วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2562

เดชคัมภีร์เทพฤทธิ์ ตอนที่ 805 ข้อสังเกตที่ฉลาด


ตอนที่  805  ข้อสังเกตที่ฉลาด
พื้นน้ำแข็ง วิหารปีศาจดิน
 
เย่ว์หยางจ้องมองมนุษย์ผมงูที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาอยู่นาน แต่เขากับเสวี่ยอู๋เสียและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนสองสาว ไม่ได้แสดงความเป็นปรปักษ์ ไม่ได้เรียกคัมภีร์อัญเชิญ  ในตัวของบุรุษผมงูผู้นี้ไม่มีรังสีฆ่าฟัน มีแต่ความรู้สึกที่ประหลาดและลึกลับ
 “ท่านคือ...”  องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนนั่งอยู่บนไหล่ของเย่ว์หยาง ประสานมือคารวะ
 “ไม่ต้องห่วง  ข้าไม่ได้มีความแค้นเคืองอะไร ทั้งไม่ได้เป็นพันธมิตรกับพวกตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์”   บุรุษผมงูตอบด้วยมารยาทสุภาพพร้อมทั้งยกมือข้างหนึ่ง  “ข้าแค่สงสัยเล็กน้อย เพราะในตัวพวกเจ้าเด็กสาวกับหนุ่มน้อย ข้ารู้สึกได้กลิ่นอายของสหายเก่า บอกตามตรงทั้งสองคือสหายเก่าข้า จักรพรรดิอวี้และเฟ่ยเหวินหลี”
 “ท่านรู้จักจักรพรรดิอวี้และนางพญาเฟ่ยเหวินหลีด้วยหรือ?”  เสวี่ยอู๋เสียถาม
 “แน่นอนว่าข้าเคยสู้กับจักพรรดิอวี้ แต่เวลานั้นเขามีพลังเทพและอาวุธเทพ ซึ่งก็คือดาบเทพของคุณหนูผู้นี้ แต่ยังไม่เข้าใจถึงประกายเทพ  ข้าไม่เต็มใจจะสู้กับเขาเท่าใดนั้น นอกจากนี้ยังมีศัตรูจับตามองดูอยู่ด้านหลังของเขาไม่วางตา” บุรุษผมงูยิ้ม ดวงตาของเขาฉายแววรำลึกถึงความทรงจำเก่า  “ข้ายังได้สู้กับเฟ่ยเหวินหลีครั้งหนึ่ง นางพญาผู้พิชิตร้ายกาจจริงๆ  ข้าต้องยอมรับว่าครั้งนั้นข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง  งูที่เจ้าเห็นนี้มาจากคำสาปของนาง”
 “นางพญาเฟ่ยเหวินหลีรู้วิธีสาปด้วยหรือ?”  เย่ว์หยางประหลาดใจ
 “นางไม่เพียงแต่เข้าใจ แต่ยังจัดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญได้”  บุรุษผมงูฝืนยิ้มส่ายหน้า  “ถ้าข้าไม่มีกระจกทนทุกข์ ที่สามารถลดอาการบาดเจ็บและทักษะสะท้อนทุกข์ บางทีตอนนี้คงเป็นก้อนหินไปแล้ว  แต่ไม่ใช่มีแค่งูตัวเดียวจึงไม่ง่ายที่จะเป็นอิสระ  เจ้าคงจะเป็นศิษย์ของนางพญาผู้พิชิตสินะ  วางใจได้ แม้ว่าข้ากับนางพญาผู้พิชิตจะสู้กัน  แต่เกี่ยวกับเจ้าเรื่องนี้ยังไม่เริ่มขึ้น  ตรงกันข้ามเมื่อเห็นชาวหอทงเทียนรุ่นหลังอย่างเจ้า ร่างกายครึ่งหนึ่งของข้ามีสายเลือดของนักรบชาวหอทงเทียน  ข้ารู้สึกมีความสุขนัก”
 “ใครบอกว่าเราเป็นคนรุ่นหลังของหอทงเทียน?”  เย่ว์หยางถามเย็นชา
 “เจ้าไม่ใช่หรือ?” มนุษย์ผมงูไม่อยากจะเชื่อ
 “พวกเจ้าอาคันตุกะทั้งสี่ผู้มีเกียรติมาเยือนบ้านซอมซ่อของเรา  พวกเจ้าสามารถมายืนอยู่หน้าประตูได้เป็นเวลานาน   นี่นับเป็นเกียรตินักที่ข้าได้มาต้อนรับอาคันตุกะด้วยตัวเอง  เชิญเข้ามาเถอะ!  ข้างในนั้นบุรุษผู้มีน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนบัณฑิตผู้คงแก่เรียน เขาเปิดประตูวิหารน้ำแข็งที่มีวงเวทอักษรรูนช้าๆ
อากาศที่เย็นกว่าไหลเข้ามาข้างใน
เย่ว์หยางยื่นมือป้องกันเสวี่ยอู๋เสียและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนด้วยพลังหยางบริสุทธิ์
สองสาวปลอดภัยไร้อันตราย  แต่มือขวาของเย่ว์หยางที่เหยียดออกเต็มไปด้วยน้ำแข็ง
ภายใต้เท้า แม้ว่าเย่ว์หยางจะใช้พลังหยางมากมายเพื่อต่อต้าน แต่เขายังอดถอยหลังกลับไปสามก้าวไม่ได้ ขาของเขาถูกพลังบังคับจนต้องเหยียบพื้นหิมะกว่าจะยืนหยัดได้มั่นคง
บุรุษผมงูลอยผ่านเย่ว์หยาง ขณะที่เขาก้าวเดินไปบนพื้นน้ำแข็งอย่างเยือกเย็น  เท้าของเขาจมลงไปในน้ำแข็งไม่ได้จมไปเท่าเข่าเหมือนเย่ว์หยาง  ความเย็นลามมาถึงต้นขาของเขา   ความเย็นด้านในอ่อนลง และบุรุษผมงูก้าวเดินไปข้างหน้าโดยไม่ได้รับอิทธิพล  ยกเว้นแต่งูเหล่านั้น เมื่องูสีแดงพ่นหมอกขาว ในเวลาอื่น พวกมันเหมือนสงบตามปกติ
แม้ว่าเย่ว์หยางจะไม่พูดอะไร  แต่เขาต้องยอมรับว่าบุรุษผมงูผู้นี้แข็งแกร่งมากกว่าตัวเขา
นอกจากปีศาจมังกรแล้ว เย่ว์หยางยังไม่เคยพบคนอื่นที่ทรงพลังขนาดนั้น
แม้แต่ราชาใจสิงห์ผู้มีพลังแฝงเร้นระดับจักรพรรดิก็ยังไม่แข็งแกร่งเท่า
เย่ว์หยางลอบตัดสินบุรุษผมงูผู้นี้  แม้ว่าจะไม่มีชื่อเสียง ไม่ได้พูดถึงที่มา แต่อย่างน้อยเขาต้องเป็นนักสู้ระดับจักรพรรดิและอาจเป็นระดับผู้ยิ่งใหญ่ด้วย
จักษุญาณทิพย์สามารถมองเห็นความจริงได้ทั้งหมด คัมภีร์แห่งสัจจะระดับต่ำกว่าสมบัติเทพสามารถแสดงถึงความจริงได้ แต่ทั้งจักษุญาณทิพย์ของเย่ว์หยางและคัมภีร์แห่งสัจจะของเสวี่ยอู๋เสียไม่สามารถมองเห็นข้อมูลใดๆ ของบุรุษผมงูผู้นี้ได้  บุรุษผมงูผู้นี้เหมือนกับไม่มีตัวตน ไม่มีข้อมูลแม้แต่น้อย ความสามารถในการซ่อนเร้นของเขาง่าย ไม่มีใดเทียม
ที่แน่ๆ ก็คือคนผู้นี้ไม่มีความตั้งใจฆ่า
รอให้ความเย็นจางหายไป
เย่ว์หยางแบกเสวี่ยอู๋เสียและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนก้าวไปบนบันไดน้ำแข็งตามหลังบุรุษผมงูไปติดๆ
เดินไปได้หลายสิบก้าวผ่านเข้าประตูผ่านเฉลียงและห้องที่งดงาม จนกระทั่งไปถึงห้องโถงใหญ่ที่สง่างาม
ที่นี่โอ่โถงสง่างามมากกว่าปราสาทใดๆ ในโลก
ขนสีขาวของหมีดินปราณฟ้าถูกปูอยู่บนพื้น ด้านบนขนไม่ค่อยมีสีสัน  เครื่องเรือนโต๊ะเก้าอี้สร้างขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ นอกจากนี้ยังมีโคมไฟระย้างดงามฝังด้วยเพชร แม้แต่ชุดภาชนะอาหารบนโต๊ะก็ทำมาจากแพลตตินัม (ทองคำขาว)  ภาชนะบรรจุอาหารชั้นเลิศอย่างซุปหางหัวมีไอคุกรุ่น ผักกาดหยกสีสดใส น้ำปลาสีราวกับไข่มุกดำ  ตับมังกรทอด ปีกมังกรทอดกรอบ ปลาเทวดาทอด กล้วยหวานและเหล้าเลือดไตตัน ทุกจานเป็นอาหารชั้นดีที่สุด อย่าว่าแต่นักรบธรรมดาเลย  แม้แต่นักสู้ระดับราชาในแดนสวรรค์ก็ยังไม่มีโอกาสได้กิน
ถ้าเหล้านี้ให้นักรบแดนสวรรค์ธรรมดาดื่มสักแก้วหนึ่ง
คาดว่าเขาอาจจะตายคาที่ก็เป็นได้
แน่นอนว่าถ้าท่านสามารถดูดซับได้ทั้งหมด อย่างนั้นนักรบที่ระดับต่ำกว่าปราณฟ้าระดับสามจะต้องมีการพัฒนาแน่นอน
คนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งเจ้าภาพเป็นชายชราผมสีขาวสวมแว่นตาเลนส์เดียวคล้องด้วยสายคล้องคอ ผมของเขาหวีเรียบเป็นมันเงามองดูเป็นผู้ทรงภูมิปัญญาไม่มีใดเปรียบ  ถ้ามองดูนัยน์ตาของเขาจะพบว่าลึกล้ำดั่งทะเล ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ภูมิปัญญาหรือประสบการณ์และทัศนคติชีวิต เจ้าภาพผู้นี้ดูเหมือนแทบจะมีความรู้ทุกอย่างในใจ
มือทั้งสองของเขาถือหนังสือสีดำเล่มหนึ่งดูแปลกประหลาด รูปแบบของอักษรรูนสวรรค์บนหนังสือนั้นซับซ้อนราวกับดาราจักรทางช้างเผือก
เมื่อเขาเห็นบุรุษผมงูและเย่ว์หยางและสตรีสองคนเข้ามา บุรุษผมขาวปิดหนังสืออย่างแผ่วเบา
เขามีโซ่น้ำแข็งล่ามอยู่ที่เข่า  เขาไม่ได้ลุกขึ้นยืน แต่ผายมืออย่างสุภาพ ต่างจากนักโทษตรงที่เขามองดูเหมือนบันฑิตผู้ทรงภูมิรู้ผู้ไม่ได้ทำอะไรผิด  เขาแสดงความยินดีอย่างจริงใจต่อคนทั้งสี่  และเชื้อเชิญทั้งบุรุษผมงูและเย่ว์หยางให้นั่งและกินเลี้ยงด้วยกัน  “อาคันตุกะผู้มีเกียรติทั้งสี่  เรามาพบกันในวันนี้ ไม่ต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ที่มาพบกัน ถือว่ามีความผูกพันกัน พวกท่านก็รู้ว่าที่นี่ไม่มีอาคันตุกะมาเยี่ยมเยือนนานมากแล้ว  หลายปีมานี้ผ่านไปอย่างว่างเปล่าเดียวดายนัก  วันนี้มีอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติมาถึง ขอให้ข้าได้ทำหน้าที่เจ้าภาพก่อน มิฉะนั้นยากจะสบายใจได้”
 “ไม่ต้องมากมารยาทก็ได้”  บุรุษผมงูเดินเข้าไปคนแรก “ฉางฟงน้อมพบผู้อาวุโส”
 “ชื่อสกุลของเจ้าห้วนไปหรือเปล่า?”  สุภาพบุรุษผมหงอกถาม
 “ไม่, ข้ามีชื่อสกุล ชื่อสกุลในแดนสวรรค์ข้ามีทั้งชื่อสกุลและชื่อตัว”  บุรุษผมงูพูดโต้ตอบชายชราผมหงอกทันที “แน่นอนว่านอกจากตระกูลยิ่งใหญ่ทั้งสี่ ข้าเคยได้ยินตำนานมาเรื่องหนึ่ง ในยุคที่มีสี่นักรบโดดเด่นสี่คนได้รับรางวัลจากเทพมังกรและมอบชื่อสกุลให้กับคนทั้งสี่ หลังจากนั้นมาแดนสวรรค์จึงมีสี่ตระกูลใหญ่ และตระกูลตู๋กูเป็นหนึ่งในนั้น เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบเห็นลูกหลานพวกเขาในวันนี้”
 “อยู่ต่อหน้าผู้อาวุโส ฉางฟงมิบังอาจอวดอ้างความรุ่งเรืองในอดีตเพื่อตีเสมอบรรพบุรุษ เทียบกับบรรพบุรุษแล้ว ฉางฟงเป็นเพียงเยาวชนรุ่นหลังที่เพิ่งข้ามแม่น้ำได้  ฉางฟงยังมีพรสวรรค์ที่ด้อยกว่าหนุ่มสาวจากหอทงเทียนนี้”  บุรุษผมงูถ่อมตัว
 “ความจริงแม้ว่าทั้งสามคนจะยังอายุน้อย แต่พวกเขาก็ฉลาดมีปัญญาอย่างหาคนเทียบได้ยาก  สิ่งที่เป็นเรื่องยากยิ่งกว่าก็คือ ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งของสหายน้อย หรือสาวน้อยทั้งสอง  ทั้งคู่มีความคิดที่ลึกซึ้งและฝีมือที่ลึกล้ำ ถ้าหากว่าท่านติดตามความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกนาง เทียบกับนักสู้ปราณราชันย์อาจยังจะด้อยกว่า แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่น่ายกย่อง  มองดูแล้วคนมีฝีมือที่กระจายอยู่ทั่วโลกมีอยู่นับไม่ถ้วน ไม่มีใครรู้ว่าใครจะมีความโดดเด่นถึงเพียงนั้น”  เมื่อชายชราผมเงินมองดูเย่ว์หยาง ในใจของเย่ว์หยางมองเห็นภาพลวงตาที่เขาสามารถมองผ่านได้ เขาต้องเข้มแข็งและลอบบอกกับตนเองให้ใจเย็น ด้วยทักษะอำพรางของเขาบวกกับสองพี่น้องหงส์เพลิงและสาวกิเลนปิงหวิน อสูรอมตะช่วยคุ้มครองต่อให้ฝ่ายตรงข้างเป็นจอมปีศาจลี่ตี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นพลังที่แท้จริงของเขา
ถ้าฝ่ายตรงข้ามมองเห็น จะไม่พูดอย่างแน่นอน
นี่เป็นเพราะในใจมีข้อสงสัย จึงเอ่ยปากเพื่อสอบสวนเช่นนี้
เย่ว์หยางผู้ผ่านประตูเป็นตายได้สำเร็จและได้บรรลุปณิธานราชันย์ แม้แต่ชายชราแห่งสี่ตระกูลเก่าที่มีชื่อเสียงและบุรุษผมงู ก็ยังอดมีแววละอายมิได้ ได้แต่สงบจิตใจปลอบโยนตนเอง
เย่ว์หยางไม่เพียงแต่ยังรักษาความกระจ่างในใจ  แต่เขายังคงใช้ใจของเขาเชื่อมกับเสวี่ยอู๋เสียและองค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนทำให้พวกนางดูเหมือนจะสงบไปด้วย
การสนองตอบอย่างสงบของทั้งสามคนนั้น ทำให้แววตาของบุรุษผมขาวมีความชื่นชมเป็นพิเศษ
 “สหายน้อย! เจ้าพอจะแจ้งชื่อตระกูลเหมือนเด็กสุภาพโดยทั่วไปเพื่อให้เราเจ้าบ้านได้รู้สึกอิจฉาบ้างได้หรือไม่?”  ชายชราผมขาวผายมือถามเย่ว์หยาง
 “ข้าเองก็มาจากสี่ตระกูลใหญ่เหมือนกัน”  เย่ว์หยางพูดจนบุรุษผมงูตะลึงและประหลาดใจกับเย่ว์หยางเล็กน้อย เหมือนกับว่าเขาต้องการทำความรู้จักเขาใหม่
 “อา, หลังจากเจ้าที่เป็นสหายจากสี่ตระกูลใหญ่ ข้าไม่รู้ว่าได้เปิดประตูต้อนรับตระกูลใหญ่ใดอีก?”  ชายชราผมขาวถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
 “ตระกูลเย่ว์”  คำตอบของเย่ว์หยางทำให้เสวี่ยอู๋เสียและองค์หญิงมึนงง  ตระกูลเย่ว์ในสี่ตระกูลใหญ่นี้ ถ้าไม่ใช่เย่ว์หยางปรากฏรุ่งเรืองขึ้นมาในหอทงเทียน ก็เป็นแค่ตระกูลที่มีชื่อในทวีปมังกรทะยานเท่านั้น  ตอนนี้มาถึงแดนสวรรค์แล้ว เขายังเอามาใช้อวดอ้างกับตัวประหลาดเฒ่าที่อายุหลายหมื่นปีอีกหรือ ช่างทำให้ผู้คนคลั่งใจจริงๆ!
 “มีตระกูลเย่ว์จากสี่ตระกูลใหญ่ด้วยหรือ?”  บุรุษผมงูงงงวยไม่อยากจะทำใจเชื่อเท่าใดนัก
 “ตระกูลใหญ่ทั้งสี่ของข้าจะแตกต่างจากตระกูลของเจ้าบ้าง เจ้ามาจากสี่ตระกูลใหญ่ของแดนสวรรค์ ส่วนข้ามาจากสี่ตระกูลใหญ่ในหอทงเทียน” เย่ว์หยางยังคงตอบยืนยัน
 “เจ้าไม่ได้ปฏิเสธว่าเจ้าเป็นคนรุ่นหลังของหอทงเทียนใช่ไหม?”  บุรุษผมงูงง ประโยคคำพูดไหนจริงกันแน่?
 “ดีมาก, นักสู้จากสี่ตระกูลใหญ่ในหอทงเทียน ล้วนมีชื่อเสียงทุกคน  แม้ว่าหอทงเทียนจะเล็กไปบ้าง แต่เทียบกับแดนสวรรค์ก็อาจจะแตกต่างเพียงเล็กน้อยกระมัง  หอทงเทียนมียอดฝีมือเหมือนเมฆบนท้องฟ้า มีนักสู้รุ่นหลังเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย  ตลอดเวลามักจะเป็นนักสู้จากหอทงเทียนที่เข้ามาฝึกฝนอยู่ในแดนสวรรค์และครอบครองดินแดนอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง  ความจริงแล้วมีนักสู้จากแดนสวรรค์น้อยกว่าน้อยที่ไปยังหอทงเทียนได้  ดังนั้นจากที่เห็นหอทงเทียนยังล้ำหน้าแดนสวรรค์อยู่หนึ่งก้าวและยังนับว่าชนะได้  สหายน้อยคือนักสู้ที่โดดเด่นรุ่นหลังของหอทงเทียนจากสี่ตระกูลใหญ่  มีทั้งรูปที่งดงามและพรสวรรค์ที่ดีน่าชื่นชม  นับเป็นเกียรติยิ่งนัก มิทราบว่าแม่นางทั้งสองพอจะแจ้งชื่อบอกกล่าวได้ไหม... อ้อ..ข้าแทบจะลืมเชิญอาคันตุกะให้นั่ง เชิญนั่งก่อน!  ชายชราผมขาวเชิญเย่ว์หยางและพวกให้นั่งลงขณะที่ถามชื่ออย่างเป็นกันเอง
 “ผู้เยาว์รุ่นหลังเสวี่ยอู๋เสียน้อมพบผู้อาวุโส”  เสวี่ยอู๋เสียก้าวลงจากไหล่ของเย่ว์หยางและนั่งบนเก้าอี้ทองและนางพบว่าไม่มีความเย็นกัดกร่อน
 “ผู้เยาว์จุนหยวน น้อมพบผู้อาวุโส”  องค์หญิงเชี่ยนเชี่ยนยังคงนั่งอยู่บนไหล่อีกข้างของเย่ว์หยาง
 “สหายน้อยเล่า?” ชายชราผมขาวพยักหน้าให้อย่างอ่อนโยนราวกับอาจารย์ผู้เฒ่ามองดูหลานสาว ภาพและฉากที่เห็นนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่ทุกคนจะรู้ว่าบางทีทั้งสองฝ่ายอาจต้องระเบิดพลังสู้เสี่ยงชีวิตกัน  กลับดูเหมือนอากาศที่สงบก่อนพายุรุนแรงจะมา  บางทีการต่อสู้อาจโหดร้ายรุนแรง
 “ข้า, ไตตัน แห่งสกุลเย่ว์พาสหายพวกพ้องมาเที่ยวแดนสวรรค์เพื่อเก็บเกี่ยวหาประสบการณ์ ต้องทราบกันว่าเทียบกับสถานที่ยิ่งใหญ่อย่างแดนสวรรค์แล้ว หอทงเทียนของเราเป็นเหมือนบ้านนอกชนบทเท่านั้น  ชาวชนบทอย่างเรานี้ไม่สามารถเข้ามาในเมืองได้หลายพันปี  แน่นอนว่าก็ต้องมีความอดทน แข็งแรงเป็นพิเศษ  ขืนไม่มีความอดทนคงทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองต้องหัวเราะเยาะเสียแล้ว” คำพูดของเย่ว์หยางแฝงไปด้วยความหมายเล็กน้อย
 “สหายน้อยมีความแข็งแกร่งขนาดนั้นจริง นั่นต้องเป็นเพราะผู้อาวุโสของสหายน้อยและสาวน้อยทั้งสองคงช่วยกวดขันเป็นอย่างดี น่าทึ่งจริงๆ”  ชายชราผมขาวเหมือนจะทราบความหมายแฝงในคำพูดของเย่ว์หยาง  ไม่คิดเลยว่าหอทงเทียนไม่ค่อยมียอดฝีมือมากเท่าใดจริงๆ
อย่างน้อยตอนนี้นอกจากจื้อจุนและจักรพรรดินีราตรีแล้ว คนอื่นมิอาจนับได้
บุรุษผมงูนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่นานทันที จู่ๆ เขาถามด้วยความตกใจ “เสี่ยวเย่ว์ มีข่าวลือมาว่าจักรพรรดิอวี้ล่วงลับไปแล้วจริงหรือไม่?” !

5 ความคิดเห็น:

krisda กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

sarinnan กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

Boybravo กล่าวว่า...

ขอบคุณครับ

akekapoj-tee กล่าวว่า...

ขอบคุณมากครับ

chay กล่าวว่า...

เข้มจ้นมากม่ย

แสดงความคิดเห็น