่อเข้าถึงขอบเขตระดับฝีมือใหม่
สนมชื่อเฟยรู้สึกว่าเพลิงบัวแดงที่นางปล่อยออกไปทั้งหมดถูกสกัดและคลุมรอบตัวคู่ต่อสู้ของนาง ราวกับว่าเพลิงเหล่านั้นสูญเสียการติดต่อกับนาง  นอกจากนี้ ทั้งใจและกายของนางรู้สึกอ่อนล้า  นางตวาดจริงจังขณะที่ยิงศรโลหิตไปที่เย่ว์หยางด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายของนางโดยไม่คำนึงว่านางจะต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง
ทันทีที่ศรโลหิตถูกยิงออกไป  สนมชื่อเฟยก็หมดสติในอ้อมแขนของจักรพรรดิชื่อตี้ทันที
นางถึงขีดจำกัดมานานแล้ว!
ศรโลหิตสร้างขึ้นจากเลือดในหัวใจนาง  เป็นพลังงานที่เกรี้ยวกราดเป็นพิเศษ ผลกระทบที่สร้างขึ้นมิได้อ่อนแอไปกว่าอาวุธเทพเลย
เย่ว์หยางหมุนตัวด้วยความตกตะลึง ขณะที่เขาตระหนักว่านางแม่มดนี่สู้กับเขาด้วยพลังของนางทั้งหมด
เขาไม่ยอมประมาท  ดังนั้นเขารีบใช้เกราะเพลิงอมฤตมาวางป้องกันข้างหน้าเขา
 “กวักวิญญาณ!  แสงทองหม่นในดวงตาของเขา ขณะที่ระฆังทองยักษ์ที่เหมือนสมบัติปรากฏอยู่กลางอากาศ  เมื่อจักรพรรดิชื่อตี้ตีระฆังด้วยพลังงานที่ยิงออกมาจากนัยน์ตาของเขา  ถ้ำมังกรปีศาจทั้งหมดก็สะท้านสะเทือนรุนแรง เหมือนกับว่าเกิดภัยพิบัติใหญ่  ผนังหินแตกและหักพังทลายด้วยคลื่นเสียงกระหึ่ม  และศิลาขนาดยักษ์ร่วงกราวลงมาจากเพดาน
เย่ว์หยางรู้สึกว่าสมองของเขากำลังมึนงง  พลังงานชั่วร้ายเข้ามาในตัวของเขา  เขารู้สึกเห็นภาพหลอนของวิญญาณเขากำลังถูกพลังอย่างหนึ่งดึงดูดออกจากร่าง
โชคดีที่ปราณก่อกำเนิดในจุดตันเถียนของเขามีความอบอุ่นขึ้น  กระตุ้นเพลิงอมฤตขณะที่มันเคลื่อนเข้ามาในร่างกายของเขา  ขับไล่พลังงานชั่วร้ายที่ดูดวิญญาณของเขาออกไปจากร่างของเขา
แต่ความมึนงงของเย่ว์หยางยังไม่หายไปเป็นเวลานาน
บนพื้นดิน พลังงานน้ำพุแสงมากกว่าสิบสายกระจายออกมา  ขณะที่เตรียมจะจู่โจมใส่เย่ว์หยางที่ยังคงมึนงงอยู่  เกราะเพลิงอมฤตยังคงหมุนวนอยู่รอบตัวของเขา  มันจะปกป้องเจ้านายมันโดยอัตโนมัติ  ขณะที่มันยังคงกลั่นน้ำพุพลังงาน  แต่เมื่อน้ำพุพลังงานถูกขัดขวางโดยเกราะเพลิงอมฤต  และทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้เพื่อควบคุมสถานการณ์  ศรโลหิตก็ฉวยโอกาสจากสถานการณ์ยิงใส่อกของเย่ว์หยาง
แม้ว่ามันจะช้า  แต่แรงปะทะก็มากมายมหาศาล
เมื่อเกราะเพลิงกลับมาปกป้องเจ้านายของมัน  จู่ๆโล่เทพพิทักษ์ก็ม้วนตัวเป็นท่อกลมทันที  ไม่เพียงแต่ป้องกันการโจมตีครั้งที่สองของเกราะเพลิงอมฤตเท่านั้น  แต่พื้นที่ว่างระหว่างมันเปิดทางให้ศรโลหิตพุ่งตรงเข้าหัวใจเย่ว์หยาง
 

13 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

เอ้าเข้าไปรอลุ้นอีกแล้วละงานนี้

Unknown กล่าวว่า...

สนุกมากครับ ค้างงสุด 555
ขอบคุณคนแปลครับ

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณมากคับ

เปา กล่าวว่า...

มันส์มาก เลยครับ. ขอบคุณมากครับ

Unknown กล่าวว่า...

พี่เยว์กำลังจะเติมทรูโดยฝั่งศัตรูใช่ไหม....

sarinnan กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Unknown กล่าวว่า...

ดำน้ำสนุกเลย555

Unknown กล่าวว่า...

สนุกมากครับ ค้างงสุด 555
ขอบคุณคนแปลครับ

Minamoto กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Nopanser Kung กล่าวว่า...

เอาล่ะสิๆ ระวังให้ดีนะเย่ว์หยาง หมาจนตรอกน่ะน่ากลัวนะเออ

ป.ล. นี่จะเป็นครั้งแรกที่เย่ว์หยางจะได้สังหารผู้หญิงหรือเปล่าน้า ~

Nopanser Kung กล่าวว่า...

อ้าว ตอนเก่ารึ ก็ว่าอ่านไปอ่านมาทำไมคุ้นๆ *~*
ผู้แปลได้บอกอะไรไว้ไหมหว่า...ต้องเข้าไปดูในเพจสินะ

ZENDINEL กล่าวว่า...

Thx

akekapoj-tee กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

แสดงความคิดเห็น