วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2561

ยอดยุทธไร้เทียมทาน ตอนที่ 489 เต่าหมองและแบบร่างวิญญาณ



ตอนที่  489  เต่าหมองและแบบร่างวิญญาณ
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าเบาและไวมาก เหมือนกับว่าไม่ได้เกิดจากมนุษย์ ขณะที่ถังเทียนหันมาอย่างไม่เต็มใจ ภาพที่อยู่ต่อหน้าเขามืดทะมึนเหมือนกับมีสัตว์ขนาดมหึมายืนจังก้าอยู่ต่อหน้าเขา

ใหญ่มาก!
ถังเทียนตกใจ เมื่อเผชิญหน้ากับตัวประหลาดขนาดใหญ่ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเขาถึงสามเท่า  เขาต้องเงยหน้ามองจึงจะมองเห็นหน้าของมันได้  มันคือเต่าภูตดวงดาวที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน  กระดองเต่าราวกับภูเขาเต็มไปด้วยรอยแผลและร่องรอย ท่าทางเหมือนจะล้มใส่เขาได้ทุกเมื่อ
มันก้มศีรษะลงและสูดกลิ่นถังเทียน
 “เจ้า..เจ้าเป็นตัวอะไร?”  หน้าของถังเทียนเต็มไปด้วยอาการตกใจขณะที่เขาพยายามพูด  เขาลืมคำท่องบ่นว่า พูดน้อยๆ ไปอย่างสิ้นเชิง
เจ้าตัวใหญ่ดมรอบๆ ตัวถังเทียน หมอกดำเกิดขึ้นบนศีรษะของมันทำให้ดูน่าสงสัย หมอกควันและละอองปราณที่ลอยอยู่ยังคงมีการเปลี่ยนแปลง  แต่ถังเทียนสามารถเห็นสีหน้าของมันได้
เต่าใหญ่จ้องมองถังเทียนอยู่นาน  ถังเทียนสามารถเห็นได้ชัดว่าเต่ายักษ์นี้เกิดความสงสัย
 “เอ่อ..ข้าคือ..อาโฉ่ว”
เขาเกือบหลุดปากชื่อถังเทียนออกไปแล้ว  แต่เขาระลึกได้ทันเวลาว่าเขาไม่ได้อยู่ในดินแดนของเขา
ทำตัวต่ำไว้  ทำตัวธรรมดาเข้าไว้...
เต่าใหญ่มองดูเขา จากนั้นหมุนตัวจากไป  ถังเทียนสังเกตว่ามีหมอกดำลอยอยู่รอบแขนขาทั้งสี่ของเต่า ความเคลื่อนไหวของมันเร็วกว่าสิ่งที่ถังเทียนคิด มันไม่งุ่มง่ามและคล่องแคล่วมาก
ถังเทียนจ้องมองดูเต่าใหญ่หายไป
 “เป็นอสูรดวงดาวที่ประหลาด!  ปิงปรากฏตัวอีกครั้งด้วยท่าทางประหลาดใจ  “บนร่างของมัน  ข้าไม่รู้สึกถึงพลังชีวิตเลยแม้แต่น้อย เป็นไปได้ไหมว่ามันเป็นสัตว์ตายแล้ว?”
 “เอ่, ลุง, ลุงรู้สึกอย่างนั้นเหรอ?”  ถังเทียนผงกศีรษะ  “ข้าก็รู้สึกอย่างนั้น เอาล่ะ ไม่ต้องคิดแล้ว  ข้าขอทำงานก่อน”
ถังเทียนหันมาเริ่มสับก้อนน้ำแข็งต่อ
เมื่อเจ๊อิงกลับมา ก้อนอิฐน้ำแข็งข้างหน้าถังเทียนก็กองเป็นภูเขาแล้วทำให้นางมีความสุขมาก และนางอนุญาตให้ถังเทียนกลับไปพักที่ค่ายฝึก
ค่ายฝึกอยู่ไม่ห่างจากเมืองหานกู่ ระหว่างทางกลับ นักสู้สองสามคนกวาดผ่านเขาไป  พวกเขาไม่พยายามซ่อนราศีตนเอง  หนึ่งในนั้นยังเผยตัวเองว่าเป็นนักสู้ระดับเซียน!
ถังเทียนคาดว่าเขาน่าจะเป็นบิดาของหลี่เหลียงชิว หลี่รั่ว  แต่เขากลัวว่าเขาจะถูกตรวจสอบและดูไม่ดี
เมื่อกลับไปถึงค่ายฝึก ติงเฉินถามเรื่องตอนกลางวันกับเขาทันที  ถังเทียนพูดเรื่องเต่าตัวใหญ่ทันที  ติงเฉินอธิบายว่าเต่าใหญ่นั้นเรียกว่าเต่าหมอก มันนิสัยอ่อนโยนมากและไม่เคยทำร้ายใครมาก่อน  แต่ไม่มีใครรู้เบื้องหลังและประวัติของเต่าหมอกมาก่อน
เมื่อค่ายฝึกซ่อมแซมเสร็จแล้ว  ทุกคนในกลุ่มจะกลับไปยังฐานของตนเองและทุกคนสงบกันหมด วันนี้เป็นการทำงานที่ยากลำบาก และสองสามวันผ่านไปอย่างน่ากลัว และตอนนี้ทุกคนผ่อนคลายกันแล้ว  พวกเขาทุกคนจึงรู้สึกง่วงอย่างหนัก
ถังเทียนต้องรอให้ตกกลางคืนก่อน  ดังนั้นเขาจึงเริ่มขัดเกลาวิทยายุทธของเขาในห้องตนเอง
ปัจจุบันนี้เขาแข็งแกร่ง เทียบกับเซียนนักสู้ชั้นบรอนซ์  แต่เขายังไม่พบหนทางของเขา  สถานการณ์นี้เกิดจากข้อสงสัยสองข้อ  ข้อสงสัยแรกคือไม่ว่าจะมีร่างพลังกายเป็นศูนย์นี่ถือว่าสุดยอดแล้วหรือยังหรือว่ายัง หรือว่ายังแข็งแกร่งได้อีก?  ความแข็งแกร่งปัจจุบันของเขาส่วนใหญ่อยู่ที่สภาพกายมีพลังเป็นศูนย์  อีกข้อสงสัยหนึ่งก็คือวิธีการใช้เสี่ยวเอ้อ  จนถึงตอนนี้ความเข้าใจของเขาที่มีต่อเสี่ยวเอ้อ ยังต้องพึ่งพาอาศัยเสี่ยวเอ้อมาช่วยขยายพลังของเขาเอง
ในฐานะนักสู้ที่มีระดับ  เขาไม่ควรมีปัญหาเรื่องไม่สามารถควบคุมพลัง
เขาต้องการเวลาเพื่อสงบจิตใจและคิดหาวิธีการดีๆ บวกกับมีเซียนอยู่ในค่ายของเขาหลายคน  พวกเขามีการพูดคุยถึงทฤษฎีเกี่ยวกับสนามพลังวิญญาณเซียน นั่นช่วยขยายโลกทัศน์ของถังเทียนได้
หลังจากถึงระดับเซียนซึ่งมีสนามพลังวิญญาณสามารถเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้ได้  ทั้งหมดนี้เกิดจากความจริงที่ว่าสนามพลังวิญญาณสามารถเรียกใช้ปราณแท้ได้โดยตรง  ลักษณะการใช้สนามพลังวิญญาณเพื่อต่อสู้ถือว่าเป็นความแปลกประหลาดที่ยอดเยี่ยม  สนามพลังวิญญาณบางอย่างสามารถสร้างพื้นที่ได้และกักศัตรูไว้ภายในสนามพลังวิญญาณซึ่งเลียนแบบวิธีการใช้ปราณแท้และช่วยสร้างการโจมตีที่แข็งแกร่งขึ้น  ตัวอย่างเช่นฟงเยี่ยที่อยู่ในบัญชาของถังเทียน  และยังมีสนามพลังวิญญาณของนักสู้พลังสายเลือดซึ่งแตกต่างจากนักสู้ตามปกติ  สนามพลังวิญญาณของพวกเขามักจะหมายถึงการพัฒนาการทางร่างกายของพวกเขา  นอกจากนั้นยังมีสนามพลังวิญญาณเฉพาะ เหมือนอย่างภูตกระบี่ของจิ่งหาวซึ่งเป็นสนามพลังวิญญาณที่พิเศษมาก
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น  ถังเทียนมีความคิดอย่างหนึ่งทันที  เป็นไปได้ไหมว่าเสี่ยวเอ้อของเรายังคงเป็นสนามพลังวิญญาณที่พิเศษมาก?
ความคิดที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้ถังเทียนตื่นเต้น
ใช่แล้ว!
ภูตกระบี่ของพี่จิ่งหาวคือสิ่งที่ทำเหมือนกับเป็นสนามพลังวิญญาณ  ดังนั้นทำไมเสี่ยวเอ้อถึงไม่อาจเป็นสนามพลังวิญญาณได้?  และเสี่ยวเอ้อสามารถควบคุมพลังได้ ลักษณะพิเศษนี้สอดคล้องกับสนามพลังวิญญาณ
ยิ่งถังเทียนคิดถึงเรื่องนี้  ก็ยิ่งรู้สึกสมเหตุผลมากขึ้น  เขาเรียกปิงออกมาทันทีและพูดเรื่องที่เขาคิด  เมื่อได้ยินเช่นนั้น  ปิงก็ยังรู้สึกว่าสมเหตุผล และรีบกลับไปยังเมืองสามวิญญาณและส่งข้อมูลไปยังกลุ่มดาวหมีใหญ่อย่างรวดเร็ว ขอให้พวกเขาตรวจสอบว่ามีสนามพลังวิญญาณแบบนั้นไหม
ในเวลาอันรวดเร็ว  กลุ่มดาวหมีใหญ่ส่งข้อมูลกลับมาอย่างรวดเร็ว  มีสนามพลังวิญญาณเช่นนั้นจริงๆ
เป็นสนามพลังวิญญาณที่หาได้ยากมากเรียกว่าสนามพลังรูปแบบวิญญาณ  รูปแบบวิญญาณคือสนามพลังโบราณซึ่งปัจจุบันแทบหาไม่พบแล้ว  ในยุคโบราณระบบวิทยายุทธยังไม่ดีเหมือนในปัจจุบัน และสนามพลังวิญญาณในช่วงเวลานั้นยังมีกฎที่ไม่บริสุทธิ์เท่ากับปัจจุบันนี้ มักจะมีแง่มุมของกฎที่แตกต่างออกไปไม่กี่ข้อ
รูปแบบวิญญาณเป็นสนามพลังวิญญาณที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ มีสติปัญญาเฉพาะและมีกฎเกณฑ์ที่ไม่เหมือนใคร แต่มีร่างกายตนเองที่มีลักษณะเติบโตได้  นอกจากนี้มันยังมีจุดอ่อน  ตัวอย่างเช่น สนามพลังวิญญาณในปัจจุบันนี้เป็นเหมือนผืนแผ่นดิน  และเซียนนักสู้สามารถสร้างบ้านของตัวพวกเขาเองลงบนผืนดินนี้ได้  แต่รูปแบบร่างวิญญาณเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงและมันเติบโตได้ไม่สามารถควบคุมได้อย่างจริงจัง
นั่นคือสาเหตุที่สนามพลังรูปแบบร่างวิญญาณค่อยๆ สาบสูญไป
พวกเซียนนักสู้หมกมุ่นอยู่กับการควบคุมพลังของพวกเขา  และพลังที่ไม่สามารถควบคุมได้ก็จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากพวกเขาเลย
เมื่อทราบเช่นนั้น  ถังเทียนมองเห็นแสงสว่าง
แต่เมื่อเทียบกับภูตกระบี่ซึ่งเป็นสนามพลังชั้นยอดอยู่แล้วที่ถูกสร้างออกมา  แม้ว่ารูปแบบร่างวิญญาณจะพบเห็นได้ยาก  แต่ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีความแน่นอน  มีบางรูปแบบร่างวิญญาณที่แข็งแกร่งตั้งแต่แรก  แต่หลังจากนั้นอาจกลายเป็นอ่อนแอ  เพราะจำนวนกฎในตัวมันไม่ใช่มีแค่เพียงรูปแบบเดียวและเบี่ยงเบนไปจากแก่นแท้จนควบคุมไม่ได้  และมีรูปแบบร่างวิญญาณที่ตอนแรกอ่อนแอ  แต่หลังจากนั้นกลับแข็งแกร่งมากขึ้น
เมื่อนักสู้ระดับเซียนของกลุ่มดาวหมีใหญ่แจ้งข้อมูลให้ถังเทียนทราบว่าสนามพลังวิญญาณของเขาคือรูปแบบร่างวิญญาณ  พวกเขายิ่งระวังกันมาก
ถังเทียนไม่คิดเรื่องนั้นให้มากเกินไป  ไม่ว่าเสี่ยวเอ้อจะทรงพลังหรือไม่ก็ไม่สำคัญ  สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเขามีทิศทางแน่นอน  ที่สำคัญคือเขาถูกสร้างขึ้นมาจากระบบวิทยายุทธในปัจจุบันและแม้ว่ามันจะเป็นรูปแบบร่างวิญญาณ มันอาจแตกต่างจากรูปแบบร่างวิญญาณในสมัยโบราณก็ได้
เนื่องจากเขารู้ว่าเขามีสนามพลังวิญญาณพิเศษอย่างหนึ่ง การฝึกฝนของถังเทียนจึงเปิดกว้างทันที
แต่เมื่อท้องฟ้ามืด ก็ได้เวลาลอบเข้าไปในจวนเจ้าเมือง
ถังเทียนยืนขึ้นเงียบๆ เปลี่ยนลักษณะและรูปร่างของเขาและไม่ปลุกใคร เขาลอยตัวมุ่งหน้าไปยังเมืองหานกู่  เมื่อเข้าไปใกล้เมืองหานกู่  ถังเทียนสังเกตได้ทันทีว่ามีสถานที่ซึ่งต่างกัน  ตอนกลางคืน การป้องกันและรักษาความปลอดภัยเข้มงวดมาก
 “มีกลิ่นไม่ดีอยู่แถวนี้แน่นอน!  ปิงแค่นเสียง  “ทำไมสถานที่อย่างนี้ถึงได้มีการรักษาความปลอดภัยขนาดนั้น?”
ถังเทียนเบะปาก  “ลุงพูดมาหลายครั้งแล้วนะ”
 “แล้วเจ้าคิดว่าข้างในมีอะไร?”  ปิงถามอย่างตื่นเต้น
 “ข้าไม่รู้”  ถังเทียนสั่นศีรษะ  “เราจะรู้ต่อเมื่อเราเข้าไป”
สัญชาตญาณของเขาเฉียบคมและพบช่องว่างในระบบรักษาความปลอดภัยได้อย่างรวดเร็ว  และเขาพลิกตัวข้ามกำแพงไปเหมือนกับเงา เมื่อเทียบความสามารถในการทำลายล้างร่างที่มีพลังกายเป็นศูนย์ไม่อาจเทียบได้กับพลังสายเลือดระดับเซียน  แต่ร่างพลังกายเป็นศูนย์มีความได้เปรียบที่ดี นั่นก็คือไม่มีระลอกพลังงานแต่อย่างใด และด้วยความได้เปรียบนี้ ทำให้ถังเทียนสามารถหลบหลีกจากการตรวจสอบจากสมบัติได้
ความเคลื่อนไหวของเขาเงียบกริบ  กล้ามเนื้อทั้งหมดในร่างกายถูกควบคุมไว้ในระดับที่พิเศษ ข้อต่อทุกส่วนขยับหมุนได้เหมือนแมว  และด้วยสัญชาตญาณที่แข็งแกร่งของเขาและการตัดสินใจทำให้เขาสามารถรู้สึกถึงอันตรายได้เร็ว
โดยไม่มีใครรู้ตัว  เขามาถึงจวนเจ้าเมือง
ทหารยามบนพื้นดูเหมือนไม่ได้เข้มงวดนัก  แต่ถังเทียนรู้ว่าเป็นแค่เพียงภายนอก  เนื่องจากมีเซียนนักสู้สองคนนั่งอยู่ข้างใน  และอันตรายจากพวกเขามากกว่าการรักษาความปลอดภัยข้างนอก
ปิงแสดงความเป็นมืออาชีพของเขาทันที  ตอนกลางวันเขาลอบสังเกตและจดจำตำแหน่งเส้นทางไว้แล้ว  ด้วยการแนะนำของปิง  ถังเทียนพบที่ซึ่งไม่มีใครเฝ้ารักษา และปีนเข้าไปข้างในอย่างเงียบๆ
เขาหลบหน่วยลาดตระเวนและทหารยามตามรายทาง  ในที่สุดถังเทียนก็มาถึงผนังของลานด้านนอก และพบสถานที่เหมาะจะกระโดดเข้าไป และเขาตะลึงทันที
นี่มันที่อะไร
ข้างกำแพงเป็นดอกไม้ผลิบานที่งดงาม มีหญ้างอกมองดูเหมือนกับเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ
*******

เจียงหยางนั่งกรรมฐานอยู่ในท่ามกลางดอกไม้  เขาคือศิษย์คนโตของหลี่รั่วและติดตามหลี่รั่วเป็นปกติและตั้งแต่ศิษย์น้องของเขาเดินทางเข้าไปภายในคลื่นเย็น  เขาติดตามอาจารย์ของเขาออกมาเป็นพิเศษ
ทันใดนั้น เขาลืมตา
มีคนบุกรุกเข้ามาในสวน
แสงรังสีเขียวที่ดูเหมือนประกายหญ้าวาบผ่านม่านตาของเขา  หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เข้ามาในนี้ได้นับว่ากล้าท้าทายอาจารย์และอาจารย์ลุงของเขา
และเนื่องจากคู่ต่อสู้เข้ามาในสวนโดยไม่ให้เราสังเกต
ก็แค่นั้น สวนนี้ความจริงคืออาณาเขตของเรา
เขากางฝ่ามือออกและกดลงบนต้นหญ้าบนพื้น แสงสีเขียวขยายวาบผ่านนัยน์ตาของเขา  ผมของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว
ในความมืด หญ้าและดอกไม้ที่อุดมสมบูรณ์ดูเหมือนถูกตัดด้วยดาบที่เฉียบบางและค่อยๆ ลอยขึ้นกลายเป็นอาวุธลับ
ถังเทียนระมัดระวังตัวทันที  เขารู้สึกได้ถึงอันตรายเหมือนกับมีอสูรร้ายกำลังจ้องมองเขา
ข้าถูกพบแล้ว
ในทันใดนั้น ถังเทียนเข้าใจ  แต่จากนั้นมีเสียงดังออกมา  “อาคันตุกะที่อยู่ที่นี่  เจ้าจงอยู่ได้ที่นี่เสียเถอะ!
ร่างนับไม่ถ้วนกระโจนออกมาจากทุกตำแหน่ง  ถังเทียนตระหนักด้วยความตกใจว่าเขาถูกล้อมไว้แล้ว
ลอบทำร้ายหรือ?
แต่เมื่อเขามองดูชัดๆ ร่างทั้งหมดเป็นกระจุกของดอกไม้และหญ้า  แต่เขาไม่ได้ผ่อนคลายลงแต่อย่างใด กลับรู้สึกถึงอันตรายในใจที่หนาแน่นขึ้นมากแทน
ควั่บ
ใบหญ้านับไม่ถ้วนเป็นเหมือนอาวุธลับยิงลงมาที่เขาเหมือนสายฝน  เสียงแหลมคมแหวกอากาศปกคลุมไปทุกพื้นที่ เสียงที่ได้ยินสามารถทำให้ผิวของผู้คนรู้สึกหนาวชา  ถังเทียนตระหนักว่าเขาไม่มีทางหลบได้
นั่นคือวิชาอะไรกัน?
ถังเทียนถูกความตกใจครอบงำ

2 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

เสี่ยวเอ้อ คือ สแตนท์ของถังเทียนสินะ

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุนคับ

แสดงความคิดเห็น