ตอนที่ 1246 สวรรค์และโลกคือกระดาน ทุกสิ่งอย่างคือตัวหมาก
“เจ้ายั่วให้ข้าโกรธได้สำเร็จแล้ว” บัณฑิตวัยกลางคนสูดหายใจลึก และตาแดงของเขากลับคืนสู่ความสงบ เขามองเย่ว์หยางด้วยสายตาเย็นชา “เดิมทีข้าแค่ต้องการเอาสิ่งของที่เป็นของข้ากลับคืนมา แต่ตอนนี้ข้าเสียใจที่ต้องบอกเจ้าหนุ่มน้อยว่า เจ้าทำให้ข้าโกรธมากขึ้น และนั่นไม่ใช่วิธีที่ฉลาด”
“ในเมื่อเจ้าทำงานขายตัว ก็ไม่ต้องปักป้ายอวดอ้างความบริสุทธิ์ตนเอง” เย่ว์หยางแค่นเสียงเยาะเย้ย “ข้าคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำตัวสุภาพกับคนทรยศ นั่นแหละคือเหตุผล!”
บัณฑิตวัยกลางคนไม่พูดอีกต่อไป
เขาไม่ต้องการเถียงกับเย่ว์หยางอีกต่อไป เพราะเขาพบว่าการทำเช่นนั้นนับว่าไม่ฉลาด
เกี่ยวกับแนวคิดควบคุมคุณชายสามที่อยู่ข้างหน้า เขาต้องพับเก็บแผนนี้ไว้ก่อน เขาต้องยอมรับว่าถ้าเป็นแค่เพียงการปะทะคารมเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้จริงๆ เพราะคำพูดของเด็กหนุ่มถ้าไม่หยาบคายต่ำช้า ก็คมยิ่งกว่ามีด
สำหรับคู่ต่อสู้เช่นนี้บัณฑิตวัยกลางคนคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดก็คือใช้ความแข็งแกร่งบดขยี้พวกมันเหมือนกับบี้มดแมลง สำหรับคู่ต่อสู้ที่ฉลาดเท่าเขาความแข็งแกร่งที่แท้จริงคือสิ่งสุดท้ายที่ดีที่สุด แน่นอนว่าหลังจากตรวจสอบบางอย่าง เขารู้แล้วว่าเด็กหนุ่มข้างหน้าเขามีพลังเช่นไร มีไพ่ในมือแบบไหน ตอนแรกเขาปล่อยซิวคงและจิ่วเซียว หลังจากนั้นเป็นจ้าวปีศาจโบราณ และต่อมาเป็นจักรพรรดินีฟ้าแห่งเผ่าเก้าแสงและจ้าวสุริยาแห่งตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์ ล้วนแต่พ่ายแพ้ในเงื้อมมือเจ้าเด็กนี่ทีละคน คุณชายสามตระกูลเย่ว์... ยิ่งกว่านั้นเบื้องหลังของเจ้าเด็กนี่ยังมีผู้แข็งแกร่งคอยหนุนหลังอยู่!
ถ้าไม่มีความแน่นอน เขามิอาจลงมือกำจัดได้ง่ายๆ
แต่ว่า
ตอนนี้มาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว
ไม่ว่าเจ้าเด็กนี่จะดีแค่ไหน เขาไม่สามารถหลบพ้นเงื้อมมือของเขาได้
ที่สำคัญ อัจฉริยภาพที่ไม่ธรรมดาไม่มีทางเทียบได้กับแผนการที่เขาคำนวณวางไว้ยาวนานเป็นพันๆ ปี
บัณฑิตวัยกลางคนโบกมือเบาๆ ความเคลื่อนไหวราบรื่นนุ่มนวล ทันใดนั้นทิศทัศน์ของโลกก็เปลี่ยนไป ป่าเขาผนังหินหายไป น้ำพุน้ำตกที่ไหลกระทบหินส่งเสียงไพเราะก็หายไป โลกเสมือนฝันนี้เปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน ยกเว้นเย่ว์หยางและกระดานหมากรุกบนโต๊ะหินข้างหน้าเขา ทุกอย่างไม่มีอยู่จริงในโลกนี้ โลกนี้มีเพียงคนสองคนและโต๊ะตัวเดียว
บัณฑิตวัยกลางคนเอื้อมมือหยิบชิ้นหมากรุกอีกครั้ง ขณะนี้เขากลับคืนสู่ความสงบเยือกเย็นราวกับว่าถือโลกไว้ในกำมือ
เขาแสดงรอยยิ้มของผู้ชนะต่อเย่ว์หยาง “กระดานนี้ ถ้าเจ้าเล่นชนะข้าได้ อย่างนั้นข้าจะยกทุกอย่างให้เจ้า แต่ถ้าเจ้าแพ้ ทุกอย่างก็จะไม่มีอีกต่อไป”
บนผิวพื้นโต๊ะหิน
มีตัวหมากรุกสีดำและขาว
บัดนี้บัณฑิตวัยกลางคนกำลังหยิบหมากสีขาว ถ้าตามกฎของการเล่นเย่ว์หยางได้แต่เล่นด้วยหมากดำเท่านั้น
เมื่อบัณฑิตวัยกลางคนวางหมากสีขาวเบาๆ เขายื่นมือออกมากวาดเบี้ยดำที่มุมกระดานจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นหมากของเย่ว์หยางออกไป และการกวาดหมากครั้งนี้ทำให้หมากที่ด้อยกว่าเล็กน้อยตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายทันทีเกือบทั้งกระดานถูกต้อนเข้ามุม
“บัดซบ! นี่หมากอะไรของเจ้า!” เย่ว์หยางคิดว่าเล่นหมากรุกผลัดกันเดินตาละครั้งก็พอแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าคนทรยศของหอทงเทียนนี้จะโกงมากยิ่งขึ้น เจ้าผู้นี้นับว่าป่าเถื่อนขี้โกงยิ่งนัก หมากตัวเดียวกินมุมกระดานหมากของคนอื่นทั้งยังกินหมากคนอื่นได้อีกเป็นโหล
“นี่คือหมากฟ้า-ดิน” บัณฑิตวัยกลางคนหัวเราะอย่างภูมิใจ “เอาฟ้ากับดินมาเป็นกระดานหมากรุก ตัวหมากต่างๆ มากมายเหล่านี้คือผู้ชนะที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ผู้พ่ายแพ้พินาศไปด้วยมือของเทพเจ้าใช้จัดการความเป็นไปของชีวิต”
คำพูดของเขายังไม่จบ ท้องฟ้าที่ว่างเปล่าก็เปลี่ยนไป
มีภาพหลายสิบภาพในท้องฟ้า
แต่ละภาพเป็นฉากภาพส่วนต่างๆ ของหอทงเทียน พื้นที่เหล่านี้กระจายอยู่ทั่วหอทงเทียน แม้แต่สามอาณาจักรในทวีปมังกรทะยานมีทั้งเมืองไป๋สือเฉิงปรากฏให้เห็น ปราสาทตระกูลเย่ว์และอาณาจักรต้าเซี่ย สถานบันฉางชุนเฉิงในเมืองหลวง ภาพเหล่านี้ไม่ต่างอะไรจากปกติ ยกเว้นสิ่งหนึ่งในท้องฟ้า ขุนพลเทพร่างทองตนหนึ่งมีรัศมีดุจดวงอาทิตย์
ขุนพลเทพนี้กำลังรอคอยเงียบๆ ดวงของเขาดูเหมือนจะมองมาทางเย่ว์หยาง
บัณฑิตวัยกลางคนโบกมือเบาๆ
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสามารถมองเห็นบัณฑิตวัยกลางคนสั่งการได้ ขุนพลเทพร่างทองคารวะรับคำสั่ง จากนั้นควบแน่นพลังแสงทำลายล้างและส่งคลื่นระเบิดทำลายล้างขนาดใหญ่กวาดไปที่เป้าหมายคือเมืองไป๋ซือเฉิง และปราสาทตระกูลเย่ว์และกวาดอาคารสิ่งก่อสร้างอื่นหายไป
“บัดซบ!” เย่ว์หยางเต้นผาง
เขาจ้องมองไปที่เมืองไป๋ซือเฉิง ปราสาทตระกูลเย่ว์และสถาบันฉางชุนเฉิงและพื้นที่อีกหลายแห่ง ทันใดนั้นพื้นที่เหล่านั้นทั้งหมดกลายเป็นซากหักพังและควันไฟหนาทึบในทันที ด้วยพลังทำลายล้างของขุนพบเทพทองซึ่งมีพลังโจมตีไม่ด้อยไปกว่าสี่ราชาของจ้าวสุริยา อย่าว่าแต่ทวีปมังกรทะยานเลย แม้แต่อาณาจักรที่แข็งแกร่งหลายแห่งที่อยู่ภายใต้การปกป้องคุ้มกันที่แข็งแกร่งกว่าอย่างเมืองหลวงปีศาจแดนนรกก็พังทลายได้ในสิบวินาที
ม่านพลังปกป้องระดับสูงของดินแดนปีศาจนรกยังพังทลายจากแรงระเบิดครั้งนี้
มีเพียงน้อยคนที่หลบหนีรอดได้
ส่วนใหญ่เป็นตระกูลนักรบ รวมทั้งพลเรือน
พวกเขาถูกทำลายจากการโจมตีอย่างกะทันหัน และแม้แต่กำแพง หอคูประตูรบ ปราสาทและกำแพงภูเขาอยู่ในสภาพถูกทำลาย อาคารส่วนใหญ่กลายเป็นผุยผงและทุกอย่างบนพื้นดินหายไป ..... ตอนนี้เย่ว์หยางเข้าใจแล้ว มิน่าเล่าตงฟางผู้ทรยศไม่มีความเกรงกลัวเลย ปรากฏว่าเขาได้จัดการลงมือลับๆ และโจมตีตลบหลังหอทงเทียน ภายใต้แขนเสื้อของเขานั่นไม่ใช่หมากรุก แต่เป็นการจัดการรูปแบบการรบ คนผู้นี้มีทักษะแฝงเร้นเช่นนี้ มองผิวเผินเหมือนกับกำลังเล่นหมากรุก แต่การเดินหมากของตงฟางแต่ละครั้งมีการเชื่อมโยงกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา คำสั่งแต่ละคำสั่งเพียงไม่กี่คำสามารถทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ในมิติเวลาที่ห่างไกลสามารถดำเนินการได้
“ใช่แล้ว นี่คือทักษะแฝงเร้นหมากรุกของข้า!” บัณฑิตวัยกลางคนไม่ได้ปฏิเสธ เขายิ้มเฉื่อยชาวางมาดต่อหน้าเย่ว์หยาง “ภายใต้ทักษะแฝงเร้นหมากรุกของข้า ทุกสิ่งนับไม่ถ้วนล้วนแต่เป็นหมากของข้า นักรบผู้น่ากลัวหรืออสูรทรงภูมิปัญญาทั้งหมดไม่อาจหนีพ้นกฎสวรรค์กระดานหมากรุกของข้าได้ ภายใต้เจตจำนงของข้า ทุกอย่างคือหมากของข้า แน่นอนว่าถ้าไม่มีฝ่ายตรงข้ามในเวลาเล่นหมากรุกมันช่างเป็นชีวิตที่น่าเบื่อ ดังนั้นข้าตัดสินใจให้เจ้ามีคุณสมบัติได้เล่นหมากรุกดู ลองใช้ความเป็นผู้เชี่ยวชาญหมากระดับโลกนำสิ่งมีชีวิตทั้งหมดมาเป็นตัวหมากสำหรับเดิน เป็นยังไงบ้างเด็กน้อย ความรู้สึกอย่างนี้ดีไหม? โปรดทราบไว้ว่าการกระทำทั้งหมดของเจ้าล้วนมีการสนองตอบ เมื่อเจ้าลงมือทำไปแล้วจะมาสำนึกเสียใจภายหลังไม่ได้ เพื่อความปลอดภัยของคนที่เจ้ารัก จงเดินหมากด้วยความระวัง!”
ในคำพูดของเขาทำให้ภาพการโจมตีเปลี่ยนไป
ฉากภาพระเบิดทำลายล้างหายไป
ตอนนี้ภาพที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเย่ว์หยางเป็นกลุ่มเด็กหนุ่มที่มีบาดแผลมากมาย ใกล้ๆ กันนั้นเป็นคุณชายที่ลักษณะใกล้เคียงกับเทพ
เย่ว์หยางที่เดิมทีโกรธอัดอกเหมือนภูเขาไฟใกล้ระเบิดกล้ำกลืนเก็บความโกรธทั้งหมด ตอนแรกเขาต้องการปล่อยหมัดกระแทกบัณฑิตวัยกลางคนโดยตรง เขาเริ่มเข้าใจว่า นี่มิใช่การต่อสู้ที่สามารถคลี่คลายได้ด้วยเพลงหมัดมวย เพื่อเอาชนะศึกนี้ จำเป็นต้องเอาชนะผู้ทรยศหอทงเทียนซึ่งมิทราบว่าได้คำนวณแผนมานานเพียงไหน และตงฟางเป็นที่นับถือกันว่าเป็นปราชญ์อันดับหนึ่งแห่งตำหนักกลางศักดิ์สิทธิ์
โลกในภาพที่เห็นเหมือนกับว่ามองดูอยู่ข้างๆ โดยมีกระจกใสคั่นกลาง
ราวกับว่าเอื้อมมือออกไป
ก็สามารถทำลายม่านพลังขัดขวางได้
อย่างไรก็ตามเย่ว์หยางมิได้ทำเช่นนั้น เขารู้ว่าเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ ถ้าเขาต้องการช่วยเด็กหนุ่มร่างโชกเลือดหลายคนในภาพ สิ่งแรกที่ต้องทำคือสงบจิตใจเสียก่อน!
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? คุณชายผู้นี้เป็นภูตผีปีศาจหรือ?” เจ้าอ้วนไห่พบว่าในท้องฟ้าที่กว้างใหญ่เหนือศีรษะของเขา เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดทันใด มีประกายสายตาแปลกประหลาดของบัณฑิตวัยกลางคนที่เขาไม่คุ้นเคยกำลังเล่นหมากรุกกับบุรุษหนุ่มที่มีสีหน้าโกรธเกรี้ยว ดวงตาของเขาแทบมีไฟพุ่งออก
เด็กหนุ่มผู้นี้ ในฐานะลูกพี่ เขารู้จักแน่นอน
อย่างไรก็ตามเขาเห็นว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะระเบิดอารมณ์โกรธได้โดยง่าย
ตราบเท่าที่ยังมีจุดวิกฤตอีกจุดหนึ่ง ขั้นต่อไปเขาเกรงว่า เขาจะสูญเสียเหตุผลอย่างสิ้นเชิงและโกรธคลุ้มคลั่งทำลายฟ้า!
“ท่านพ่อ!” คุณชายหลี่หมิงผู้บีบบังคับเจ้าอ้วนไห่และเย่คงและคนอื่นๆ จนแทบพังทลายดีใจแทบคลุ้มคลั่ง เขาตื่นเต้นมากจนน้ำตาไหลเป็นทางยาว คุณชายหลี่หมิงหันหน้าไปทางบัณฑิตวัยกลางคนในท้องฟ้าด้วยความเชื่อมั่น เขาคุกเข่าโขกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรง เสียงของเขาสะอื้นเหมือนเด็กที่ถูกคนอื่นรังแก พอเห็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่งมาปกป้องตนเอง เขาถึงกับหลั่งน้ำตา “ท่านพ่อ! ข้ารู้ว่าด้วยสติปัญญาอันกระจ่างดุจดวงสุริยาของท่านจะไม่เพิกเฉยต่อความอับอายของผู้บุตร ข้ารู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นแผนของท่าน และทั้งหมดนี้อยู่ในความควบคุมของท่านแล้ว!”
“อา...แย่แล้ว...” ต่างจากคุณชายหลี่หมิงที่มีความตื่นเต้น หัวใจของเย่คงกังวลเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบรัด สิ่งสุดท้ายที่เขาต้องเห็นก็คือความโกรธของเย่ว์หยางที่มากขึ้นจนใกล้จะคลุ้มคลั่ง ถ้าเขาสูญเสียสติสัมปชัญญะ อย่างนั้นทุกอย่างจะจบลงจริงๆ
ศัตรูใช้จุดนี้ข่มเขาอยู่
ถ้าเย่ว์หยางถูกหลอก
อย่างนั้นผลที่ตามมาคงเกินกว่าจะคาดคิด
หอทงเทียนจะไม่สามารถคงอยู่ได้ จะไม่มีตัวเขา ไม่มีเจ้าอ้วนไห่ ไม่มีเสวี่ยทันหลาง ไม่มีองค์ชายเทียนหลัว จะไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น และจะไม่มีคุณชายสามตระกูลเย่ว์ผู้นำทุกคนก้าวย่างไปข้างหน้า! ไม่ว่ายังไงในช่วงเวลานี้ จะปล่อยให้เขาคลุ้มคลั่งสูญเสียสติไม่ได้.. “พี่อู๋เสีย!”
จื้อจุน!
ฝ่าบาท
แม่สี่!
ขณะเดียวกัน ชื่อหลายชื่อผุดขึ้นมาในใจพร้อมกัน
เสียงตะโกนเรียกพี่สาวของเสวี่ยทันหลางดังขึ้น เขาหวังว่าเย่ว์หยางในขณะนี้จะได้คิดถึงพี่สาวของเขา และกลับมามีสติ และเย่คงตะโกนเรียกจื้อจุน เขารู้ว่าเย่ว์หยางเหมือนศิษย์ของจื้อจุน เมื่อได้ยินชื่อนาง เขาต้องรู้สึกถึงความสำคัญ องค์ชายเทียนหลัวก็กังวลเช่นกัน เขาตะโกนเรียกฝ่าบาท แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป เขาต้องทำให้เย่ว์หยางสงบจิตใจให้ได้ แต่คนสุดท้ายที่ตะโกนเรียกชื่อแม่สี่อย่างกล้าหาญก็คือนางนวลสายลมที่อยู่ในร่างสตรีเท้าเปล่า นางรู้เรื่องเย่ว์หยางดีขึ้นว่าเขาเป็นคนใส่ใจครอบครัว มองดูผิวเผินเขากังวลถึงเครือญาติ แต่ก็ยังด้อยกว่าแม่สี่อย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่เย่ว์หยางสามารถเห็นความตึงเครียดและความกังวลบนใบหน้าของพวกเขา เห็นพวกเขาอ้าปาก แต่ไม่สามารถได้ยินคำที่พวกเขาพูดออกมาจากปาก
เขาไม่มีทักษะแฝงเร้นเหมือนกับบัณฑิตวัยกลางคน และเขาไม่สามารถได้ยินเสียงผ่านมิติเวลาได้
แม้ว่าฉากภาพนั้นนำเสนออย่างจงใจโดยบัณฑิตวัยกลางคน
“ดูเหมือนสหายของเจ้าจะกังวลห่วงใยเจ้าจริงๆ! ต้องการฟังไหมว่าพวกเขาเรียกเจ้าว่าอะไร? โอว...น่าซาบซึ้งใจจริงๆ!” บัณฑิตวัยกลางคนจงใจปิดกั้นเสียง ที่เย่ว์หยางเห็นได้มีเพียงเย่คงและเสวี่ยทันหลาง ปากของพวกเขาพะงาบๆ แต่เขาไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
“ข้าได้ยิน!”
ทันใดนั้นเย่ว์หยางฟื้นฟูสติทันที และจิตวิญญาณของเขาสงบ มั่นคงดุจภูเขา เขาชี้ที่ใจตนเอง “ข้าได้ยินเสียงหัวใจ ข้าสามารถฟังได้ด้วยใจข้า!”
5 ความคิดเห็น:
เริ่มแล้วสู้ฯไอ้3
หยางรู้จักล้มกระดานมะ จะสู้ตามเกมส์คนอื่นทำไม
ต้องเทกระดานทิ้งและตบตาแก่ที่วางมาดเป็นคนดีให้หาฟันไม่เจอ
ขอบคุนคับ
ล้มกระดานซะวีถีผู้ชนะ
แสดงความคิดเห็น