ตอนที่
933 ข้อพิสูจน์แรก
เป็นไปตามคาด
ซาดราและตระกูลที่เหลือตัดสินใจเหมือนกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พวกเขาเห็นพายุหมุนขนาดมหึมา
พวกเขาไม่กล้าคิดเป็นอย่างอื่น
สถานการณ์ของพวกเขาไม่เหลือทางเลือกให้พวกเขาเลย พันธมิตรตระกูลชั้นสูงถูกทำลายไปแล้ว
แต่ละตระกูลมีความสูญเสียครั้งใหญ่ อย่างน้อยมากกว่า 30% ของกองกำลังต้องตายไป
ความสูญเสียมากมายขนาดนั้นไม่พอจะทำลายสองสามตระกูล แต่ที่สำคัญที่สุด พวกเขาไม่มีทางให้ถอย พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง และตระกูลต่างๆ
ที่เลือกจากไปมีแต่ตายเร็วขึ้นเท่านั้น
ความพ่ายแพ้อย่างเจ็บปวดคือประสบการณ์ที่น่ากลัวสำหรับตระกูลต่างๆ
แต่จุดที่ถูกทำร้ายหนักที่สุดก็คือกำลังใจและความมั่นใจ
ในอดีต
เหตุผลที่ซาดราและพวกไม่พอใจสถานะของพวกเขาและกล้าโต้แย้งกับวิหารเพื่ออำนาจส่วนใหญ่เป็นเพราะความเชื่อมั่นของพวกเขา และเป็นความทะเยอทะยานของผู้กล้าของตระกูลชั้นสูงต่างๆ
พวกเขาเชื่อหนักแน่นว่าพวกเขาคือเจ้าแห่งทวีปกวงหมิงที่แท้จริง
และเชื่อว่าพวกเขามีคุณสมบัติแบ่งปันอำนาจเหนือทวีปกวงหมิงกับวิหาร
ความทะเยอทะยานนี้ไม่ได้มาจากความไม่มีอะไรหรือจากสมบัติที่มากมายของพวกเขา
แต่มาจากบรรพบุรุษของพวกเขาผู้ใช้มือและเลือดตนเองสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งทรงพลัง
ได้รับชัยชนะมาหลายรุ่น ผ่านความรุ่งเรืองมานับไม่ถ้วน
ผ่านวันผ่านคืนสะสมความเชื่อที่สร้างสถานะให้พวกเขาเป็นตระกูลชั้นสูง
แต่เวลานี้ศรัทธาและความเชื่อมั่นของพวกเขาทั้งหมดถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง เมื่ออยู่ต่อหน้าประมุขผู้อาวุโส
พวกเขากลายเป็นอ่อนแอไร้พลังเหมือนกับเด็กๆ ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ จำนวนผู้เสียชีวิตของตระกูลต่างๆ
เพิ่มขึ้น
และพวกเขาตระหนักว่าพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนสถานการณ์ได้ พวกเขาไม่มีที่ให้หนี และกลัวต่อการรอความตายโดยไม่เหลือความกล้าหาญ ความมีชีวิตชีวาของพวกเขาและโดยอาการอย่างนั้น
แม้แต่ความหวังของพวกเขาก็เริ่มลดน้อยถอยลง
การตัดสินใจของพวกเขาเพื่อเข้าร่วมกับถังเทียนหมายความว่าพวกเขาจะต้องยอมทิ้งความภูมิใจในฐานะผู้อยู่ชั้นบนของห่วงโซ่อาหาร
และจากนั้นพวกเขาจะได้รับการปฏิบัติเหมือนกับมนุษย์เดินดินทั่วไป
ซาดราและประมุขตระกูลอื่นรู้เรื่องนี้ แต่เทียบกับการถูกทำลายล้างตระกูลอย่างสิ้นเชิง
เสียความภูมิใจไปจะเป็นไร?
อย่างน้อยตระกูลก็ยังอยู่รอดได้
ซาดราและคนอื่นไม่มีทางเลือกอื่น
ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักว่าพวกเขาเป็นแค่ปุถุชน
และการสู้รบที่พวกเขาทำอยู่นั้นเป็นการสู้กับสัตว์ประหลาด ในเวลาอย่างนั้น
พวกเขาไม่ได้วางตัวโอ่อ่าตำหนิความโง่เขลาของตัวเอง ความแข็งแกร่งของพวกเขา
ได้กำหนดไว้เพียงให้พวกเขาสนับสนุนในสมรภูมิซึ่งรวมทั้งความแข็งแรงในการสนับสนุนความทะเยอทะยานของพวกเขาด้วย
ซาดราและประมุขตระกูลคนอื่นเห็นแสงแห่งความหวังบนใบหน้าของสมาชิกตระกูลพวกเขา
และความเจ็บปวดในหัวใจพวกเขาลดลง
เพลิงศักดิ์สิทธิ์รอบเมืองหิมะทั้งหมดถูกดูดลงไปในพายุหมุนกระบี่ ทำให้ทหารทุกคนผู้ทำงานจนเกินขีดความสามารถสมองจะรับได้หลับลงได้อย่างรวดเร็ว
ในที่สุดพวกเขาก็สามารถพักได้อย่างปลอดภัย
ทุกคนหวังว่าสัตว์ประหลาดของพวกเขาจะชนะ
และอธิษฐานจิตให้กับพายุหมุนยักษ์
เวลายังคงผ่านไป
และบรรยากาศในเมืองหิมะเริ่มหนักหน่วงขึ้น ทหารที่รับผิดชอบสังเกตลำแสงสิบสี่สายที่วิหารกลับมารายงานเหตุเปลี่ยนแปลง
ทุกคนตื่นตัวทันที
ซาดราและประมุขตระกูลอีกสองสามคนไปเยี่ยมดูที่วิหาร
เสาแสงทั้งสิบสี่ที่วิหารเริ่มตกผลึกที่ฐาน
และเสาเพลิงสีทองกลายเป็นผลึกใสสีทอง
รังสีที่น่ากลัวทั้งสิบสี่สายแตกต่างจากที่พวกเขาได้ประสบมาเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ละต้นมีพลังรุนแรงมากขึ้น สัตว์ประหลาดที่อยู่ภายในเสาเพลิงเริ่มมีพลังมากขึ้นและเสียงหัวใจเต้นดังเหมือนกลอง ทุกๆ จังหวะเต้นก้องทำให้เกิดระลอกในท้องฟ้า แม้จากในที่ไกล
พวกเขาก็สามารถได้ยินเสียงลมหายใจ
ซาดราและพวกมีลางสังหรณ์อัปมงคล นั่นคือเมื่อสัตว์ประหลาดที่อยู่ภายในลำแสงเพลิงอาจปรากฏตัวได้ทุกขณะ
พวกเขากลัวพายุหมุนยังคงเติบโตโดยไม่มีท่าทีจะยุติเลย
แต่ถ้าประมุขผู้อาวุโสและสัตว์ประหลาดอีกสิบสี่ตนปรากฏขึ้นก่อน พวกเขาจะตกอยู่ในอันตรายแน่นอน และสถานการดูเหมือนจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่พวกเขาไม่ต้องการ
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือในท้องฟ้าด้านหลังพวกเขา ตู้เค่อสังเกตลำแสงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เนื่องจากเขาเลียนแบบเพลิงศักดิ์สิทธิ์และหลอกผนึกในท้องฟ้าได้ เขาจึงสามารถบินได้ตามใจปรารถนา
ตู้เค่อสามารถรู้สึกได้ถึงรังสีน่ากลัวในลำแสงเพลิง
และเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถป้องกันการเห็นของเขาได้ ทำให้เขาเห็นผ่านลำแสงเพลิงได้อย่างชัดเจน
สายไหมทองนับไม่ถ้วนที่มองดูคล้ายกับเส้นเลือดมนุษย์และบรรจบรวมเข้าหาขุนพลวิญญาณที่แยกอยู่ตามเสาแสงต่างๆ ตู้เค่อตระหนักได้ทันที ‘ขุนพลวิญญาณ, เพลิงแปลกประหลาดเหล่านั้นถูกเตรียมไว้ให้ขุนพลวิญญาณ’
สีหน้าของตู้เค่อยังคงจริงจัง เขาสามารถรู้สึกได้ถึงพลังของขุนพลวิญญาณ
และพวกเขามีระดับพลังอย่างที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน มันไม่ใช่ดินแดนที่หยั่งถึง
แต่เป็นการสะสมพลังงาน
ในสายตาของเขาไม่มีวิชาอะไรเป็นพิเศษแค่ใช้พลังสะสมที่บริสุทธิ์ แต่เก็บพลังนับไม่ถ้วนเพื่อบังคับขุนพลวิญญาณมีการเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า
ตู้เค่อไม่เคยคิดว่าโลกจะมีวิธีการที่ง่ายและรุนแรงเพื่อเพิ่มพลังให้กับนักสู้
ใช่แล้วขุนพลวิญญาณที่อยู่ในเสาเพลิงทุกต้นเปล่งรัศมีที่เหมือนสัตว์ประหลาดปีนออกมาจากกระแสน้ำ แม้จากระยะไกล
เขาก็สามารถรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่น่ากลัวของขุนพลวิญญาณ พวกเขาไม่ปิดบังกลิ่นอายของพวกเขา ขุนพลวิญญาณรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาเกิดขึ้นมาจากทะเลเพลิงศักดิ์สิทธิ์
ระลอกพลังสร้างจากการบีบตัวของพลังงานในปริมาณมาก
และสามารถเห็นขุนพลวิญญาณได้ชัดเจนว่าอยู่ภายในลำแสงเพลิงเนื่องจากกกฎธรรมชาติปั่นป่วน
นั่นเป็นจุดสุดยอดของการบีบอัดพลังงาน
ที่ไม่เคยมีมาในประวัติศาสตร์
ตู้เค่อหรี่ตาของเขา
ใจของเขาเต็มไปด้วยอาการตกใจ
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมวิหารจึงต้องการเพลิงศักดิ์สิทธิ์ไว้มากมาย
เขาสามารถรู้สึกได้ผ่านม่านฟ้าเกิดการเชื่อมต่อกับเสาอื่น
เสาลำแสงทั้งสิบสี่สามารถดูดซับเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ลอยละล่องอยู่ในทวีปเซียน
‘น่ากลัวจริงๆ...’
เมื่ออะไรก็ตามถึงระดับสุดยอด หลายอย่างก็เกิดขึ้นได้
ขุนพลวิญญาณทุกตนมีท่าทีคุกคามต่อเขา
การรู้แจ้งกฎธรรมชาติของเขาอยู่ในระดับสุดยอด และสนามพลังกฎธรรมชาติของเขามีพลังไร้คู่ต่อสู้
แต่พลังที่สะสมอยู่ภายในตัวขุนพลวิญญาณแต่ละตนยิ่งใหญ่กว่าพลังที่เขาสามารถใช้ได้
แค่พลังงานล้วนๆ
ก็คุกคามต่อพลังกฎธรรมชาติของเขา
ขณะนั้นเอง ขุนพลวิญญาณที่อยู่ในเสาแสงต้นกลางลืมตาขึ้น
และมองตู้เค่อด้วยสายตาเย็นชา
หัวใจของตู้เค่อตกใจ ‘ศัตรูพบข้าแล้วหรือ!’
เขารีบสงบจิตใจ แม้ว่าศัตรูจะทรงพลัง แต่เขาก็ยังมีความมั่นใจในพลังของตนเอง ใช่แล้วแม้ด้วยสนามพลังกฎธรรมชาติของเขา
ศัตรูก็ยังมีความสามารถคุกคามเขาได้
แต่ขณะเดียวกัน ไม่ว่าศัตรูจะมีพลังมากมายเช่นใด สนามพลังกฎธรรมชาติของเขาก็ยังคุกคามศัตรูของเขาได้อยู่ดี
ก็เป็นแค่สถานการณ์ไม่เป็นประโยชน์ต่อเขา
แต่เขาไม่ได้อยู่ตามลำพัง
ประมุขผู้อาวุโสสามารถรู้สึกได้ถึงการคุกคามจากตู้เค่อและลอบตกใจ ตาของเขาฉายประกาย “งั้นเจ้าก็คือสมาชิกที่รอดอยู่ของแดนบาปสินะ!”
เสียงประมุขผู้อาวุโสดังออกมาจากลำแสงเพลิง
และเพลิงศักดิ์สิทธิ์ในท้องฟ้ากลายเป็นปราดเปรียวขึ้นมาทันที ตู้เค่อรู้สึกเหมือนกับว่าเขาตกอยู่ในพายุ
สายลมพัดใส่เขา และเพลิงศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดพุ่งเข้าหาเขาอย่างดุดัน
ราวกับว่าต้องการจะเผาเขาให้เป็นจุล
ตู้เค่อยังคงสงบ
อากาศรอบตัวเขากลายเป็นซึมเซาและไม่ว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์จะรุนแรงยังไง
แต่พวกมันไม่สามารถเข้ามาในระยะสามสิบเมตรจากตัวเขาได้
เพลิงศักดิ์สิทธิ์ในท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นคลื่นซึ่งไหลเข้าหาตู้เค่อพร้อมกับพลังสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
“วิหารทำกับพลเมืองของตนเองอย่างเลวร้ายยิ่งกว่าสุกรสุนัข
สังหารพวกเขาเพียงเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกายตัวเจ้าเอง บาปของเจ้าเกินกว่าจะไถ่ถอน
ต่อให้ตายร้อยครั้งเจ้าไม่มีทางไถ่บาปตัวเองได้!”
เพลิงศักดิ์สิทธิ์คลุมร่างตู้เค่อ
แต่เสียงดังมาจากดังมาจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจน
เป็นเสียงคำรามลั่นไม่อาจปกปิดได้
ตู้เค่อเผยร่างขึ้นอีกครั้ง เขาเหมือนกับหินที่มั่นคงอยู่ในกระแสน้ำ เพลิงศักดิ์สิทธิ์ขาวเป็นเหมือนกับน้ำที่ไหลอยู่รอบตัวเขา เขาไม่เป็นอันตราย และยังคงนิ่งเฉย
แต่น้ำเสียงของเขายังสะท้อนก้องเปี่ยมไปด้วยพลัง
หน้าของประมุขผู้อาวุโสพลันคล้ำ
เขารู้ว่าเขาไม่สามารถทำอะไรตู้เค่อจึงได้แต่แค่นเสียง “เจ้าอยากพูดอะไรก็พูดได้เลย ประวัติศาสตร์ถูกเขียนโดยผู้ชนะเสมอ
ผู้แพ้กลายเป็นคนชั่วได้อยู่ดี
ข้าต้องการดูว่าเจ้ายังยิ้มอยู่ได้หรือไม่เมื่อเราออกมา”
พูดเพียงแค่นั้น
เขาไม่สนใจตู้เค่ออีกต่อไป
แต่เขาดูดกลืนเพลิงศักดิ์สิทธิ์เพิ่ม
ตู้เค่อยังคงรู้ตัวว่าเขาไม่สามารถทำอะไรหรือหยุดยั้งศัตรูได้
ลำแสงเพลิงทั้งหมดและม่านเพดานที่กั้นอยู่ในท้องฟ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้าเขาพยายามโจมตี ก็หมายความว่าจะต้องโจมตีทั้งหมด
ซึ่งเขาไม่มีโอกาสจะชนะ
และเมื่อขุนพลวิญญาณเสร็จสิ้นการเปลี่ยนแปลง ร่างของพวกเขาจะมีคุณภาพที่เปลี่ยนแปลง เวลานั้น
พวกเขาจะไม่ต้องการเข้าไปอยู่ในลำแสงเพลิงอีกต่อไป และไม่จำเป็นต้องการพลังจากลำแสงเพลิงอีกต่อไป
‘ขุนพลวิญญาณเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปเกือบหมดแล้ว’
ตู้เค่อมองดูลำแสงเพลิงต่างๆ จากนั้นหันไปอีกตำแหน่งหนึ่ง เนื่องจากเขาสามารถรู้สึกได้ถึงตำแหน่งที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์กำลังไหลไปรวมกันในอีกตำแหน่งหนึ่ง นอกจากนี้ เขาสามารถรู้สึกได้ถึงรัศมีที่คุ้นเคยจากตำแหน่งดังกล่าว
‘ถังเทียน!’
ตู้เค่อตื่นเต้นทันที
ไม่ว่าศัตรูทรงพลังเพียงไหน แต่ถังเทียนไม่ได้นิ่งเฉยเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าเพลิงศักดิ์สิทธิ์มากมายเพียงไหนกำลังหลากเข้าไปหาถังเทียนเช่นกัน ใจของตู้เค่อก็ทำงานเช่นกัน ‘หรือว่าถังเทียนก็ยังใช้เพลิงศักดิ์สิทธิ์ด้วย?’
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกถึงความเป็นไปได้
แต่เขาก็ยังสงสัย
ถังเทียนไม่ใช่บุรุษที่ใช้สามัญสำนึกตัดสินได้
และมักจะทำสิ่งที่แปลกและผิดธรรมดาออกมาได้
นี่คือสิ่งที่ตู้เค่อสรุปได้จากตัวถังเทียน และถ้าถังเทียนไม่ทำอะไรแปลกประหลาดออกมา ตู้เค่อนั่นแหละคงจะรู้สึกแปลกใจ
เขาเร่งความเร็วของเขาทันที
ขณะที่เขาบินอยู่ในท้องฟ้าเต็มไปด้วยเพลิงศักดิ์สิทธิ์ เขาไปได้รวดเร็วมาก เพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่น่ากลัวไม่สามารถทำอะไรเขาได้
ด้านล่าง ซาดราและผู้นำตระกูลคนอื่นๆ
ตะลึงกันหมด พวกเขาไม่รู้จักตู้เค่อ
แต่เมื่องพวกเขาเห็นว่าเขายังบินได้โดยไม่ถูกพลังจำกัดจากท้องฟ้า
และสามารถต่อต้านประมุขผู้อาวุโส
พวกเขาเห็นว่าเขาไม่ได้เสียเปรียบเลย
‘แข็งแกร่งทรงพลัง!’
พวกเขาทั้งหมดมีความรู้สึกเหมือนกัน ขณะที่พวกเขาบินเข้าไปใกล้วิหาร พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวแล้ว แต่พลังโจมตีของเพลิงศักดิ์สิทธิ์นั้นรุนแรงมาก แต่ก็ไม่สามารถทำร้ายตู้เค่อได้ ซาดราและพวกที่เหลือรู้สึกเหมือนกับว่าความรู้เกี่ยวกับโลกของพวกเขาพังทลาย ขณะที่มีผู้ทรงพลานุภาพทะยอยปรากฏตัวออกมา
เบาะแสอย่างเดียวที่พวกเขาได้ยินคือ
“เดนตายจากแดนบาป” ‘แต่ว่าแดนบาปมีคนคนที่ทรงพลังขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่? เขาทรงพลังมาก และยังดูอายุเยาว์อีกด้วย’
‘เดี๋ยวก่อน!’
พวกเขารู้สึกตัวทันที ‘ตำแหน่งที่นักสู้แดนบาปผู้ทรงพลังกำลังมุ่งไป
คือเมืองหิมะไม่ใช่หรือ?’
ทุกคนมองหน้ากันเอง
และวิ่งแตกตื่นกลับเมืองหิมะ
8 ความคิดเห็น:
มือขวาเทพเทียนมาอีดคนละ
อย่างล้ำ
ขอบคุณครับ
เรื่อกัมปนาทหายไปไหน พูดถึงแค่ประวัติเรื่อและตอนสู้แค่ 1 -2 แล้วไม่พูดอีกเลย อุตสาห์สร้างอย่างเร่งด่วน
เสียดายใกล้จะจบละ
ไม่น่าใช่มือขวาคับ แค่นิ้วๆนึง อิอิ
เล่าถัง มาช้านะ เดวไม่ทันโชว์เน่อ
ขอบใจจ้า
ขอบคุณครับ
แสดงความคิดเห็น