ตอนที่
489 เต่าหมองและแบบร่างวิญญาณ
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าเบาและไวมาก เหมือนกับว่าไม่ได้เกิดจากมนุษย์
ขณะที่ถังเทียนหันมาอย่างไม่เต็มใจ
ภาพที่อยู่ต่อหน้าเขามืดทะมึนเหมือนกับมีสัตว์ขนาดมหึมายืนจังก้าอยู่ต่อหน้าเขา
ใหญ่มาก!
ถังเทียนตกใจ เมื่อเผชิญหน้ากับตัวประหลาดขนาดใหญ่ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเขาถึงสามเท่า
เขาต้องเงยหน้ามองจึงจะมองเห็นหน้าของมันได้
มันคือเต่าภูตดวงดาวที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน กระดองเต่าราวกับภูเขาเต็มไปด้วยรอยแผลและร่องรอย
ท่าทางเหมือนจะล้มใส่เขาได้ทุกเมื่อ
มันก้มศีรษะลงและสูดกลิ่นถังเทียน
“เจ้า..เจ้าเป็นตัวอะไร?” หน้าของถังเทียนเต็มไปด้วยอาการตกใจขณะที่เขาพยายามพูด เขาลืมคำท่องบ่นว่า พูดน้อยๆ ไปอย่างสิ้นเชิง
เจ้าตัวใหญ่ดมรอบๆ ตัวถังเทียน
หมอกดำเกิดขึ้นบนศีรษะของมันทำให้ดูน่าสงสัย
หมอกควันและละอองปราณที่ลอยอยู่ยังคงมีการเปลี่ยนแปลง แต่ถังเทียนสามารถเห็นสีหน้าของมันได้
เต่าใหญ่จ้องมองถังเทียนอยู่นาน
ถังเทียนสามารถเห็นได้ชัดว่าเต่ายักษ์นี้เกิดความสงสัย
“เอ่อ..ข้าคือ..อาโฉ่ว”
เขาเกือบหลุดปากชื่อถังเทียนออกไปแล้ว
แต่เขาระลึกได้ทันเวลาว่าเขาไม่ได้อยู่ในดินแดนของเขา
ทำตัวต่ำไว้
ทำตัวธรรมดาเข้าไว้...
เต่าใหญ่มองดูเขา จากนั้นหมุนตัวจากไป
ถังเทียนสังเกตว่ามีหมอกดำลอยอยู่รอบแขนขาทั้งสี่ของเต่า
ความเคลื่อนไหวของมันเร็วกว่าสิ่งที่ถังเทียนคิด มันไม่งุ่มง่ามและคล่องแคล่วมาก
ถังเทียนจ้องมองดูเต่าใหญ่หายไป
“เป็นอสูรดวงดาวที่ประหลาด!”
ปิงปรากฏตัวอีกครั้งด้วยท่าทางประหลาดใจ
“บนร่างของมัน
ข้าไม่รู้สึกถึงพลังชีวิตเลยแม้แต่น้อย
เป็นไปได้ไหมว่ามันเป็นสัตว์ตายแล้ว?”
“เอ่,
ลุง, ลุงรู้สึกอย่างนั้นเหรอ?”
ถังเทียนผงกศีรษะ
“ข้าก็รู้สึกอย่างนั้น เอาล่ะ ไม่ต้องคิดแล้ว ข้าขอทำงานก่อน”
ถังเทียนหันมาเริ่มสับก้อนน้ำแข็งต่อ
เมื่อเจ๊อิงกลับมา
ก้อนอิฐน้ำแข็งข้างหน้าถังเทียนก็กองเป็นภูเขาแล้วทำให้นางมีความสุขมาก
และนางอนุญาตให้ถังเทียนกลับไปพักที่ค่ายฝึก
ค่ายฝึกอยู่ไม่ห่างจากเมืองหานกู่
ระหว่างทางกลับ นักสู้สองสามคนกวาดผ่านเขาไป
พวกเขาไม่พยายามซ่อนราศีตนเอง
หนึ่งในนั้นยังเผยตัวเองว่าเป็นนักสู้ระดับเซียน!
ถังเทียนคาดว่าเขาน่าจะเป็นบิดาของหลี่เหลียงชิว
หลี่รั่ว
แต่เขากลัวว่าเขาจะถูกตรวจสอบและดูไม่ดี
เมื่อกลับไปถึงค่ายฝึก
ติงเฉินถามเรื่องตอนกลางวันกับเขาทันที
ถังเทียนพูดเรื่องเต่าตัวใหญ่ทันที
ติงเฉินอธิบายว่าเต่าใหญ่นั้นเรียกว่าเต่าหมอก มันนิสัยอ่อนโยนมากและไม่เคยทำร้ายใครมาก่อน
แต่ไม่มีใครรู้เบื้องหลังและประวัติของเต่าหมอกมาก่อน
เมื่อค่ายฝึกซ่อมแซมเสร็จแล้ว ทุกคนในกลุ่มจะกลับไปยังฐานของตนเองและทุกคนสงบกันหมด
วันนี้เป็นการทำงานที่ยากลำบาก และสองสามวันผ่านไปอย่างน่ากลัว และตอนนี้ทุกคนผ่อนคลายกันแล้ว พวกเขาทุกคนจึงรู้สึกง่วงอย่างหนัก
ถังเทียนต้องรอให้ตกกลางคืนก่อน
ดังนั้นเขาจึงเริ่มขัดเกลาวิทยายุทธของเขาในห้องตนเอง
ปัจจุบันนี้เขาแข็งแกร่ง เทียบกับเซียนนักสู้ชั้นบรอนซ์ แต่เขายังไม่พบหนทางของเขา สถานการณ์นี้เกิดจากข้อสงสัยสองข้อ
ข้อสงสัยแรกคือไม่ว่าจะมีร่างพลังกายเป็นศูนย์นี่ถือว่าสุดยอดแล้วหรือยังหรือว่ายัง
หรือว่ายังแข็งแกร่งได้อีก?
ความแข็งแกร่งปัจจุบันของเขาส่วนใหญ่อยู่ที่สภาพกายมีพลังเป็นศูนย์ อีกข้อสงสัยหนึ่งก็คือวิธีการใช้เสี่ยวเอ้อ จนถึงตอนนี้ความเข้าใจของเขาที่มีต่อเสี่ยวเอ้อ
ยังต้องพึ่งพาอาศัยเสี่ยวเอ้อมาช่วยขยายพลังของเขาเอง
ในฐานะนักสู้ที่มีระดับ เขาไม่ควรมีปัญหาเรื่องไม่สามารถควบคุมพลัง
เขาต้องการเวลาเพื่อสงบจิตใจและคิดหาวิธีการดีๆ
บวกกับมีเซียนอยู่ในค่ายของเขาหลายคน
พวกเขามีการพูดคุยถึงทฤษฎีเกี่ยวกับสนามพลังวิญญาณเซียน นั่นช่วยขยายโลกทัศน์ของถังเทียนได้
หลังจากถึงระดับเซียนซึ่งมีสนามพลังวิญญาณสามารถเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้ได้ ทั้งหมดนี้เกิดจากความจริงที่ว่าสนามพลังวิญญาณสามารถเรียกใช้ปราณแท้ได้โดยตรง ลักษณะการใช้สนามพลังวิญญาณเพื่อต่อสู้ถือว่าเป็นความแปลกประหลาดที่ยอดเยี่ยม
สนามพลังวิญญาณบางอย่างสามารถสร้างพื้นที่ได้และกักศัตรูไว้ภายในสนามพลังวิญญาณซึ่งเลียนแบบวิธีการใช้ปราณแท้และช่วยสร้างการโจมตีที่แข็งแกร่งขึ้น
ตัวอย่างเช่นฟงเยี่ยที่อยู่ในบัญชาของถังเทียน และยังมีสนามพลังวิญญาณของนักสู้พลังสายเลือดซึ่งแตกต่างจากนักสู้ตามปกติ สนามพลังวิญญาณของพวกเขามักจะหมายถึงการพัฒนาการทางร่างกายของพวกเขา นอกจากนั้นยังมีสนามพลังวิญญาณเฉพาะ
เหมือนอย่างภูตกระบี่ของจิ่งหาวซึ่งเป็นสนามพลังวิญญาณที่พิเศษมาก
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น ถังเทียนมีความคิดอย่างหนึ่งทันที
เป็นไปได้ไหมว่าเสี่ยวเอ้อของเรายังคงเป็นสนามพลังวิญญาณที่พิเศษมาก?
ความคิดที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้ถังเทียนตื่นเต้น
ใช่แล้ว!
ภูตกระบี่ของพี่จิ่งหาวคือสิ่งที่ทำเหมือนกับเป็นสนามพลังวิญญาณ
ดังนั้นทำไมเสี่ยวเอ้อถึงไม่อาจเป็นสนามพลังวิญญาณได้? และเสี่ยวเอ้อสามารถควบคุมพลังได้
ลักษณะพิเศษนี้สอดคล้องกับสนามพลังวิญญาณ
ยิ่งถังเทียนคิดถึงเรื่องนี้ ก็ยิ่งรู้สึกสมเหตุผลมากขึ้น
เขาเรียกปิงออกมาทันทีและพูดเรื่องที่เขาคิด เมื่อได้ยินเช่นนั้น ปิงก็ยังรู้สึกว่าสมเหตุผล
และรีบกลับไปยังเมืองสามวิญญาณและส่งข้อมูลไปยังกลุ่มดาวหมีใหญ่อย่างรวดเร็ว
ขอให้พวกเขาตรวจสอบว่ามีสนามพลังวิญญาณแบบนั้นไหม
ในเวลาอันรวดเร็ว กลุ่มดาวหมีใหญ่ส่งข้อมูลกลับมาอย่างรวดเร็ว มีสนามพลังวิญญาณเช่นนั้นจริงๆ
เป็นสนามพลังวิญญาณที่หาได้ยากมากเรียกว่าสนามพลังรูปแบบวิญญาณ รูปแบบวิญญาณคือสนามพลังโบราณซึ่งปัจจุบันแทบหาไม่พบแล้ว
ในยุคโบราณระบบวิทยายุทธยังไม่ดีเหมือนในปัจจุบัน
และสนามพลังวิญญาณในช่วงเวลานั้นยังมีกฎที่ไม่บริสุทธิ์เท่ากับปัจจุบันนี้
มักจะมีแง่มุมของกฎที่แตกต่างออกไปไม่กี่ข้อ
รูปแบบวิญญาณเป็นสนามพลังวิญญาณที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
มีสติปัญญาเฉพาะและมีกฎเกณฑ์ที่ไม่เหมือนใคร
แต่มีร่างกายตนเองที่มีลักษณะเติบโตได้
นอกจากนี้มันยังมีจุดอ่อน ตัวอย่างเช่น
สนามพลังวิญญาณในปัจจุบันนี้เป็นเหมือนผืนแผ่นดิน
และเซียนนักสู้สามารถสร้างบ้านของตัวพวกเขาเองลงบนผืนดินนี้ได้ แต่รูปแบบร่างวิญญาณเป็นเหมือนสัตว์เลี้ยงและมันเติบโตได้ไม่สามารถควบคุมได้อย่างจริงจัง
นั่นคือสาเหตุที่สนามพลังรูปแบบร่างวิญญาณค่อยๆ
สาบสูญไป
พวกเซียนนักสู้หมกมุ่นอยู่กับการควบคุมพลังของพวกเขา และพลังที่ไม่สามารถควบคุมได้ก็จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากพวกเขาเลย
เมื่อทราบเช่นนั้น ถังเทียนมองเห็นแสงสว่าง
แต่เมื่อเทียบกับภูตกระบี่ซึ่งเป็นสนามพลังชั้นยอดอยู่แล้วที่ถูกสร้างออกมา แม้ว่ารูปแบบร่างวิญญาณจะพบเห็นได้ยาก แต่ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีความแน่นอน มีบางรูปแบบร่างวิญญาณที่แข็งแกร่งตั้งแต่แรก แต่หลังจากนั้นอาจกลายเป็นอ่อนแอ
เพราะจำนวนกฎในตัวมันไม่ใช่มีแค่เพียงรูปแบบเดียวและเบี่ยงเบนไปจากแก่นแท้จนควบคุมไม่ได้ และมีรูปแบบร่างวิญญาณที่ตอนแรกอ่อนแอ แต่หลังจากนั้นกลับแข็งแกร่งมากขึ้น
เมื่อนักสู้ระดับเซียนของกลุ่มดาวหมีใหญ่แจ้งข้อมูลให้ถังเทียนทราบว่าสนามพลังวิญญาณของเขาคือรูปแบบร่างวิญญาณ พวกเขายิ่งระวังกันมาก
ถังเทียนไม่คิดเรื่องนั้นให้มากเกินไป
ไม่ว่าเสี่ยวเอ้อจะทรงพลังหรือไม่ก็ไม่สำคัญ
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเขามีทิศทางแน่นอน ที่สำคัญคือเขาถูกสร้างขึ้นมาจากระบบวิทยายุทธในปัจจุบันและแม้ว่ามันจะเป็นรูปแบบร่างวิญญาณ
มันอาจแตกต่างจากรูปแบบร่างวิญญาณในสมัยโบราณก็ได้
เนื่องจากเขารู้ว่าเขามีสนามพลังวิญญาณพิเศษอย่างหนึ่ง
การฝึกฝนของถังเทียนจึงเปิดกว้างทันที
แต่เมื่อท้องฟ้ามืด
ก็ได้เวลาลอบเข้าไปในจวนเจ้าเมือง
ถังเทียนยืนขึ้นเงียบๆ
เปลี่ยนลักษณะและรูปร่างของเขาและไม่ปลุกใคร เขาลอยตัวมุ่งหน้าไปยังเมืองหานกู่ เมื่อเข้าไปใกล้เมืองหานกู่
ถังเทียนสังเกตได้ทันทีว่ามีสถานที่ซึ่งต่างกัน ตอนกลางคืน การป้องกันและรักษาความปลอดภัยเข้มงวดมาก
“มีกลิ่นไม่ดีอยู่แถวนี้แน่นอน!” ปิงแค่นเสียง
“ทำไมสถานที่อย่างนี้ถึงได้มีการรักษาความปลอดภัยขนาดนั้น?”
ถังเทียนเบะปาก “ลุงพูดมาหลายครั้งแล้วนะ”
“แล้วเจ้าคิดว่าข้างในมีอะไร?” ปิงถามอย่างตื่นเต้น
“ข้าไม่รู้” ถังเทียนสั่นศีรษะ “เราจะรู้ต่อเมื่อเราเข้าไป”
สัญชาตญาณของเขาเฉียบคมและพบช่องว่างในระบบรักษาความปลอดภัยได้อย่างรวดเร็ว และเขาพลิกตัวข้ามกำแพงไปเหมือนกับเงา
เมื่อเทียบความสามารถในการทำลายล้างร่างที่มีพลังกายเป็นศูนย์ไม่อาจเทียบได้กับพลังสายเลือดระดับเซียน แต่ร่างพลังกายเป็นศูนย์มีความได้เปรียบที่ดี
นั่นก็คือไม่มีระลอกพลังงานแต่อย่างใด และด้วยความได้เปรียบนี้
ทำให้ถังเทียนสามารถหลบหลีกจากการตรวจสอบจากสมบัติได้
ความเคลื่อนไหวของเขาเงียบกริบ กล้ามเนื้อทั้งหมดในร่างกายถูกควบคุมไว้ในระดับที่พิเศษ
ข้อต่อทุกส่วนขยับหมุนได้เหมือนแมว
และด้วยสัญชาตญาณที่แข็งแกร่งของเขาและการตัดสินใจทำให้เขาสามารถรู้สึกถึงอันตรายได้เร็ว
โดยไม่มีใครรู้ตัว เขามาถึงจวนเจ้าเมือง
ทหารยามบนพื้นดูเหมือนไม่ได้เข้มงวดนัก แต่ถังเทียนรู้ว่าเป็นแค่เพียงภายนอก
เนื่องจากมีเซียนนักสู้สองคนนั่งอยู่ข้างใน
และอันตรายจากพวกเขามากกว่าการรักษาความปลอดภัยข้างนอก
ปิงแสดงความเป็นมืออาชีพของเขาทันที ตอนกลางวันเขาลอบสังเกตและจดจำตำแหน่งเส้นทางไว้แล้ว ด้วยการแนะนำของปิง ถังเทียนพบที่ซึ่งไม่มีใครเฝ้ารักษา
และปีนเข้าไปข้างในอย่างเงียบๆ
เขาหลบหน่วยลาดตระเวนและทหารยามตามรายทาง ในที่สุดถังเทียนก็มาถึงผนังของลานด้านนอก
และพบสถานที่เหมาะจะกระโดดเข้าไป และเขาตะลึงทันที
นี่มันที่อะไร
ข้างกำแพงเป็นดอกไม้ผลิบานที่งดงาม
มีหญ้างอกมองดูเหมือนกับเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ
*******
เจียงหยางนั่งกรรมฐานอยู่ในท่ามกลางดอกไม้
เขาคือศิษย์คนโตของหลี่รั่วและติดตามหลี่รั่วเป็นปกติและตั้งแต่ศิษย์น้องของเขาเดินทางเข้าไปภายในคลื่นเย็น เขาติดตามอาจารย์ของเขาออกมาเป็นพิเศษ
ทันใดนั้น เขาลืมตา
มีคนบุกรุกเข้ามาในสวน
แสงรังสีเขียวที่ดูเหมือนประกายหญ้าวาบผ่านม่านตาของเขา หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เข้ามาในนี้ได้นับว่ากล้าท้าทายอาจารย์และอาจารย์ลุงของเขา
และเนื่องจากคู่ต่อสู้เข้ามาในสวนโดยไม่ให้เราสังเกต
ก็แค่นั้น สวนนี้ความจริงคืออาณาเขตของเรา
เขากางฝ่ามือออกและกดลงบนต้นหญ้าบนพื้น
แสงสีเขียวขยายวาบผ่านนัยน์ตาของเขา
ผมของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว
ในความมืด
หญ้าและดอกไม้ที่อุดมสมบูรณ์ดูเหมือนถูกตัดด้วยดาบที่เฉียบบางและค่อยๆ
ลอยขึ้นกลายเป็นอาวุธลับ
ถังเทียนระมัดระวังตัวทันที
เขารู้สึกได้ถึงอันตรายเหมือนกับมีอสูรร้ายกำลังจ้องมองเขา
ข้าถูกพบแล้ว
ในทันใดนั้น ถังเทียนเข้าใจ แต่จากนั้นมีเสียงดังออกมา “อาคันตุกะที่อยู่ที่นี่ เจ้าจงอยู่ได้ที่นี่เสียเถอะ!”
ร่างนับไม่ถ้วนกระโจนออกมาจากทุกตำแหน่ง
ถังเทียนตระหนักด้วยความตกใจว่าเขาถูกล้อมไว้แล้ว
ลอบทำร้ายหรือ?
แต่เมื่อเขามองดูชัดๆ
ร่างทั้งหมดเป็นกระจุกของดอกไม้และหญ้า
แต่เขาไม่ได้ผ่อนคลายลงแต่อย่างใด
กลับรู้สึกถึงอันตรายในใจที่หนาแน่นขึ้นมากแทน
ควั่บ
ใบหญ้านับไม่ถ้วนเป็นเหมือนอาวุธลับยิงลงมาที่เขาเหมือนสายฝน เสียงแหลมคมแหวกอากาศปกคลุมไปทุกพื้นที่
เสียงที่ได้ยินสามารถทำให้ผิวของผู้คนรู้สึกหนาวชา ถังเทียนตระหนักว่าเขาไม่มีทางหลบได้
นั่นคือวิชาอะไรกัน?
ถังเทียนถูกความตกใจครอบงำ
2 ความคิดเห็น:
เสี่ยวเอ้อ คือ สแตนท์ของถังเทียนสินะ
ขอบคุนคับ
แสดงความคิดเห็น