ตอนที่ 944
อาคันตุกะไม่คาดหมาย
วิชาลับทะลวงชีพจรซึ่งเป็นวิชาใหม่ของเย่ว์หยาง
ไม่มีประโยชน์เท่าใดนักต่อสุดยอดฝีมืออย่างหมิงลี่ฮ่าว มารสัมฤทธิ์ฟ้า
จักรพรรดิมังกร ฯลฯ
พวกเขาไม่มีอสูรพิทักษ์เงาปีศาจอย่างเย่ว์หยางซึ่งสามารถแปลงเป็นพลังพิเศษใช้โจมตีได้
นอกจากนี้เคล็ดของวิชาเหล่านั้นเป็นตัวกำหนดวิธีการต่อสู้
ไม่ว่าจะเป็นสุดยอดฝีมืออย่างหมิงลี่ฮ่าว
หรือการเลื่อนระดับพลังรวดเร็วอย่างมารสัมฤทธิ์ฟ้าและจักรพรรดิมังกร
พวกเขาทั้งหมดสามารถเอาชนะศัตรูได้ด้วยพลังล้วนๆ อย่างเดียว ไม่ค่อยมีการลอบโจมตีเหมือนเย่ว์หยาง
หรือใช้ความสามารถพิเศษเล่นงานจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามและโจมตีซ้ำหลากหลายแง่มุม พวกเขาถนัดในการต่อสู้ตามกฎ
และพยายามอย่างดีที่สุดใช้กำลังเอาชนะ
การใช้สติปัญญาสู้อย่างฉลาดอย่างเย่ว์หยางและเอาชนะจุดอ่อนได้... พวกเขาจะมีปัญหาในการท้าทายต่อสู้กับศัตรูที่มีความแข็งแกร่งมากกว่า
และเย่ว์หยางกลับตรงกันข้าม ในแทบทุกการต่อสู้
เย่ว์หยางจะทุ่มเทสู้กับศัตรูฝีมือสูงส่งและท้าทายต่อสู้จนถึงที่สุด
“เป็นเรื่องดีแล้ว ที่วิชาลับนี้คิดค้นออกมาได้เร็ว”
อย่างไรก็ตามไม่เพียงแต่มารสัมฤทธิ์ฟ้าผู้สง่างามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงจักรพรรดิมังกร
แม้แต่หมิงลี่ฮ่าวก็ยังชื่นชมวิชาทะลวงชีพจรนี้
การปรากฏขึ้นของเคล็ดวิชาฝึกฝนพิเศษนี้มีความหมายต่อเผ่าภูตบูรพา
สมาชิกวังมาร ฯลฯ ส่งผลต่อนักรบปราณฟ้าของหอทงเทียน และช่วยเหลือพวกเขาได้มาก เพราะมารสัมฤทธิ์ฟ้า, จักรพรรดิมังกร, จักรพรรดิใต้พิภพและยอดฝีมืออื่นมักจะมาหาประสบการณ์ที่แดนสวรรค์อยู่บ่อยครั้ง
พวกเขาจะนำอสูรปราณฟ้า สมบัติวิเศษ ผลึกปีศาจ
แร่, สมุนไพร ฯลฯ เพื่อเอาไปใช้สร้างประโยชน์ให้กับตระกูล, สหายและครอบครัว
ตัวอย่างเช่นสมาชิกชาววังมาร
หลังจากมารแค้นฟ้าบรรลุผ่านระดับปราณฟ้าได้
มารเคราะห์ฟ้า, มารฟ้าพิบัติและมารฟ้าอื่นๆ เข้าใกล้ระดับปราณฟ้าเต็มที
แม้ว่าเป้าหมายของพวกเขาคือเป็นสุดยอดนักสู้ปราณก่อกำเนิดหรือนักสู้ปราณฟ้า
แต่พวกเขาต้องการเข้าสู่ก้าวแรกของพลังปราณราชันย์
มารฟ้าพิบัติ,
มารเคราะห์ฟ้าและมารฟ้าพิโรธกับคนอื่นแม้จะได้อสูรปราณฟ้ามาง่ายๆ และไม่ยากต่อการเข้าถึงพลังระดับปราณฟ้า
แต่วิธีการบรรลุถึงพลังปราณฟ้าต่อไปได้นั้นเป็นก้าวย่างที่ยากลำบาก
นักรบหอทงเทียนหลายคนมีพลังระดับปราณฟ้า
แต่ไม่คาดหวังว่าจะไปถึงระดับปราณราชันย์ได้
คนประเภทนี้
ในแดนสวรรค์มีมากมายอยู่แล้ว
ระหว่างนักรบปราณฟ้าและนักรบปราณราชันย์มีช่องว่างห่างกันถึงห้าระดับ
ถ้าไม่ทำลายช่องว่างเหล่านี้ อย่างนั้นนักรบปราณฟ้าก็ยังจะคงเป็นนักรบปราณฟ้าตลอดไป
ได้แต่มุ่งไปที่ปราณฟ้าระดับหนึ่งถึงระดับห้าอย่างน่าสงสารซึ่งเป็นระดับที่นักสู้ปราณฟ้าติดอยู่มากที่สุด...
ปราณฟ้าระดับห้าจะมีนักสู้ปราณฟ้าติดอยู่ระดับนี้มากที่สุดยากจะบรรลุผ่านไป อย่างไรก็ตามบัดนี้วิชาลับทะลวงชีพจรนี้
อย่างน้อยทำให้การเข้าถึงปราณฟ้าระดับหนึ่งถึงระดับสามไม่เป็นอุปสรรคอีกต่อไป
“เด็กน้อย! ข้าเล่าฮ่าวเป็นหนี้บุญคุณเจ้าอีกครั้ง”
หมิงลี่ฮ่าวลอบจดจำวิชาลับไว้ได้และพยักหน้าเล็กน้อยขอบคุณเย่ว์หยาง
ด้วยวิชาลับทะลวงชีพจรนี้
เขาเชื่อว่าเขาจะฟื้นฟูความรุ่งเรืองของสำนักในอดีตและกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ได้ในอีกไม่นาน
เทียบกับนักรบปราณฟ้าหอทงเทียนและแดนสวรรค์แล้ว
นักรบที่ยังคงติดอยู่ที่ปราณฟ้าสามระดับแรกเทียบกับนักรบปราณฟ้าระดับอื่นทั้งหมดมากถึง
95% เป็นจำนวนที่มากจนน่าสมเพชจริงๆ
เย่ว์หยางค้นคว้าวิชานี้
แม้ว่าส่วนใหญ่จะทำเพื่อประโยชน์แก่ตนเอง
แต่ก็ยังใช้ประโยชน์ได้กับสมาชิกวังมารในปกครองของมารสัมฤทธิ์ฟ้า
เผ่าภูตบูรพาของจักรพรรดิมังกร และผู้เยาว์รุ่นหลังของทวีปมังกรทะยาน ยังมีเสวี่ยทันหลาง องค์ชายเทียนหลัว
เย่คงและเจ้าอ้วนไห่กับพวกที่ยังพยายามบรรลุระดับปราณก่อกำเนิด หรือปราณราชันย์
และพยายามด้วยความยากลำบาก
ด้วยวิชาลับทะลวงชีพจรนี้พวกเขาจะสามารถยกระดับไปตั้งแต่ปราณฟ้าระดับหนึ่งถึงปราณฟ้าระดับห้า
จากนั้นค่อยให้เข้าไปฝึกในประตูเป็นตายเพื่อบรรลุเข้าระดับปราณราชันย์
เย่ว์หยางเขียนคัมภีร์เล่มนี้แล้วนำกลับไปยังหอทงเทียน
ผู้เฒ่าหนานกง
อาจารย์จิ้งจอกเฒ่า จุนอู๋โหย่วและผู้เฒ่าเย่ว์ไห่พอได้ทราบข่าวถึงกับตกใจ
แม้แต่ผู้เฒ่าหนานกงผู้เยือกเย็นที่สุด
ขณะบันทึกเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ยังอดเช็ดน้ำตาที่หยดลงบันทึกมิได้...
เขาสามารถเข้าใจได้เต็มที่ว่าคัมภีร์ทะลวงชีพจรมีความหมายต่อนักรบหอทงเทียนเพียงไหน
บันไดทอดขึ้นสู่สวรรค์!
นี่ไม่ใช่เคล็ดลับสำหรับบรรลุของนักสู้ปราณฟ้าเท่านั้น แม้แต่นักสู้ปราณก่อกำเนิด
และนักสู้ที่มีฝีมือรองๆ ลงไปก็สามารถฝึกฝนได้
ก่อนนั้นไม่มีนักสู้หอทงเทียนสร้างคัมภีร์การฝึกฝนที่ยอดเยี่ยม
แต่เคล็ดวิชาที่พวกเขาสร้างขึ้น เหมาะสำหรับการฝึกฝนร่างกายน้อยมาก
อย่างวิชาทะลวงชีพจรแทบทุกเผ่าพันธุ์สามารถฝึกฝนกันได้ ไม่มีข้อจำกัดแม้แต่น้อย
แม้ว่าบางส่วนที่พิเศษไม่สามารถฝึกฝนได้หมดก็ตาม แต่ก็ยังสามารถเลือกฝึกฝนบางส่วนได้ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว!
สิ่งที่ทำให้ผู้เฒ่าหนานกงประทับใจมากที่สุดก็คือเย่ว์หยางยังพัฒนาให้เหมาะสมกับลักษณะบุคลิกที่แตกต่างกัน
อย่างเช่นจำแนกเป็นของมนุษย์ เอลฟ์ทอง เผ่าภูตบูรพา, เผ่าทะเล, เผ่าปีศาจ,
เผ่าใต้พิภพ ฯลฯ
อาจกล่าวได้ว่าไม่ใช่เป็นแค่การฝึกฝนเท่านั้น แต่เป็นการวางระบบการฝึกฝน
สถานที่อย่างหอทงเทียนก็มีการฝึกฝนในระดับที่แตกต่างกัน
นี่ไม่ใช่แค่ยกสถานะนักรบของหอทงเทียนเท่านั้น
แต่ยังช่วยให้นักรบหอทงเทียนสยายปีกพุ่งทะยานบินอีกด้วย
การถือกำเนิดของกำไลอสูรและคัมภีร์ทะลวงชีพจรจะช่วยปลดปล่อยให้หอทงเทียนขึ้นจากห้วงวิบากแห่งความทุกข์ยากอ่อนแอ
เมื่อเวลาผ่านไปนักรบหอทงเทียนจะต้องเข้าไปยืนหยัดในแดนสวรรค์เป็นแน่
“ซานเอ๋อ! ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีจริงๆ
แม่สี่มีความสุขมาก
แต่เจ้ายังต้องรับมือกับศัตรู ข้ายังไม่ไว้วางใจเรื่องนี้!”
เย่ว์หยางหาเวลากลับไปเยี่ยมแม่สี่และน้องสาว ฝ่าบาทมีความสุขใจมาก
แต่ไม่อนุมัติคำขอเข้าเฝ้าของเขา เพียงแต่ส่งนางต้นห้องออกมาสนทนาตอบสองสามคำ
“วิชาลับนี้น่าทึ่งมากจริงๆ แต่อย่าลืมทำหน้าที่หลักเล่า!”
พูดถึงภารกิจ
ความจริงเขากำลังเตรียมเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของสนมจูกวงของราชาจื่อฟง เขารู้ว่าที่หอทงเทียนมีเรื่องราวมากมาย ขณะที่หมิงลี่ฮ่าวกำลังรอเย่ว์หยางกลับมาสร้างความครึกครื้น
มีแต่เย่ว์หยางที่สามารถไปกลับระหว่างหอทงเทียนและแดนสวรรค์ในวันเดียวได้ ทั้งยังมีส่วนร่วมในงานวันเกิด
หลังจากเขากล่าวอำลาแม่สี่และกลับไปยังเมืองลู่หลิวก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว
พ่อบ้านเย่และหัวหน้าจินฟันทองที่มารับเย่ว์หยางกำลังพล่านเป็นเหมือนมดในหม้อร้อน
ในลานสนามโรงแรมอย่างมากพวกเขาได้แต่เดินไปเดินมา แต่เย่ว์หยางยังไม่ปรากฏตัว และพวกเขาทำอะไรไม่ได้ คนอย่างหมิงลี่ฮ่าว มารสัมฤทธิ์ฟ้า
จักรพรรดิมังกร จักรพรรดิใต้พิภพ ไม่มีใครปรากฏตัว
ทุกคนกลับไปสอนวิชาทะลวงชีพจรเพื่อดูว่าจะประยุกต์ใช้กับบริวารและคนในเผ่าพันธุ์พวกเขาอย่างไร
จงกวนเล่นบทตบตาบอกว่าคุณชายไตตันกำลังพักกลางวัน ไม่มีใครกล้ารบกวน
“งานเลี้ยงยังไม่เริ่มก่อนเวลาไม่ใช่หรือ? เมื่อคืนนี้คุณชายนอนดึก
และเพิ่งจะรับอาหารกลางวัน ข้าไม่กล้ารบกวนเขา”
จงกวนรู้ดีว่าเย่ว์หยางกลับไปยังหอทงเทียน แต่เขาจะพูดความจริงได้อย่างไร?
“โอว ตายแล้ว!” หัวหน้าจินฟันทองเมื่อได้ยินจงกวนตอบ
เขารู้สึกปวดฟันขึ้นมาทันที
“งานเลี้ยงวันเกิดยังไม่เริ่มต้น
แต่คุณชายไตตันเป็นอาคันตุกะพิเศษที่สำคัญที่สุด
พวกเราจะกล้าละเลยเขาได้ยังไง
ถ้าไม่มีคุณชายไตตันไปร่วม ข้ากับหัวหน้าจินคงรักษาศีรษะไว้ไม่ได้” พ่อบ้านเย่กังวลเรื่องเวลา แต่คุณชายไตตันอารมณ์แปรปรวนจริงๆ
“คุณชายจะต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงแน่นอน.. โอ..
คุณชายเพิ่งตื่น” จงกวนเห็นเย่ว์หยางเปิดหน้าต่างห้องจึงร้องบอกทันที
“คุณชาย! ท่านตื่นแล้ว!”
หัวหน้าจินฟันทองเกือบจะร้องไห้อยู่แล้ว
“ก็ได้ ก็ได้ ไม่เป็นไรแล้ว!”
พ่อบ้านเย่เหมือนยกภูเขาออกจากอก
ตราบเท่าที่คุณชายไตตันไม่หายไป
นั่นนับว่าดีอยู่แล้ว
ไม่สำคัญว่าเขาจะชอบนอนนานแค่ไหนก็ตาม
เดิมทีพวกเขาไม่กล้าตามมาเร่งรัด แต่ราชาจื่อฟงกำลังกระวนกระวาย
เพราะเลือดเทพที่ให้เป็นของขวัญ มีคนสอดแนมที่แพร่ข่าวออกไป
ราชาที่อยู่ในดินแดนใกล้เคียงมาเยี่ยมเยือนโดยไม่ได้รับเชิญ ราชาทั้งสามทำในสิ่งที่พวกเขาเองดูหมิ่น
คือนำของขวัญมาให้มากมาย
อย่าว่าแต่ราชาจื่อฟงเลย ต่อให้คนโง่ก็รู้ว่าราชาทั้งสามไม่ได้มีเจตนาดี
ราชาจื่อฟงจะทำอะไรได้?
ปฏิเสธอาคันตุกะ?
นั่นเป็นไปไม่ได้แน่นอน
ทางออกเดียวที่ทำได้ก็คือเชิญคุณชายไตตันมาให้เร็วเท่าที่เป็นไปได้
และทำให้สามราชาเป็นศัตรูของคุณชายไตตันผู้มั่งคั่ง
ดีที่สุดก็ให้ราชาทั้งสามเกิดละโมบลงมือกับคุณชายไตตัน เมื่อคุณชายไตตันโกรธและกำจัดราชาทั้งสาม...
ขณะที่เลือดเทพ ราชาจื่อฟงสาบานว่าต่อให้จักรพรรดิเสินกวงมาเอง
เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยอมปล่อยออกไป
“คุณชาย!
ราชาทั้งสามนี้ ข้าคิดว่าคงไม่ได้มาด้วยเจตนาดี
คาดว่าเขาคงจับตามองสมบัติวิเศษของคุณชาย
เลือดเทพของขวัญแสดงความยินดีอาจทำให้พวกเขาเกิดริษยา
เป็นเรื่องเสี่ยงอันตราย คุณชายต้องระวัง!” พ่อบ้านเย่พูดเตือนเย่ว์หยางแทนราชาจื่อฟง
“บังอาจ, พวกเขากล้าหรือ?” เย่ว์หยางแกล้งทำเป็นโมโห
“แม้ว่าคุณชายจะเกิดในตระกูลสูงส่งสูงศักดิ์ แต่ในโลกนี้มีคนโลภอยู่มากมาย” พ่อบ้านเย่มีความสุขและแอบสุมไฟยั่วยุ
“เราคุณชายอยากจะดูนัก ใครกล้าชิงสมบัติของข้า!” เย่ว์หยางทำตัวเหมือนเด็กหนุ่มผู้ดื้อรั้น เมื่อได้ยินว่ามีคนที่เจตนาไม่ดี
แทนที่จะหลีกเลี่ยง แต่เขากลับทำตัวเหนือกว่าตอบโต้โดยตรง พ่อบ้านเย่ดีใจ ราชาจื่อฟงต้องการให้เกิดผลเช่นนี้
ถ้าเขาไม่ล่อให้เย่ว์หยางโกรธ บางทีทั้งสามคนนี้อาจลงมือในทางลับ!
คุณชายไตตันมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อราชาทั้งสาม ฝ่ายตรงข้ามจะทำอะไร!
เย่ว์หยางที่แต่เดิมเตรียมตัวไม่ทำตัวให้โดดเด่นแค่มาร่วมงานวันเกิด
ได้บอกกับพ่อบ้านเย่และหัวหน้าจินฟันทองว่าจะเข้าร่วมงานเลี้ยงในฐานะอาคันตุกะชั้นสูงที่น่าทึ่ง
พ่อบ้านเย่และหัวหน้าจินฟันทองยิ่งเยินยอเขามากขึ้น
นอกจากนี้แหวนพันดาราและมุกมังกรที่ราชาจื่อฟงมอบให้เป็นการแสดงความคารวะ
“คุณชาย! เมื่อวานนี้
เราราชาไม่ได้มาแสดงความคารวะ แต่ด้วยความจริงใจ เมื่อวานนี้คุณชายอยู่ในระหว่างเร่งรีบไม่มีเวลารับของขวัญ คุณชายโปรดรับไว้เถิด ไม่ว่ายังไงก็ตาม
ราชาบอกว่าถ้าคุณชายไม่รับไว้บ่าวกับหัวหน้าจินมิกล้ากลับไปรายงาน”
เย่ว์หยางพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ “ในเมื่อเป็นความตั้งใจดีของราชา อย่างนั้นข้าจะรับไว้ แต่ข้าจะสงเคราะห์ตอบแทนอะไรได้บ้างล่ะนี่?”
พ่อบ้านเย่รีบห้าม ถ้าคุณชายจะให้ของขวัญก็ต้องให้ลับๆ
ไปงานเลี้ยงวันเกิดคนสำคัญในวังค่อยรับจากนั้นก็ได้
เชื่อได้ว่าราชาทั้งหลายที่มาร่วมงานเลี้ยง
คงไม่มีใครมีสง่าราศีเท่าคุณชาย
“คุณชายไตตัน! เชิญทางนี้!”
หัวหน้าจินฟันทองใช้ความเร็วสุดชีวิตวิ่งกลับไปรายงานที่วังหลวง ความจริงองครักษ์คนหนึ่งก็จัดการเรื่องนี้ได้ แต่เขาตัดสินใจเองเพราะรู้ว่านี่เป็นเกียรติ!
“เชิญ!”
ราชาจื่อฟงต้อนรับสหายราชาทั้งสามผู้ที่เขาไม่ได้ส่งเทียบเชิญ เขารู้สึกหงุดหงิดรำคาญ แต่ยังรีบมาต้อนรับอาคันตุกะทันที
“พี่จื่อฟง มีอาคันตุกะทรงเกียรติแล้ว
ทำไมไม่แนะนำเราสักคนหรือสองคนบ้าง?”
ราชาทั้งสองมองหน้ากันเองและลุกขึ้นยืนทักทายพร้อมกันทันที มองดูพวกเขาแล้วแม้ว่าราชาจื่อฟงจะห้าม แต่พวกเขาคงจะบังคับใช้กำลังพลการ
แต่โดยผิวเผินแล้วราชาจื่อฟงยังคงแสดงมารยาทผู้เหย้า เขายิ้มและเดินไปด้วยกัน
ไกลออกไปพวกเขาเห็นคนกลุ่มหนึ่ง
นักรบผู้กล้ารายล้อมเด็กหนุ่มเหมือนกับดาวล้อมเดือน
แต่ละข้างของเด็กหนุ่มมีอสูรสองตัว
ตัวหนึ่งเป็นอสูรสุนัขสีดำดูไปไม่คล้ายสัตว์เลี้ยง
พลังดูเหมือนค่อนข้างอ่อนแอยากจะแยกแยะได้ มันแทะกระดูกในปากช้าๆ น้ำลายหยดตลอดทาง
สายตาของราชาทั้งสามกวาดตาผ่านร่างของมันไปอยางไม่สนใจ
อีกข้างหนึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงเช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตามรังสีฆ่าฟันของมันแน่นหนารุนแรงอย่างน่าประหลาด
ราชาทั้งสามที่ชำเลืองมอง
หนังตากระตุกทันที
พระเจ้า! สัตว์ประหลาดนั่นที่แท้เป็นอาวุธเทพร่างอสูร!
มีการประเมินว่าสวรรค์บนเองก็ยังมีอาวุธเทพร่างอสูรไม่มาก
พวกเขาไม่เคยเห็นอาวุธเทพร่างอสูรที่มีพลังและร่างที่แข็งแกร่งมากขนาดนี้
คุณชายไตตันมีสถานะระดับใดกันแน่? แม้แต่แดนสวรรค์บน
กุลบุตรในตระกูลทั่วไปยังจะมีอาวุธเทพร่างอสูรแบบนั้นได้หรือ? ข่าวเป็นความจริง
ถ้าคุณชายไตตันมีอาวุธเทพร่างอสูรจริง ก็ย่อมต้องมีเลือดเทพอย่างมิต้องสงสัย!
จื่อฟง
เจ้าสุนัขนี่ช่างโชคดีแท้ได้ต้อนรับอาคันตุกะทรงเกียรติอย่างนี้ได้
แขกที่ไม่ได้รับเชิญทั้งสามมองหน้ากันเองและเห็นแววตกใจอยู่ในสายตาของแต่ละคน
“ดูเหมือนว่าคนผู้นั้น....”
หนึ่งในสามราชาแค่นเสียงเย็นชาทำให้อีกสองราชาหันเหสายตาที่โลภไปมองมารสัมฤทธิ์ฟ้าที่อยู่ด้านหลังเย่ว์หยาง
หน้าของบุรุษทั้งสองเปลี่ยนไปทันที
พวกเขาคิดว่านั่นคือบุรุษที่ถูกพูดกล่าวขานในข่าวลับสุดยอด
มารสัมฤทธิ์ฟ้า
ถ้าไม่มีมารสัมฤทธิ์ฟ้า
ต่อให้มีอาวุธเทพร่างอสูรคอยปกป้อง พวกเขาก็ยังกล้าลองดี พวกเขารู้ เมื่อมีเลือดเทพก็มีทุกอย่าง
ต่อให้ต้องเสียสละอาณาจักรก็ตาม พวกเขาก็ต้องได้เลือดเทพไป พวกเขาไม่สามารถทำได้
แต่เลือดเทพไม่ตกไปอยู่ในมือใคร นั่นก็ทำให้พวกเขาไม่ต้องเสียใจแล้ว อย่างไรก็ตาม พอมีมารสัมฤทธิ์ฟ้าผู้นี้
พวกเขากลัวว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะชิงเลือดเทพมาได้ง่ายๆ!
นอกจากนี้ยังมีอีกสองคนที่เห็นไม่ชัดอยู่ข้างตัวมารสัมฤทธิ์ฟ้า
พวกเขามีพลังอ่อนแอกว่าเล็กน้อย แต่คิดจะเอาชนะพวกเขาและชิงตัวคุณชายไตตันเกรงว่าเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าปีนป่ายขึ้นสวรรค์เสียอีก!
ราชาจื่อฟงมองดูสายตาของราชาทั้งสาม
เขาลอบดูหมิ่นในใจ
นักสู้ปราณฟ้าหนุ่มจากแดนสวรรค์บนและสามนักรบระดับราชาจะมีความคิดใดอยู่กันแน่?
ต่อให้จักรพรรดิแดนดินมาเอง
ทุกคนก็มีแต่ผิดหวัง... ขณะเตรียมจะทักทายตามมารยาท
ทันใดนั้นทางท้องฟ้าด้านทิศบูรพามีแสงสีทองสองสายพุ่งวาบผ่านท้องฟ้าเมืองลู่หลิวตรงมายังวังหลวงขณะที่ราชาจื่อฟงเข้ามาทักทายต้อนรับเย่ว์หยาง
เพียงแว่บแรกที่ราชาจื่อฟงเห็นทั้งสองคน
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปจนยากระงับได้ “โอว...กลับกลายเป็น...”
8 ความคิดเห็น:
ใครมาหนอ
ขอบคุณครับ
ค้างเลย จักรพรรดิแดนดินรึป่าวที่มา
ขอบคุณครับ
ใครหว่า..มาตอนจบ...ถ้ามันไม่มา คงไม่จบแบบนี้
ใจจ้า
ขอบคุณครับ
น่าจะเปนตัวสร้างเรื่อง ไม่ก็ตัวแจกทรัพย์ให้ลูกพี่เย่ 555
แสดงความคิดเห็น