วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2562

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 798 ตำหนักกลาง, นักรบแดนทมิฬ ศัตรูแข็งแกร่ง


ตอนที่  798  ตำหนักกลาง, นักรบแดนทมิฬ ศัตรูแข็งแกร่ง
หุบเขามีดวายุเป็นภูมิประเทศแปลกประหลาดพิกล
 
แน่ใจว่าหุบเขามีดไม่ธรรมดา แต่สร้างขึ้นโดยสุดยอดฝีมือ  จุดสูงสุดของหุบเขาไม่เกินสามกิโลเมตร ห่างไกลออกไปคือช่องว่างที่กลืนกินสรรพสิ่ง หากไม่ใช่ใช้พลังกฎสวรรค์ต่างหาก นักสู้แดนสวรรค์ที่บินอยู่ในท้องฟ้าเมื่อถูกดูดเข้าไปในช่องว่างจะถูกกำจัดสลายกลายเป็นฝุ่น
พื้นที่ลึกข้างล่างต่ำกว่าสามพันเมตรเป็นหุบเขามีเสียงลมหวีดหวิว
ลมที่นี่คล้ายกับในหุบเขาพิรุณ พัดออกมาเป็นครั้งคราว บางครั้งพัดอยู่สองสามนาทีแล้วก็เงียบ  บางครั้งก็พัดอย่างบ้าคลั่งเป็นชั่วโมงไม่สามารถคาดเดาได้
ในสายลมพัดบางครั้งก็เป็นพายุไซโคลนขนาดมหึมา หรือไม่ก็ลมใบมีดที่ตัดสิ่งมีชีวิตขาดเป็นชิ้นมีความเร็วรุนแรงไม่อาจป้องกันได้  ธรรมชาติเหล่านี้เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยเล็กๆ น้อยๆ ในหุบเขามีดแห่งนี้
ตามบทเกริ่นของชื่อ หุบเขามีดประกอบไปด้วยใบมีดยักษ์จำนวนเป็นร้อยล้านเล่ม
คมมีดยักษ์เหล่านี้ถูกควบคุมโดยเครื่องจักรกลชนิดหนึ่ง
และมีพลังฉุดดึงทำลายล้างรุนแรง
ที่ทางเข้ามีใบพัดคมมีดขนาดยักษ์หกร้อยเครื่อง หมุนวนเหมือนจักร จักรใบเลื่อยนั้นมีขนาดที่แตกต่างกันไป ขนาดใหญ่เต็มที่ก็สามกิโลเมตร ที่มีขนาดเล็กก็ไม่ถึงร้อยเมตร ความเร็วในการหมุนแตกต่างกันไป บางวงก็หมุนช้าๆ บ้างก็ค่อยๆ เร็วขึ้น แต่เมื่อหลงเข้าไปจะติดอยู่แถวๆ ขอบคมใบมีดเลื่อย ชีวิตจะตกอยู่ในห้วงเป็นตาย
แม้ว่าจะผ่านวงล้อฟันเลื่อยทั้งหกร้อยได้อย่างปลอดภัย แต่จะมีเครื่องจักรที่เหลือเชื่อในภายในโผล่ออกมามากขึ้น
รอจนกระทั่งอยู่ข้างหน้า
 “โอว..พระเจ้า!” เมื่อเห็นหุบเขาใบมีด แม้ว่าจะเคยได้ยินเย่ว์หยางพูดไว้ก่อนแล้ว ราชาหลิงหวินอดถอนหายใจโล่งอกมิได้  ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย แต่ให้นักสู้ผู้ทรงพลังระดับราชาเทียบเท่านักสู้ปราณฟ้าระดับห้าในกลุ่มพวกเขา ยังไม่สามารถมั่นใจได้เต็มร้อยเลยว่าจะสามารถผ่านหุบเขาใบมีดนี้ได้  สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือในหุบเขาใบมีดนี้มีผู้อาวุโสตำหนักอยู่ในที่อันตรายที่สุดสองคน
 “ตอนนี้เอายังไงดี?” ถูไห่ตัดสินใจว่าเขาจะไม่คิดอีกต่อไปแล้ว ไม่ว่ายังไงเขามีแต่จะกังวลเพิ่มขึ้นทุกที  แค่ฟังเย่ว์หยางโดยตรงดีกว่า
และยิ่งกว่านั้นคำพูดของเย่ว์หยางยังบอกออกมาง่ายๆ
 “เจ้าสิ่งนี้” ผู้นำกลุ่มเขตร้างที่แปด กลุ่มทุ่งหิมะ และกลุ่มเพลงสงครามรวมตัวกันพูดกระซิบกันไม่กี่คำ  พวกเขารู้สึกว่าดีที่สุดคือจัดการกับศัตรู  อย่างไรก็ตามไม่มีใครแน่ใจ
แม้ว่าคนของตำหนักกลางจะตามมาทัน  แต่ตราบใดที่ทุกคนยังสามัคคีกัน โชคดีคงจะได้เห็นว่าใครต้องกลัวใครกันแน่!
ผู้อาวุโสวิหารที่ซุ่มอยู่ที่นี่สองคนยังไม่ถูกกำจัด และพวกเขาจะเข้าไปโดยตรง และนี่ไม่ต่างอะไรกับการส่งพวกเขาไปตาย
เย่ว์หยางไม่กังวลรีบร้อน  แต่พวกเขากังวลและกระวนกระวายใจ
คุณชายสามยังมีความมั่นใจ
มีอะไรต้องกลัว?
สามชั่วโมงต่อมาคนดักทำร้ายในหุบเขาใบมีดยังรอคอยอย่างเหลืออด  ผู้อาวุโสตำหนักอดด่าทอในใจไม่ได้  เจ้าพวกนี้ช่างขี้ขลาดกันเสียจริง!  หยุดอยู่ข้างนอกหุบเขาดาบโดยไม่ย่างเท้าเข้ามาในหุบเขา ถ้าเป็นนักสู้ปราณดินธรรมดาหรือนักสู้เตรียมปราณฟ้าคงตายไปแล้ว แต่พวกเหล่านั้นเป็นนักสู้ปราณฟ้าระดับห้า คนในกลุ่มสามกลุ่มยังไม่เข้ามา พวกนั้นไม่เข้ามาสู้ข้างใน  แต่พวกเขาจึงได้แต่อดทนและรอคอย!
 “อสูร มีอสูรอีกตัวหนึ่ง”
ที่ท้องฟ้าหุบเขาใบมีด อสูรไฟ ลม ไฟฟ้า แสงและความมืดและอสูรอื่นๆ ต่างบุกเข้ามาผ่านเครื่องจักรมีดทีละตัวและตรงมาทางที่นักสู้ปราณฟ้าหลบอยู่
อสูรเหล่านี้มีลักษณะรูปร่างพิเศษไม่กลัวถูกมีดตัดขาด
เพราะเป็นสายพันธุ์ที่เหมาะสม พวกมันจึงกลายเป็นอสูรพิทักษ์ที่อันตราย
เดิมทีพวกมันอาศัยอยู่ในหุบเขามีด
ผู้อาวุโสตำหนักเห็นว่านักรบสามกลุ่มใหญ่ไม่ยอมเข้ามา พวกเขาอดส่งอสูรส่งไปล่อให้พวกเขาเข้าหุบเขา หวังว่าแรงกดดันนี้จะทำให้นักรบจากกลุ่มทั้งสามตื่นเต้น...
เมื่อไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหลบเข้าไปในหุบเขามีด ผู้อาวุโสตำหนักทั้งสองจะใช้ภูมิประเทศที่น่ากลัวโจมตีใส่อย่างรุนแรง
ถ้าอสูรเหล่านี้ต้อนให้นักรบทั้งสามกลุ่มเข้ามาในหุบเขาใบมีดได้ นักรบทั้งสามกลุ่มจะต้องทรมานเสียหายอย่างหนัก
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาไม่ออกมาสู้ สถานการณ์จึงกลับตาลปัตร
เมื่อสูญเสียขีดจำกัดกับดักจักรกล ก็ย่อมสูญเสียความได้เปรียบไปด้วย  พลังต่อสู้ของอสูรเหล่านี้ยังน้อยกว่าอสูรเงาชุดแรกเสียอีก  ถ้าผู้อาวุโสตำหนักทั้งสองสามารถระงับอารมณ์โกรธและคงอยู่ในที่ซ่อนตัวต่อไปแทนที่จะส่งอสูรออกมาล่อ เชื่อได้ว่าอสูรเหล่านี้คอยอยู่ใกล้จักรกลและคอยโจมตีจะได้ผลมากกว่า
 “ไม่มีใครสามารถเข้าไปในหุบเขาใบมีด ไม่มีใครสับสนตามที่เจ้าตั้งใจหรอกนะ”
สำหรับคลื่นการโจมตีนี้ไม่จำเป็นต้องถึงมือเย่ว์หยาง
ผู้นำของทั้งสามกลุ่มจัดการกลุ่มได้อย่างดี  พวกเขาเชื่อใจยินดีเป็นมิตรกับเย่ว์หยางเด็กหนุ่มผู้มีศักยภาพลึกลับ พวกเขาต้องการฉวยโอกาสแสดงฝีมือและแสดงพลังเพิ่มขึ้นอีกสักเล็กน้อย
ความคิดของนักรบแดนสวรรค์เหล่านี้คล้ายกัน ไม่มีใครอยากลอง พวกเขาหวังว่าจะได้รับการชื่นชมจากคุณชายสามผู้ลึกลับ
ก็แค่ในปัจจุบัน
ไม่มีใครยอมเป็นสหายกับคนอ่อนแอ ไม่มีใครอยากเป็นสหายของคนขี้ขลาด นักรบแดนสวรรค์เห็นเย่ว์หยางกอดอกยืนมอง  ทุกคนเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้ามองหาอสูรที่เหมาะสมที่สุดที่จะควบคุมได้ และพบว่าศัตรูเข้ามาใกล้อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะจำนวนคนทำให้นักรบบางส่วนต้องจับกลุ่มเป็นกลุ่มเล็กๆล้อมอสูรพิทักษ์ไว้   เนื่องจากพวกเขากระตือรือร้นเกินไปจึงทำลายแผนของผู้อาวุโสตำหนักโดยไม่ได้ตั้งใจ  ผู้อาวุโสตำหนักทั้งสอง..ต้องการให้อสูรหลอกล่อนักรบทั้งสามกลุ่มเข้ามาในหุบเขามีด อย่างไรก็ตามนักรบทั้งสามกลุ่มกระตือรือร้นที่จะทำดีเอาหน้า แต่กลับทำลายแผนดั้งเดิมของผู้อาวุโสวิหาร
 “แม่มันเถอะ, เจ้าพวกโง่เหล่านี้มองเห็นแผนการของเราหรือ? พวกเขารู้ว่าเรารอซุ่มทำร้ายอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
 “อาจไม่ใช่ก็ได้ แต่คนพวกนี้กลัวตาย เพื่อปกป้องตนเองจึงต้องการฆ่าอสูรพิทักษ์!  อสูรเหล่านี้ตายไปโดยไม่ได้อะไรเลย  อย่างไรก็ตามหุบเขามีดคือกับดักจักรกล ประกอบกับมีเราคอยรอบทำร้าย พวกมันจะไม่มีทางรอดเว้นแต่พวกหัวหน้าที่มีพลังมากกว่าปราณฟ้าระดับห้า!
 “สิ่งที่ข้าต้องการก็คือทำลายให้หมด!  ฆ่าให้หมดไม่มีเหลือ ไม่งั้นข้าไม่อาจแลกดาบศักดิ์สิทธิ์ได้”
 “อย่ามองอีกเลยดีกว่า จะทำลายทั้งหมดเป็นเรื่องยาก เว้นแต่สามตุลาการสามารถมาถึงได้ มันก็คงลำบากต่อพวกเราขึ้นบ้าง ถ้าต้องการจะทำลายพวกเขา  อีกอย่างหนึ่งสามตุลาการใหญ่นั้นหยิ่งยโส  เมื่อพวกเขามา พวกเขาจะยอมร่วมมือกับเราทั้งสองหรือ? พวกเขาจะต้องขโมยผลงานของเราไปแน่  ข้าคิดว่าเราลองอีกครั้ง หาโอกาสฆ่าพวกมันให้ได้ทั้งหมด”
 “ก็ได้ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม ทั้งสามกลุ่มนี้ยังนับว่ามีเกียรติ!
ผู้อาวุโสตำหนักทั้งสองกระซิบพูดคุยถึงแผนโจมตี
ด้านนอกหุบเขามีด ทั้งสามกลุ่มใหญ่พากันดีใจ
ชนะอีกครั้งหนึ่ง
ชนะอย่างใสสะอาด
ยังง่ายกว่าการรบกับอสูรเงา และได้รางวัลจากผลึกปีศาจปราณฟ้ามากมาย
ส่วนที่เหลือของอสูรพิทักษ์ หันหนีกลับไปในหุบเขามีดและแน่นอนว่ายังมีอสูรที่ผู้อาวุโสส่งออกมาล่อลวงนักสู้ให้ย่ามใจบุกเข้ามาในหุบเขา  ถ้าไม่ใช่เพราะเย่ว์หยางเตือนไว้ล่วงหน้า แม้แต่ระดับราชาหลิงหวินยังไม่สามารถเห็นศัตรู เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะค้นพบว่าอสูรตัวใดถูกควบคุมโดยผู้อาวุโสตำหนัก
เมื่อรู้ว่ามีเสือในภูเขา ทุกคนย่อมไม่ยอมปีนภูเสือเป็นธรรมดา
นักรบแดนสวรรค์บางคนทำเป็นบินไปที่ปากทางเข้าหุบเขามีด บินฉวัดเฉวียนอยู่ครูหนึ่งจากนั้นถอยออกมาอย่างระมัดระวัง
แม้ว่านักรบหลายคนในสามกลุ่มนี้จะได้รับบาดเจ็บกันบ้างแต่ใบหน้าของเขายังมีรอยยิ้ม ในการต่อสู้ครั้งนี้มีน้อยคนมากที่บรรลุพลังระดับใหม่ในการสู้ อย่างเช่นเสวี่ยทันหลางและองค์ชายเทียนหลัว เพราะอสูรของพวกเขาเป็นรูปแบบพิเศษจึงได้รับประโยชน์ในการต่อสู้   เมื่อนักสู้ปราณฟ้าเห็นทักษะไม่เหมือนใครในการต่อสู้ต่างพากันตะลึง เป็นความรู้สึกที่ยากอธิบาย  พวกเขาไม่เคยเห็นนักสู้แดนสวรรค์อย่างกลุ่มคนข้างหน้ามาเท่าใด? เมื่อมีเย่ว์หยางอยู่ด้านข้างคอยกระซิบบอกให้คำแนะนำอยู่ด้านข้าง นั่นคงไม่ยากในการบรรลุพลังระดับใหม่
เจ้าอ้วนไห่และเย่คงกับคนอื่นส่งสัญญาณบรรลุระดับพลังใหม่ แต่พวกเขายังไม่สามารถรับรู้ได้ในขณะนี้
ลักษณะของพวกเขาบ่งบอกว่าจะบรรลุพลังใหม่ในไม่ช้า
 “พวกท่านอยู่ที่นี่ คนที่สนใจสามารถไปและกลับได้ให้มากับข้า”  หลังจากตัดสินใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เย่ว์หยางรู้สึกว่าถ้าไม่เข้าหุบเขามีด ผู้อาวุโสตำหนักทั้งสองก็คงไม่ยอมออกมา  แน่นอนเขาตัดสินใจชั่วคราวจะพาเจ้าอ้วนไห่และคนอื่นกลับไปหุบเขาพิรุณอีกครั้งเพื่อดูว่าสามารถโจมตีพวกตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์อย่างคาดไม่ถึงได้ยังไง
 “ตกลง” ราชาหลิงหวิน และถูไห่ พวกวเขารอยคอยโอกาสมายาวนานเช่นกัน
ไม่เพียงแต่พวกเขาเท่านั้น หัวหน้าของสามกลุ่มใหญ่ กลุ่มเขตรกร้างที่แปด กลุ่มทุ่งหิมะและกลุ่มเพลงสงครามยังต้องการแสดงฝีมือต่อหน้าเย่ว์หยาง..
หลังจากปรึกษาและตัดสินใจออกไปด้วย ผู้นำทั้งสามมองดูเย่ว์หยางด้วยสีหน้าลำบากใจ  “คุณชายสาม ถ้าพวกเขาต้องการฆ่าเราในหุบเขามีด บางทีเราไม่อาจต้านทานได้เหมือนกัน”
เย่ว์หยางเมื่อได้ยินก็โบกมืออย่างอารมณ์ดี “สบายใจได้!  เราต้องมีศรัทธา  พวกเขากระโดดไปแล้วแต่ยังไม่กล้าโผล่ออกมา เพราะพวกเขากังวลว่าเราจะลอบทำร้าย  พวกท่านต้องแกล้งทำเป็นว่าพวกท่านไม่รู้ว่ามีคนอยู่ข้างใน และพวกท่านมีความสงสัย บางทีก็ให้ส่งอสูรไปสำรวจเส้นทางและทำหน้าสงสัย  สำหรับพวกท่านเหล่าหัวหน้า เมื่อผ่านไปชั่วขณะต้องทำทีประชุมพูดคุยหารือและแกล้งทำเป็นสมรู้ร่วมคิดกัน ข้าเชื่อว่าเจ้าโง่นั่นจะไม่ละทิ้งชัยภูมิที่ได้เปรียบแน่นอน และวิ่งออกไปบังคับให้พวกท่านโจมตี  อย่างไรก็ตามพวกท่านจะต้องอยู่ด้านนอกอีกต่อไป ข้าเชื่อว่าจะทำให้พวกเขาวู่วามมากขึ้น”
เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นทำเป็นไม่สนใจ  พวกเขารวมทั้งราชาหลิงหวินและถูไห่  ผู้นำทั้งหมดรวมสิบเอ็ดคนผู้มีพลังปราณฟ้าระดับห้าเป็นอย่างน้อยตัดสินใจกลับไปหุบเขาพิรุณพร้อมกับเย่ว์หยางและโจมตีกองกำลังใหญ่ของตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์
เรื่องแบบนี้ถ้าปล่อยผ่านจะกลายเป็นหายนะของการล้างเผ่าพันธุ์
แต่เมื่อเรื่องเงียบ ไม่มีใครรู้ คนตายพูดไม่ได้...มองผิวเผิน นักรบปราณฟ้าระดับราชาเหมือนจะเป็นสถานะที่ดี  แต่ในฐานะที่เป็นราชาทุกคนรู้ว่ามันคือการหลั่งโลหิตและมีคนตายมากมาย!  ในฐานะราชาจะต้องฆ่าคนจากตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์มากมาย แต่การโจมตีขนาดใหญ่แบบนี้นับเป็นครั้งแรก
แรงกระตุ้นที่บ้าคลั่งเช่นนี้ทำให้หัวใจเต้นแรง
เย่ว์หยางเหลือบมองผ่านๆ พวกเขาเปลี่ยนชุดและปลอมตัวอย่างง่ายๆ
หลายคนมีอสูรที่เปลี่ยนแปลงร่างได้โดยแปลงเป็นร่างพวกเขา  บางคนใช้อัญมณีหรือความสามารถในการแปลง  ถ้าพวกเขาปลอมตัวได้ไม่ดี พวกเขาแค่สวมหน้ากากเหมือนเย่ว์หยาง  พวกเขาก็ไม่พบสถานะที่แท้จริง
ในขณะเดียวกัน อสูรของทุกคนที่แปลงร่างได้ เมื่อพวกเขาทำเช่นนี้ พวกเขาไม่สามารถใช้อสูรพิทักษ์ของตนเองหรืออสูรที่เป็นครื่องหมายของตนได้  ในกรณีที่บางหนีไปได้  ตำหนักกลางแดนสวรรค์จะกำจัดครอบครัวตระกูลพวกที่ท้าทายอำนาจตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด นอกจากนางพญาเฟ่ยเหวินหลีที่ทรงพลังแล้ว แดนสวรรค์ไม่มีใครสามารถสั่นสะเทือนตำแหน่งของพวกเขาได้ ดังนั้นทุกอย่างจะต้องทำกันอย่างลับ
 “ข้าคือเบอร์หนึ่ง ราชาหลิงหวินคือเบอร์สอง เจ้าเมืองถูไห่ ท่านคือเบอร์สาม และไล่ไปเรื่อยๆ ทุกท่านจะมีรหัสเป็นของตนเอง”  เย่ว์หยางพูดแผนด้วยภาษาลับ จากนั้นมองคนทั้งสิบเอ็ดคนลอยตัวจากไป
เจ้าอ้วนไห่และคนอื่นเข้าไปในโลกคัมภีร์ของฮุยไท่หลาง
มันจะพาพวกเขาไปด้วยรอคอยโอกาสที่เหมาะสม
แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถแสดงความแข็งแกร่งใดๆ ได้ในการต่อสู้ยอดฝีมือนักสู้ระดับสูง  ด้วยระดับพลังปัจจุบันของพวกเขาเท่าที่พวกเขาจะสามารถร่วมสู้ได้ ก็ยังถือว่าไม่เลว เมื่อการต่อสู้เป็นไปตามต้องการ เมื่อศัตรูถอยร่น พวกเขาจึงค่อยออกมาไล่กดดันด้วยกัน  ฮุยไท่หลางเก็บเจ้าอ้วนไห่และพวกไว้ในคัมภีร์แล้วเปลี่ยนจากลักษณะสุนัขจอมเกียจคร้านเป็นสภาพพร้อมสู้เคียงข้างกับเย่ว์หยาง
ทางเข้าหุบเขาพิรุณ
ทหารรับจ้างแดนสวรรค์นับไม่ถ้วนตายภายใต้การโจมตีของอสูรเงา ต่างนอนเจ็บปวดร้องครวญคราง
แต่ข้างหลังทหารรับจ้างแดนสวรรค์เหล่านี้ มีคนสามกลุ่มตั้งแถวเรียงเดี่ยว ลักษณะของแถวเป็นเส้นตรง ตาของพวกเขาเยือกเย็นอำมหิตไม่สะทกสะท้านต่อภาพอเน็จอนาถที่เกิดอยู่ข้างหน้าพวกเขา เมื่อเห็นทหารรับจ้างแดนสวรรค์นับพันตกตายร้องครวญคราง ทหารทั้งสามกองยังไม่กระพริบตาด้วยซ้ำ
ทหารสามกองทั้งหมดอย่างน้อยมีพลังปราณฟ้าระดับสาม
คนหัวหน้ามีพลังปราณฟ้าระดับห้า
ที่ยืนอยู่หน้านายกองทหาร เป็นร่างเงาห้าร่างในชุดคลุม ดูลึกลับยากจะหยั่งถึง
 “เจ้าแน่ใจนะว่าหัวหน้าโจรสลัดเข้ามาในนี้?”  ร่างเงาที่ยืนอยู่ตรงกลางพูดเสียงไม่มีสั่น
 “ขอรับ, ทุกๆ ร้อยปีเขาจะมาท้าทาย และปีนี้ก็คงไม่ยกเว้น นอกจากนี้บริวารของข้าเป็นพยานเห็นเขาเข้ามาข้างในจริง เรื่องนี้ไม่มีการเข้าใจผิดแน่”  เงาร่างที่ยืนอยู่ซ้ายสุดตอบอย่างสง่างาม เขาพูดช้าเสียงเหมือนเสียงแตกพร่าเหมือนเหล็ก ราวกับว่าทุกคำที่เขาพูดมีลักษณะคล้ายแผ่นเหล็ก
 “ก็ดี งั้นปีนี้ตำแหน่งที่นั่งนี้จะต้องถูกทำลาย  หัวหน้าโจรสลัดต้องถูกทำลาย! เศษเดนของราชินีผู้พิชิต เอาชนะหอทงเทียนกำจัดพวกมันออกไปจากแดนวรรค์ ไม่ต้องคำนึงถึงแดนสวรรค์ตะวันตก ไม่ต้องคำนึงว่าชาวโลกจะมองอย่างไร สามจอมภพแดนสวรรค์เป็นเรื่องของหอสุดยอดฝีมือและเป็นเจ้าครองแผ่นดิน ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับที่นั่งตรงนี้! ตำแหน่งที่นั่งตรงนี้เพียงแต่รู้ว่าถ้าหอทงเทียนยังอยู่ต่อไป มักจะเป็นศัตรูกับตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์เสมอ ถ้าพวกหอทงเทียนยังอยู่ สักวันตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์จะไม่มีวันสงบ มีตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ ต้องไม่มีหอทงเทียน ครั้งนี้หัวหน้าโจรสลัดจะต้องถูกทำลาย ตำแหน่งตรงนี้จะส่งกองทัพไปทำลายเมืองเจิ้งฝูทั้งหมด  ถึงเวลานั้นหอทงเทียนจะไม่มีความหวังต่อไป ที่นั่งนี้จะทำให้หอทงเทียนตกต่ำอยู่ในความมืดนิรันดร ..เพื่อเกียรติยศของตำหนัก  พวกเจ้าทุกคนต้องอุทิศชีวิต!
 “ตำหนักกลางจงเจริญ!  กองทหารทั้งสามกองมีรังสีอำมหิตแผ่ออก ทุกคนกำหมัดทาบอกแสดงความมุ่งมั่น

7 ความคิดเห็น:

Boybravo กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Krisda กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

sarinnan กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

akekapoj-tee กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ

chay กล่าวว่า...

เอาแล้วๆ สงครามๆ

แสดงความคิดเห็น